พูดคุยถึงเรื่องกรรม
..............เขาเชิญให้ไปพูดเรื่องกรรม นับว่าเป็นเวรกรรมจริง ๆ ไม่มีอะไรจะคุยกันรู้เรื่องยากเท่ากับเรื่องกรรม ลองนึกดูเวลาประสบทุกข์ร้อน ก็มักจะนึกถึงกรรมเก่า ทำอะไรผิดพลาดก็โทษกรรม ดังนั้นพอจะต้องคุยเรื่องกรรม ผมก็ต้องนึกถึงเวรกรรมเหมือนกันน่ะซีขอรับ
.............. กรรมตามแนวทางของพุทธศาสนา เชื่อว่ากรรมคือการกระทำเป็นธรรมชาติ
เมื่อมีการกระทำก็ย่อมมีผลแห่งการกระทำ นั้น
ดังพุทธภาษิตว่า ยาทิสํ วปเต พีชํ
ตาทิสํ ลภ เต ผลํ กลฺยาณการี กลฺยาณํ
ปาปการี จ ปาปกํ แปลว่า หว่านพืชชนิดใดย่อมได้รับผลเช่นนั้น
ทำดี ได้ดี ทำชั่ว ได้ชั่ว
นับว่าเรื่อง
กฎแห่งกรรมเป็นเรื่องที่น่าสนใจ น่าศึกษาหาความรู้
กฎแห่งกรรมเป็นเรื่องที่น่าสนใจ น่าศึกษาหาความรู้
...............เรื่องเล่าสืบกันมาในพุทธประวัติว่า เจ้าชายเทวทัต แห่งกรุงเทวทหะ
โดยชาติกำเนิดคือพระเชษฐา เจ้าหญิงยโสธรา(พิมพา)
เคยเป็นศิษย์ร่วมสำนักเดียวกับเจ้าชายสิทธัตถะ แต่เป็นคนมีน้ำใจแข็งกระด้าง
ชอบแสดงอำนาจเหนือคนอื่น แต่ก็มักจะพ่ายแพ้สิทธัตถะบ่อย
ๆ
เคยใช้ธนูยิงนกหงส์บาดเจ็บบินร่อนไปตกในสวนใกล้บริเวณเจ้าชายสิทธัตถะเดินเล่นอยู่
เจ้าชายนำนกหงส์ไปตรวจดูเห็นว่าพอรักษาให้หายได้
จึงนำไปดูแลใส่ยาให้
เจ้าชายเทวทัตตามมาทวงนกหงส์แต่สิทธัตถะไม่ยอมเพราะรู้ว่าให้ไปก็
เท่ากับส่งให้ไปตายนั่นเอง
จนเรื่องถึงอาจารย์เรียกไปไต่สวน
เจ้าชายเทวทัตอ้างว่านกหงส์ต้องเป็นของตนเพราะฝีมือยิงด้วยธนูที่แม่นยำ ส่วนสิทธัตถะอ้างว่า
ตนเองเป็นเจ้าของเพราะไม่ใช่ศัตรูของนกหงส์เมื่อพบหงส์บาดเจ็บก็ได้ช่วยเหลือดูแลพยาบาล
ไม่นานก็คงหายบาดเจ็บกลับไปหาครอบครัวของมันได้ คนที่มุ่งทำลายหงส์หมายให้ตายดับไป
ไม่น่าจะเป็นเจ้าของนกหงส์ ในที่สุดอาจารย์ก็ตัดสินให้สิทธัตถะชนะ
ได้นกหงส์ไปพยาบาล
ต่อมาภายหลังเมื่อสิทธัตถะออกบวชจนกลายเป็นศาสดาเอกแห่งพุทธศาสนา เจ้าชายจากศากยวงศ์เมืองกบิลพัสดุ์
โกลิยวงศ์เมืองเทวทหะจำนวนมาก ต่างออกบวชเป็นและได้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ซึ่งในจำนวนนั้นมีเจ้าชายเทวทัตรวมอยู่ด้วย
เจ้าชายองค์อื่น ๆ บำเพ็ญสมณธรรมบรรลุผลเป็นพระอริยเจ้ากันถ้วนหน้า
ส่วนพระเทวทัตบรรลุฌานสมาบัติ มีความพอใจในอิทธิปฏิหาริย์ที่มีอยู่
ประกอบกับมีศักดิ์เป็นพี่พระชายาเจ้าชายสิทธัตถะ ทำให้เกิดความอยากเป็นใหญ่เหมือนพระพุทธเจ้า เคยขออนุญาตปกครองคณะสงฆ์
