วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

เตรียมเป็นพ่อบ้านพ่อเรือน

...................................เตรียมเป็นพ่อบ้านพ่อเรือน..................................

...............ปี 2504 จบ ม. 6 อายุ 16 ย่าง 17 ปีพอดี ขึ้นบัญชีทหารกองเกินได้ อายุไม่ถึง18 ปี สอบ
บรรจุไม่ได้ ปีสุดท้ายที่เขารับครู ม.6 เพื่อนไปสอบเป็นครูหลายคน เราตกค้าง เรียนต่อก็ไม่มีเงินพอ
เลยอยู่บ้านช่วยพ่อแม่ทำนา ก็ดีนะได้เรียนรู้การดำรงชีวิตแบบชาวนา หน้าฝนก็ทำนาทำไร่ เสร็จนา
ก็เป็นการทำมาหากิน การฝึกเป็นพ่อบ้าน พ่อเรือน  มีงานที่ต้องฝึกสำหรับผู้ชายตั้งหลายอย่าง
..............งานจักสาน อันนี้จำเป็นมาก เพราะเครื่องเรือนส่วนมากทำจากไม้ไผ่ คุณหนุ่มต้องจักตอก
เป็น สานลายต่าง ๆ เป็น ผมหัดสานกระด้ง ไปยากตอนขึ้นขอบ พ่อต้องมาช่วยกว่าจะทำได้เองก็สอง
สามใบ สุดยอดกระด้งก็ต้องกระด้งฝัดข้าว ทำยากมากเพราะใช้ตอกผิวไม้ไผ่ แข็ง ขอบเล็ก มัดให้
แน่น วางลายข้อผิวไม้ ให้ดีเวลาฝัดข้าวจะช่วยแยกข้าวสารข้าวเปลือกง่าย ยังมีเขิง(ตะแกรงร่อนรำ
ข้าว) กระจ่อสำหรับเลี้ยงตัวไหม จบพวกนี้ก็ต่อด้วยอุปกรณ์พวกขึ้นรูปต่าง ๆ เช่น ตะข้อง ครุตักน้ำ
ตะกร้าหมาก ตะกร้าหาบของ ตะข้อง ไซกาว ไซปลอกห้า ลอบ ฝาเผียก ฝาบ้าน กระเช้า กระติ๊บข้าว
 หลายปีกว่าจะทำได้ทั้งหมด คนสอน ก็ พ่อ พี่ เพื่อน และญาติ ๆ
.............งานไม้ ถากเสา หกเหลี่ยม สี่เหลี่ยม ซอยไม้แปรรูปเป็นแผ่น ทำคราด ทำไถ ทำแอก แถม
ด้วยการสับฝากไม้ไผ่ทำพื้นบ้าน ทำฝาบ้าน การกรองตับใบตองทำฝาเรือน กรองตับหญ้าแฝก หญ้า
คา เอาไว้มุงหลังคาบ้าน เยอะเหลือเกิน ดีที่เราชอบการเรียนรู้  ไม่นานก็ทำได้
.............งานถักทอ ผู้ชายต้องฟั่นเชือกเป็น หัดตั้งแต่เชือกเส้นเล็ก ๆ ขอฝ้ายแม่มาฟั่นเชือกสำหรับ
สานสวิง กว่าจะได้สวิงซักปาก มันสุดยอดจริง ๆ ทางพ่อก็ชวนมาฝึกป่านปอ  ที่สวนเรามีทั้งปาน ปอ