เมื่อไม่ได้รับอนุญาตก็แยกตัวออกไป นำคณะภิกษุที่ยังไม่เข้าใจหลักคำสอนชัดเจน ไปตั้งกลุ่มสอนประชาชนด้วยวิธีการของตน
แต่ในที่สุดก็ไม่ประสบผลสำเร็จ บริวารแตกกระจายไป เสียใจจนเจ็บป่วยก็ไม่มีผู้ดูแลสุดท้ายได้คิดหวังจะกลับมาพบพระพุทธเจ้า
แต่มาถึงเพียงประตูวัดก็เสียชีวิตก่อน ได้พบพระพุทธเจ้า เป็นชีวิตที่น่าสนใจทั้งที่เกิดในชาติตระกูล
ดี กลับสะสมกรรมที่ไม่ค่อยดีจึงประสบผลกรรมที่ไม่ดีด้วย นี่ก็เป็นตัวอย่าง กรรมและผลแห่งกรรมนั่นเอง
ดี กลับสะสมกรรมที่ไม่ค่อยดีจึงประสบผลกรรมที่ไม่ดีด้วย นี่ก็เป็นตัวอย่าง กรรมและผลแห่งกรรมนั่นเอง
................อีกเรื่องหนึ่งคือ
อหิงสกกุมาร บิดาเป็นปุโรหิตพระเจ้าปัทเสนทิโกศล ตอนเกิดมีเหตุประหลาดคือ
ศาตราวุธต่าง ๆในบ้านลุกเป็นไฟ บิดามีความรู้เรื่องโหราศาสตร์ ทราบว่าบุตรเกิดมาด้วยฤกษ์ดาวโจร
มีความประสงค์จะทำลายเสีย พระเจ้าปัทเสนทิโกศลทรงทราบจึงขอไปเลี้ยงไว้ให้ชื่อว่า
อหิงสกกุมาร เป็นเด็กฉลาดมาก เมื่อได้ไปศึกษาในสำนักอาจารย์ทิศาปาโมกข์ก็สามารถเรียนจบสิ้นหลักสูตรก่อนใครอื่นจนเพื่อน
ๆ อิจฉาพากันไปยุยงอาจารย์หาวิธีทำร้ายด้วยการบอก อหิงสกกุมารว่า ยังมีวิษณุมนต์ที่เขายังไม่ได้ศึกษา
ต้องใช้นิ้วมือคน พันนิ้วเป็นเครื่องบูชาถึงจะเรียนได้
เพราะความอยากได้วิชาชั้นสูงจึงออกตระเวนฆ่าคนตัดเอานิ้วจำนวนมาก
บิดามารดาทราบข่าวจึงเดินทางมาหวังจะห้ามปราม พระพุทธเจ้าทราบด้วยญาณวิถีว่า อหิงสกกุมารถูกหลอกลวงให้กระทำบาป
ถ้าไม่ไปช่วยจะทำกรรมหนักคือฆ่าบิดามารดา
ยังผลให้หมดโอกาสที่จะบรรลุมรรคผลได้
จึงได้เสด็จไปขวางทางไว้ทำให้อหิงสกกุมารได้สติวางดาบขอนับถือพระพุทธศาสนา
ต่อมาภายหลังได้บรรลุอรหันต์เป็นอริยสาวกสำคัญคนหนึ่ง กรรมดีกรรม
ชั่ว ความตั้งใจหรือเจตนา
สำคัญมาก
........... จากตัวอย่างที่เล่าถึงสองเรื่องนี้จะทราบได้ว่า ชีวิต ชาติกำเนิด ที่ดี
มีเกียรติตระกูลสูง ยังไม่เพียงพอ ที่จะชี้ให้เห็นได้ว่าจะทำให้เป็นคนดี
มีความสุข
กรรมที่กระทำนั่นเองเป็นแนวทางที่ทำให้คนเรามีสุขทุกข์แตกต่างกัน กรรม การกระทำ หมายถึง
การกระทำที่ประกอบด้วยเจตนา คือ ทำด้วยความจงใจหรือจงใจทำดีก็ตาม ชั่วก็ตามเช่น
ขุดหลุมพรางดักคนหรือสัตว์ให้ตกลงไปตาย เป็นกรรม แต่ขุดบ่อน้ำไว้กินใช้
สัตว์ตกลงไปตายเองไม่เป็นกรรม (แต่ถ้ารู้อยู่ว่าบ่อน้ำที่ตนขุดไว้อยู่ในที่ซึ่งคนจะพลัดตกได้ง่าย
แล้วปล่อยปละละเลย ไม่ป้องกันทั้งที่ได้ มีคนตกลงไปตายก็ไม่พ้นเป็นบาปกรรม)
........... กรรมคือการกระทำจำแนกได้หลายวิธี
แต่ละวิธีมีจำนวนประเภทแห่งกรรมมากน้อยต่างกัน เช่น
กรรม ๒
กรรมจำแนกตามคุณภาพหรือตามธรรมที่เป็นมูลเหตุมี ๒ คือ
๑. อกุศลกรรม
กรรมที่เป็นอกุศลกรรมชั่ว คือเกิดจากอกุศลมูล ได้แก่เพราะ
ความโลภ ความโกรธ และความโง่งมงาย พาให้ทำกรรม จึงเรียกอกุศลกรรม
ความโลภ ความโกรธ และความโง่งมงาย พาให้ทำกรรม จึงเรียกอกุศลกรรม
๒. กุศลกรรม
กรรมที่เป็นกุศล กรรมดี คือเกิดจากกุศลมูล คือ ไม่มีความโลภ
ไม่ได้มีโทสะ ไม่ได้โง่งมงาย ทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ จึงเรียก กุศลกรรม
ไม่ได้มีโทสะ ไม่ได้โง่งมงาย ทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ จึงเรียก กุศลกรรม
กรรม ๓
กรรมจำแนกตามทวารคือช่องทางที่ทำกรรมมี ๓ คือ
๑) กายกรรม
การกระทำทางกาย
๒) วจีกรรมการกระทำทางวาจา
๓) มโนกรรม
การกระทำทางใจ
กรรม ๑๒
กรรมจำแนกตามหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการให้ผล พระอรรถกถาจารย์รวบรวมแสดงไว้ ๑๒ อย่างคือ
หมวดที่ ๑ ว่าโดยปรากฎกาล คือ จำแนกตามเวลาที่ให้ผล ได้แก่
๑) ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม กรรมให้ผลในปัจจุบันคือในภพนี้
๒) อุปปัชชเวทนียกรรม กรรมให้ผลในภพที่จะไปเกิด คือในภพหน้า
๓) อปราปริยเวทนียกรรม กรรมให้ผลในภพต่อ ๆ ไป
๔) อโหสิกรรม กรรมเลิกให้ผล
หมวดที่ ๑ ว่าโดยปรากฎกาล คือ จำแนกตามเวลาที่ให้ผล ได้แก่
๑) ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม กรรมให้ผลในปัจจุบันคือในภพนี้
๒) อุปปัชชเวทนียกรรม กรรมให้ผลในภพที่จะไปเกิด คือในภพหน้า
๓) อปราปริยเวทนียกรรม กรรมให้ผลในภพต่อ ๆ ไป
๔) อโหสิกรรม กรรมเลิกให้ผล
หมวดที่ ๒ ว่าโดยกิจ คือ
จำแนกการให้ผลตามหน้าที่ได้แก่
๕) ชนกกรรม กรรมแต่งให้เกิดหรือกรรมที่เป็นตัวนำไปเกิด
๖) อุปัตถัมภกกรรม กรรมสนับสนุน คือ เข้าสนับสนุนหรือซ้ำเติมต่อจากชนกกรรม ๗) อุปปีฬกกรรมกรรมบีบคั้น คือเข้ามาบีบคั้นผลแห่งชนกกรรมและอุปัตถัมภก กรรมนั้นให้แปรเปลี่ยนทุเลาเบาลงหรือสั้นเข้า
๘) อุปฆาตกกรรม กรรมตัดรอน คือ กรรมแรงฝ่ายตรงข้ามที่เข้าตัดรอนการให้ผลของกรรมสองอย่างนั้นให้ขาดหรือหยุดไปทีเดียว
๕) ชนกกรรม กรรมแต่งให้เกิดหรือกรรมที่เป็นตัวนำไปเกิด
๖) อุปัตถัมภกกรรม กรรมสนับสนุน คือ เข้าสนับสนุนหรือซ้ำเติมต่อจากชนกกรรม ๗) อุปปีฬกกรรมกรรมบีบคั้น คือเข้ามาบีบคั้นผลแห่งชนกกรรมและอุปัตถัมภก กรรมนั้นให้แปรเปลี่ยนทุเลาเบาลงหรือสั้นเข้า