เทือง ปอแก้ว พอมันโตก็ตัดมาลอกเอาเปลือก ขูดเปลือกนอก เหลือเส้นใย ตากให้แห้ง เก็บไว้ทำ
เชือก เช่นเชือกล่ามวัวควาย ใช้ปอแก้ว เอามาบิดเกลียวยาว ๆ หลายร้อยเมตร แล้วนำมาฟั่นสาม
เกลียว ได้เชือกไปใช้งานได้ เชือกเส้นแรกสวย งามตะปุ่มตะป่ำดี พ่อหัวเราะชอบใจบอกว่า มือใหม่
แบบนี้ทั้งนั้น เก่งแล้วเส้นเชือกที่ฟั่นจะเรียบงามเอง เชือกคร่าวเส้นโต ๆ สำหรับผูกคราดไถ ก็ฟั่น
เองนะครับ ตลาดไม่มีขาย สองสามปีต่อมาถึงเห็นเชือกมะนิลา ดีใจมาก แต่ขายแพง ป่าน ปอเทือง
เอามาฟั่นเป็น เชือกเส้นเล็ก ๆ ขนาดเส้นด้าย เอาไว้สานแห สานอวน ตอนเย็น ๆ กลับมาบ้านระหว่าง
รอทานข้าวเย็น มานั่งข้างพ่อ หัดฟั่นเชือกป่าน เชือกปอเทือง เรียกว่า "เล็นเชือก"พอเก่งก็ช่วยพี่สาว
เล็นเชือกด้วยปอแก้ว เขาเอาไปใช้ทอเสื่อกก งานถักทอนี่ก็สนุกครับ
............งานฝีมือพิเศษ ที่จะช่วยให้มีรายได้พิเศษ อันนี้ไม่ค่อยเป็นชิ้นเป็นอัน แต่ก็พยายามนะ พี่ชาย
เป็นช่างทอง ช่างสังกะสี แกชวนไปฝึกรับจ้างทำแหวน ทำสร้อย ทำได้แค่แหวน สร้อยไม่ไหวใจไม่
สู้  สังกะสี พอทำได้เอาไว้ซ่อมอุปกรณ์ในบ้าน ให้ไปรับจ้างก็ไม่ไหว ฝีมือไม่ค่อยดี เพื่อนชวนลงเขื่อน
จับปลา อันนี้ทำได้นะ มีลอบดักปลา 20 หลัง ทำเอง มีอวนหลายสิบเส้น แต่เขาซื้อราคาถูกจนไม่อยาก
จะขาย
...........มีคนมาชวนไปเป็นครูช่วยสอน เพื่อให้มีสิทธิ์สอบเทียบวิชาชุด แต่ทำไม่ได้เพราะไม่มีค่าตอบ แทน เป็นการทำงานฟรี ๆ เลยไม่เอา จาก พ.ศ. 2504 - 2509 เป็นเวลา 6 ปี อายุย่าง 22 ปี พ่อแม่เห็นว่า
เป็นช่างฝีมือหลายสาขาแล้ว น่าจะแต่งงานได้แล้ว แถมมีตัวสาวที่เล็งไว้แล้วด้วย จึงขอให้บวชก่อน
เบียด อย่างน้อยซัก 1  พรรษา ปรากฏว่า ได้ 7 พรรษา 555 เห็นชอบใจทั้งพ่อและแม่
...........บันทึกความหลังฝังใจไว้ให้ลูกหลานรู้ว่า คนเรามันต้องสู้ ชีวิตมีขึ้นมีลง การตั้งมั่นในความถูกต้อง
กตัญญูรู้คุณพ่อแม่เป็นความดีที่เราควรสะสมเอาไว้มาก ๆ จะช่วยให้เราดำเนินชีวิตไปในทิศทางที่เหมาะ
ที่ควรครับ......