๘) อุปฆาตกกรรม กรรมตัดรอน คือ กรรมแรงฝ่ายตรงข้ามที่เข้าตัดรอนการให้ผลของกรรมสองอย่างนั้นให้ขาดหรือหยุดไปทีเดียว
หมวดที่ ๓
ว่าโดยปากฏทานปริยาย คือ จำแนกตามลำดับความแรงในการให้ผล ได้แก่
๙) ครุกกรรม กรรมหนักให้ผลก่อน
๑๐) พหุลกรรม หรืออาจิณณกรรม กรรม ทำมากหรือกรรมชินให้ผลรองลงมา
๑๑) อาสันนกรรมกรรมจวนเจียน หรือกรรมใกล้ตาย ถ้าไม่มีสองข้อ ก่อนก็จะให้ผลก่อนอื่น
๑๒) กตัตตากรรม หรือกตัตตาวาปนกรรม กรรมสักว่าทำ คือเจตนาอ่อนหรือมิใช่เจตนาอย่างนั้น ให้ผลต่อเมื่อไม่มีกรรมอื่นให้ผล
๙) ครุกกรรม กรรมหนักให้ผลก่อน
๑๐) พหุลกรรม หรืออาจิณณกรรม กรรม ทำมากหรือกรรมชินให้ผลรองลงมา
๑๑) อาสันนกรรมกรรมจวนเจียน หรือกรรมใกล้ตาย ถ้าไม่มีสองข้อ ก่อนก็จะให้ผลก่อนอื่น
๑๒) กตัตตากรรม หรือกตัตตาวาปนกรรม กรรมสักว่าทำ คือเจตนาอ่อนหรือมิใช่เจตนาอย่างนั้น ให้ผลต่อเมื่อไม่มีกรรมอื่นให้ผล
.............. กรรมมีความสำคัญอย่างไร
จากความหมายของกรรมข้างต้นแสดงให้เห็นว่ากรรมเกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตของคนเราตลอดเวลา
เพราะพฤติกรรมที่แสดงออกมาทางกาย วาจา ใจ เกิดขึ้นทุกวัน
วิบากคือผลแห่งการกระทำก็เกิดขึ้นตลอดเวลา ผลบางอย่างก็ปรากฏให้รู้ได้ทันทีทันใด
เช่นกินข้าว อาบน้ำ พูดคุยกัน แต่บางอย่างปรากฏผลให้เห็นได้ช้า เช่นทำไร่
ทำนา บางอย่างใช้เวลานานมากเช่น
ศึกษาเล่าเรียน ในพระไตรปิฏกจูฬกัมม วิภังคสูตร พระพุทธเจ้าเคยแนะนำมาณพคนหนึ่งที่มาสนทนาเรื่อง
กรรม ใจ
ความว่า
............... ขณะที่
พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน พระนครสาวัตถี สุภ มาณพ โตเทยยบุตร
เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ อะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยทำให้พวกมนุษย์ที่เกิดเป็นมนุษย์อยู่แล้วกลายเป็นคนที่มีมีความเลว
มีความประณีต มีอายุสั้น มีอายุยืน
มีโรคมาก มีโรคน้อย มีผิวพรรณทราม มีผิวพรรณงาม มีศักดาน้อย มีศักดามาก
มีโภคะน้อย มีโภคะมาก เกิดในสกุลต่ำ เกิดในสกุลสูง ไร้ปัญญา มีปัญญา เป็นต้น
.............. พระพุทธเจ้า ได้แสดงธรรมเทศนาให้เข้าใจว่า
สิ่งที่ทำให้มนุษย์มีสภาพแตกต่างกันทั้งที่เป็นทางดีและไม่ดีเหล่านั้นล้วนเกิดจากกรรม
ผลแห่งกรรมทำให้คนแตกต่างกัน ซึ่งสรุปได้ว่า กรรมใดที่เป็น...
......กรรมใดที่เป็นปฏิปทาเป็นไปเพื่อมีอายุสั้น
ย่อมนำเข้าไปสู่ความเป็นคนมีอายุสั้น
......กรรมใดที่เป็นปฏิปทาเป็นไปเพื่อมีอายุยืนย่อมนำเข้าไปสู่ความเป็นคนมีอายุยืน
......กรรมใดที่เป็นปฏิปทาเป็นไปเพื่อมีโรคมาก
ย่อมนำเข้าไปสู่ความเป็นคนมีโรคมาก
......กรรมใดที่เป็นปฏิปทาเป็นไปเพื่อมีโรคน้อยย่อมนำเข้าไปสู่ความเป็นคนมีโรคน้อย
......กรรมใดที่เป็นปฏิปทาเป็นไปเพื่อมีผิวพรรณทราม
ย่อมนำเข้าไปสู่ความเป็นคนมีผิวพรรณทราม
......กรรมใดที่เป็นปฏิปทาเป็นไปเพื่อเป็นผู้น่าเลื่อมใส
ย่อมนำเข้าไปสู่ความเป็นคนน่าเลื่อมใส
......กรรมใดที่เป็นปฏิปทาเป็นไปเพื่อมีศักดาน้อย
ย่อมนำเข้าไปสู่ความเป็นคนมีศักดาน้อย
......กรรมใดที่เป็นปฏิปทาเป็นไปเพื่อมีศักดามาก
ย่อมนำเข้าไปสู่ความเป็นคนมีศักดามาก
......กรรมใดที่เป็นปฏิปทาเป็นไปเพื่อมีโภคะน้อย
ย่อมนำเข้าไปสู่ความเป็นคนมีโภคะน้อย
......กรรมใดที่เป็นปฏิปทาเป็นไปเพื่อมีโภคะมากย่อมนำเข้าไปสู่ความเป็นคนมีโภคะมาก
......กรรมใดที่เป็นปฏิปทาเป็นไปเพื่อเกิดในสกุลต่ำ
ย่อมนำเข้าไปสู่ความเป็นคนเกิดในสกุลต่ำ
......กรรมใดที่เป็นปฏิปทาเป็นไปเพื่อเกิดในสกุลสูง
ย่อมนำเข้าไปสู่ความเป็นคนเกิดในสกุลสูง
......กรรมใดที่เป็นปฏิปทาเป็นไปเพื่อมีปัญญาทราม
ย่อมนำเข้าไปสู่ความเป็นคนมีปัญญาทราม
......กรรมใดที่เป็นปฏิปทาเป็นไปเพื่อมีปัญญามาก
ย่อมนำเข้าไปสู่ความเป็นคนมีปัญญามาก
ดูกรมาณพ
สัตว์ทั้งหลาย มีกรรมเป็นของตน เป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด
มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย
กรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้เลวและประณีต
เมื่อกรรมมีความสำคัญอย่างนั้น
เราควรใช้ประโยชน์จากการศึกษากฎแห่งกรรมอย่างไร
1.
กรรมคือการกระทำทุกอย่างย่อมมีวิบากคือผลแห่งกรรมตามมา ดังนั้น การกระทำทางกาย วาจาและใจ ทุกอย่างต้องใคร่ครวญรอบคอบดีแล้วจึงกระทำ
เพราะการกระทำทุกอย่างเกี่ยวเนื่องด้วยกาลเวลา ย้อนกลับไปแก้ไขไม่ได้
2. กฏแห่งกรรมอธิบายว่า กระทำกรรมอย่างไร
ผลก็จะเป็นอย่างนั้น กรรมดีผลก็ดี กรรมชั่วผลก็ชั่ว ดังนั้นการกระทำกรรมใด ๆ
ใคร่ครวญแล้วเห็นว่าเป็นกรรมดีพึงสนใจกระทำให้มากไว้ กรรมใดไม่ดีพึงละเว้นไม่กระทำ
3. กรรมดีหรือไม่ดีมีเหตุปัจจัยสำคัญคือ อกุศลมูล
ได้แก่ โลภะ โทสะและโมหะ เป็นสาเหตุให้เกิดการกระทำที่ไม่ดี ส่วนกุศลมูลได้แก่
อโลภะ อโทสะ อโมหะ เป็นสาเหตุสำคัญให้กระทำดี
ดังนั้นจึงควรระมัดระวังมิให้อกุศลมูลครอบงำหรือมีอิทธิพลต่อจิตใจ
และพึงฝึกอบรมจิตใจให้ลดความโลภ มีความเสียสละมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ฝึกจิตใจให้ลดเลิกโทสะมีอารมณ์เยือกเย็นมีเมตตากรุณา ฝึกจิตใจให้ลดละโมหะความโง่งมงาย
มีสติปัญญาฉลาดรู้เท่าทันสภาพที่เป็นจริง
4.