------------------------
ขุนทอง ตรวจทาน 1/8/59

วันพฤหัสบดีที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

การบ้านการเรือนลูกสาว

การบ้านการเรือน (ผู้หญิง)
----------------
.............โดนต่อว่า เอาดีแต่ผู้ชาย แล้วผู้หญิงล่ะ เตรียมตัวเป็นแม่บ้านแม่เรือนอย่างไรบ้างให้ผู้หญิงพูดเองน่าจะดีกว่า แต่ก็โดนอีกว่าตาแหละเขียน เอาตั้งแต่ตอนเด็ก ๆ จนเขาแต่งเรือนเลย หนูจะอ่านให้ เฮ้อ อยากเป็นนายตาอีกคนและ ก็เลยต้องมีภาคผู้หญิงฉบับนี้แหละ
.............ลูกผู้หญิงพ่อแม่เป็นหวงและหวงมากกว่าลูกชายเป็นที่เข้าใจกัน คุณแม่จะกำกับดูแลฝึกอบรมจนแทบจะกลายเป็นถอดแบบมาจากคุณแม่เลยทีเดียว จนทีคำกล่าว "จะดูนางดูแม่เหมือนแลเห็น"นั่นแหละขอรับ คุณแม่ฝึกสอนอะไรบ้าง 
............สอนการนุ่งห่ม โดยเฉพาะนุ่งซิ่นหรือผ้าถุงนั่นแหละ ตีนซิ่นซ่นต้องเสมอกัน เหน็บพกต้องพับเรียบร้อย ไม่คาดเข็มขัดก็ไม่หลุด เขาทำได้ตามแม่สอนจริง ๆ ถ้าเด็กรุ่นใหม่นุ่งผ้าซินคงได้ฮากันทั้งวันแหละ มันหลุดง่าย จากนั้นก็จะเป็นการทอผ้า การทำอาหารและงานฝีมืออื่น ๆ
...........ผ้าฝ้ายผ้าไหม สอนกันแต่เริ่มปลูกต้นฝ้าย ต้นหม่อน ที่สวนที่ไร่ จะปลูกฝ้ายเอาไว้ทำผ้าฝ้าย ส่วนต้นหม่อนก็ปลูกไว้เลี้ยงไหม เวลาปลูกก็ช่วยกันทั้งบ้าน แต่คนไปดูแลบ่อยคือคุณแม่กับลูกสาว หาบปุ๋ยไปใส่ เจอวัชชพืชก็จัดการ จนผลิดอกแก่ได้ที่ก็ไปเก็บดอกฝ้ายมาตากให้แห้งสนิทแล้วเก็บในกระทอ (ตะกร้าหรือชะลอมใส่ของ โตเท่ากระสอบ สานด้วยตอกไม้ไผ่ตาห่าง ๆเรียกกระทอ)เก็บไว้ไปทำเส้นฝ้ายทอผ้าต่อไป ปีไหนได้ฝ้ายน้อย ก็จะไปหาแลกเปลี่ยนจากหมู่บ้านอื่น บ้านเรามีปลามาก แม่ทำปลาย่าง ปลาแดดเดียวปลาร้าได้มากพอก็ไปเยี่ยมญาติบ้านแถวดงแม่เผด ชื่อบ้านต้นคอนเลียบ  พ่อเอาเกวียนพาไป ก็เหมือนปิคอัพสมัยนี้แหละ ผมอยู่ ป. 1 ยังไม่หย่านม แม่ให้ไปด้วย เพราะไม่มีนมผง เลย
ได้รู้ว่า"ไปคั่วบ้านแลกของฝาก" จำเป็นสำหรับ พ.ศ. 2494 เงินทองไม่ค่อยใช้กัน เอาปลาไปแลกฝ้าย พริกแห้ง พวกบ้านดงอยากกินปลาก็เอามาแลกกัน
............บ้านต้อน มีญาติ พี่ชายแม่ไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่นั่น ได้รับการต้อนรับดีมาก ๆ เห็นพากันไป"คั่วบ้าน" เอาปลาแห้ง ปลาย่าง ปลาร้า ไปตระเวณตามบ้าน เช้าเดียวเกลี้ยงได้ฝ้าย ได้พริกแห้ง แตงไทย เกือบเต็มเกวียน ขากลับ พี่สาวสองคน ต้องลงเดินเท้า ไม่มีที่นั่ง ถนนก็ทางเกวียนไงครับ ผ่านทุ่งนา ผ่านป่าทึบ พ่อเล่าว่าเขามายิงเก้งกวางแถบนี้ มีเสือด้วยนะก็ฟังเฉย ๆ ไม่รู้จัก เลยไม่กลัว ไปแลกของฝากได้ฝ้ายและพริกแห้งสมประสงค์ครับ