กรรมหลายอย่างให้ผลในปัจจุบันที่สามารถตรวจสอบได้
และเป็นไปตามหลักกรรมดีให้ผลดี กรรมไม่ดีให้ผลไม่ดี เมื่อเราต่างต้องการแนวดำเนินชีวิตที่ดีงาม
จึงจำเป็นต้องพยายามหลีกเลี่ยงการกระทำกรรมไม่ดี หรือทุจริตกรรม เพราะเป็นกรรมที่เป็นปฏิปทา ให้ทำให้เราประสบสภาวะที่ไม่น่าพอใจเช่นอายุสั้น
ขาดแคลนโภคสมบัติ ไม่น่าเลื่อมใส ขาดยศศักดิ์ ขาดสติปัญญา ควรสนใจสั่งสมการ
กระทำกรรมดีไว้มาก ๆ เพราะจะชักนำให้เราประสบสภาวะที่ดีงามเช่น ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนดี กระทำการงานดีคบเพื่อนดีงามเป็นต้น กรรมดีเหล่านี้ จะเป็นปฏิปทาให้เราเป็นผู้มีอายุยืนผิวพรรณผ่องใส สามารถ สั่งสมโภคสมบัติได้ดี มียศศักดิ์บริวาร และมีสติปัญญา
กระทำกรรมดีไว้มาก ๆ เพราะจะชักนำให้เราประสบสภาวะที่ดีงามเช่น ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนดี กระทำการงานดีคบเพื่อนดีงามเป็นต้น กรรมดีเหล่านี้ จะเป็นปฏิปทาให้เราเป็นผู้มีอายุยืนผิวพรรณผ่องใส สามารถ สั่งสมโภคสมบัติได้ดี มียศศักดิ์บริวาร และมีสติปัญญา
5. กรรมบางอย่างให้ผลในอนาคตที่เราไม่สามารถสืบทราบได้
ได้แก่กรรมประเภทให้ผลในภพ ชาติ ต่อ ๆ ไป กรรมประเภทนี้เหมือนการจองบัตรโดยสาร
ถ้าเราสะสมอกุศลกรรมไว้มาก ๆ ภพหรือชาติต่อไปก็ต้องเป็นภพหรือชาติสำหรับ ผู้มีบัตรโดยสารอกุศล
เช่น อบายภูมิคือ นรก เปรต อสุรกายและดิรัจฉาน ตรงข้ามถ้ากระทำกุศลกรรมมาก ๆ
ก็เหมือนมีบัตรโดยสารสำหรับภพชาติที่เป็น กุศลคือ
สุคติ ได้แก่ มนุษย์ สวรรค์ พรหมและนิพพาน จึงไม่ควรประมาท
โดยสรุปแล้ว หลักกรรม หรือ
กฎแห่งกรรม เป็นเรื่องสำคัญสำหรับคนทุกชาติทุกศาสนา เป็นหลักธรรมชาติ การกระทำย่อมมีผลแห่งการกระทำกำกับเสมอ
ผลแห่งกรรมบางอย่างให้ผลเพียงเล็กน้อยแล้วหมดพลังไป
เหมือนกับการบริโภคอาหาร ผลแห่งกรรมบางอย่างมีพลังมากให้ผลยาวนานหลายสิบปีหรือจนตลอดชีวิต
เช่นการศึกษาเล่าเรียน
หรือการประกอบอาชีพทุจริตเป็นต้น
ผู้ฉลาดควรสนใจศึกษาหลักแห่งกรรม ให้เข้าใจ หลีกเลี่ยงหรือละเว้นกรรมที่ไม่เป็นประโยชน์หรือกรรมที่ให้โทษ
เลือกกระทำกรรมที่ดีมีประโยชน์ต่อตนเอง
ทั้งในปัจจุบันและอนาคต ดังคำสอนที่อ้างไว้เบื้องต้น
ยาทิสํ วปเต พีชํ ตาทิสํ ลภ เต ผลํกลฺยาณการี กลฺยาณํ ปาปการี จ ปาปกํ แปลว่า หว่านพืชชนิดใดย่อมได้รับผลเช่นนั้น ทำดี ได้ดี ทำชั่ว ได้ชั่ว
--------------------
ขุนทอง ตรวจทาน 2/8/59
ยาทิสํ วปเต พีชํ ตาทิสํ ลภ เต ผลํกลฺยาณการี กลฺยาณํ ปาปการี จ ปาปกํ แปลว่า หว่านพืชชนิดใดย่อมได้รับผลเช่นนั้น ทำดี ได้ดี ทำชั่ว ได้ชั่ว
--------------------
ขุนทอง ตรวจทาน 2/8/59
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น