............เสร็จหน้านา แม่จะสอนลูกสาวเตรียมดอกฝ้ายสำหรับลงเข็นฝ้าย พ่อทำหลาหรือไนปั่นฝ้ายให้ลูกสาวหัดปั่นเส้นฝ้าย บ้านเรามี 4 สาว คนโตเป็นก็ช่วยสอนน้อง พ่อลงทุนทำยกร้านสูงสัก ศอก นั่งปั่นฝัายได้หกคน ลูกสาวบ้านใกล้กัน 3 คน พี่สาวผมออกเรือนไปแล้ว1 เหลือ 3 ข่วงบ้านเราจึงมีหกสาวลงเข็นฝ้าย แสงสว่างจากกองไฟ ฟืนก็ใช้ หลัวไม้ไผ่ ท่าทางคงสนุก เพราะมีหนุ่ม ๆ มาเยี่ยมแต่หัวค่ำจนดึกทุกวัน เมื่อได้ฝ้ายมากพอก็จะได้เรียนรู้การฆ่าฝ้าย การค้นหูก การสืบหูก การปั่นหลอด การมัดหมี่ การทอหูก กว่าจะได้ผ้าสักผืนยากเย็นจริง ๆ คนสมัยก่อนจึงใช้กันคุ้มค่า
...........ทุกบ้านจะเลี้ยงไหมไว้ทำผ้าไหม แม่จะพาลูกสาวไปสวนเก็บใบหม่อน สอนการให้อาหารตัวไหม นอน 1 นอน 2 ไปจนโตสุกผิวเหลือง ๆสอนให้เก็บตัวแก่สีสุก ไปวางบนไส้จ่อเพื่อให้ตัวไหมชักใยจนเป็นฝักหลอกหรือรังไหมนั่นแหละ เก็บรังไหมใส่กระด้งเอาไปให้แม่สาวเส้นไหมกัน ลูกสาวเตรียมหม้อสาวหลอก หาผืน หาเตา ต้มน้ำ เอาหมากพวงสาวมาติดขอบปากหม้อ นั่งดูแม่สาวหลอก  แม่เหนื่อยก็แอบลองบ้าง เส่นไหมลูกสาวพิลึกดีกว่าจะสาวเส้นไหมสวย ๆ ได้ ก็นานเหมือนกัน  เส้นไหมที่ได้เอาไปใช้ทอผ้า เหมือนผ้าฝ้ายนั่นแหละ แต่กรรมวิธียุ่งยากกว่า  มีการใช้น้ำด่างฆ่าก่อนย้อมสี ใช่สีธรรมชาติแก่น
ต้อนเข สีแดงจากครั่ง มีการทำลวดลายด้วยการมัดหมี่ ก็มีการค่นหูกเอาเครือหูกไปทำเส้นตั้ง ใช้หลอดสอดสานทอเป็นผืนเรียก ทอหูก ต่ำหูก ลูกสาวบ้านไหนทอผ้าไหมได้สวยถือว่าแม่เก่งสอนดี ราคาแพง(สินสอด)
...........น้ำกินน้ำใช้ สมัยโน้นไม่รู้จักประปา น้ำที่ใช้คือน้ำจากห้วย หนอง บ่อน้ำ พ่อจะสานครุตักน้ำให้ ครุเขาสานด้วยไม้ไผ่ เอาชันมาบดละเอียดผสมน้ำมันยาง ทานอกใน แห้งแล้วน้ำไม่รั่วซึม วิทยาการจากพระร่วงเจ้าไงครับ แล้วก็ทำไม้คานสำหรับหาบครุ ขนาดใหญ่ก็ของแม่และพี่สาว ขนาดเล็กก็สำหรับเด็กหญิง หาบน้ำมาไกลเหมือนกันกว่าจะถึงบ้าน มีตุ่มหม้อดินขนาดใหญ่เก็บน้ำไว้บริโภค หาบมีเทคนิคการหาบที่ต้องฝึกกัน ไม่เช่นนั้นตักน้ำเต็มครุ มาถึงบ้านเหลือไม่ถึงครึ่ง ลูกสาวต้องทำได้
..........ตำข้าว การแปรข้าวเปลือกเป็นข้าวสารเรียกตำข้าว โรงสีไม่มี ใช้ครกมอง พ่อจะขุดครกมองจากไม้เต็งรังมะค่า ไปเห็นมันล้มอยู่กลางป่าก็ตัดแล้วขุดทำครก ไม้รังต้นเล็ก ๆ ถากทำแม่ครกสำหรับเสียบสากตำข้าว มีสากสามขนาด ตำ ต่าวและซ้อม แม่เป็นคนกำกับลูก ๆ ออกแรงเหยียบหางแม่มอง ปล่อยสากก็กระทำครกที่ใส่ข้าวเปลือกไว้ จากตีห้าจนเกือบหนึ่งโมง ถึงเสร็จ ได้ข้าวสารไปไว้นึ่งกิน ลูกสาวต้องเรียนอะไรบ้างจากการตำข้าวฝัดข้าวด้วยกระด้งฝัด ตำแล้วก็ฝัดครั้งที่ 1 ใส่ครกตำต่อแหลกแล้วก็ฝัดครั้งที่ 2 ใส่ครกตำต่อ ยกที่สาม ข้าวเปลือกแตกเกือบหมดแล้ว ร่อนเอารำออกค่อยฝัดแยกเศษข้าวเปลือกออกจากข้าวสาร ต้องหัดเป็นทุกคน
.........งานครัวลูกสาวต้องเรียนรู้จากแม่หลายอย่างโดยเฉพาะ การนึ่งข้าวเหนียว การจัดเตรียมอุปกรณ์ทำครัว เมนูอาหารตามสภาพ เดินออกจากบ้านอย่ากลับมามือเปล่า มีผักมีกบเขียดให้จับเอา น้ำพริกต้องทำเป็นหลาย ๆ อย่าง น้ำพริกล้วนใช้พริกอ่อน น้ำพริกผักพริกกับผักคะย่า ผักชีหอม น้ำพริกปลา กบเขียด น้ำพริกเนื้อ  หมู ไก่ เมนูแกง แกงผักขมแกงขี้เหล็กแกงผักหวาน แกงส้ม แกงอ่อม เมนูหมักดอง ดองผักเสี้ยน ดองผักกาด ดองผักหอมกระเทียม ดองผักอื่น ๆ ทำส้มปลาน้อย ส้มไข่ปลา ส้มปลาขาว ส้มหมู ส้มเนื้อ ฯลฯ เมนูของหวาน ข้าวเขียบ ข้าวต้มมัด ข้าวต้มผัด บวชกล้วย บวชหมากอื๋อ ฯลฯ ลูกสาวต้องฝึกเพราะมีโอกาสได้ทำทุกอย่างที่กล่าวถึง
.........งานเย็บปักถักร้อยอันนี้ก้สำคัญ ดีที่สมัยนั้นยังไม่มีแฟชั่นมากมายเหมือนสมัยนี้ ลูกสาวจึงมีงานตัดเย็บไม่มาก ผู้ชายก็ใช้ผ้าโสร่ง ผ้าขะม้า กางเกงหัวรูด ผ้ายาว  เสื้อคอบ่วง แบบม่อฮ่อมทางเหนือ ผู้หญิงก็ผ้าซิ่น เสือสายเดี่ยว(เสื้อหมากกะแหล่ง) เสื้อคอบ่วงแขนสามส่วนนิยมย้อมผ้าฝ้ายด้วยสีดำ สีคราม ก็ต้องฝึกการทำสีย้อมครามไว้ย้อมผ้า จากการปลูกต้นคราม ตัดต้นครามมาแช่ให้เปื่อย กรองเอาเนื้อคราม
ไปทำสี  ฝึกการจุบหม้อนิล ส่วน
ผ้าไหมก็มีโสร่งไหม ซิ่นมัดหมี่ไหม เสื้อไหมนิยมใช้สีจากไหม ธรรมชาติ
.........ยาวมากแล้ว งานผู้หญิงเยอะจริง ๆ บ้านไหนฝึกลูกสาวได้ดีก็สบายใจ มีแต่คนอยากได้ไปเป็นสะใภ้ นอกจากจะดูงานบ้านงานเรือนแล้วยังมีงานทำสวนทำนาทำไร่ ที่ต้องฝึกเหมือนฝ่ายลูกชาย คือต้องช่วยกันทำงาน คนสมัยก่อนอยู่กันได้ด้วยความรักใคร่สามัคคีกัน ช่วยกันทำมาหากิน ทุกคนรู้จักภาระหน้าที่ มีความรับผิดชอบดี ขอจบแค่นี้ ขอโทษหากลืมไม่ได้กล่าวถึงกิจของงานผู้หญิงในบางเรื่อง เพราะหลงลืมครับ
ขุนทอง ตรวจทาน 1/8/59





วันอังคารที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

วิธีสอนของพระพุทธเจ้า


พุทธวิธีสอน
................พูดถึงการสอน ทุกคนรู้จักกันดีว่า การสอนเป็นการทำให้ผู้ได้รับการสอนเกิดปัญญา ขจัดความไม่รู้ออกไป สามารถนำไปใช้แก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ตามสภาพปัญญาที่เกิดขึ้น  เมื่อมีใครถามถึงวิธีสอน
ทั่ว ๆ ไปก็สามารถพูดคุยกันได้ด้วยความรู้สึก สบาย ๆเป็นธรรมดา ไม่ค่อยจะเครียด  แต่พอมีผู้ขอให้พูดถึงการสอนวิชาพระพุทธศาสนา รู้สึกเป็นเรื่องที่พูดยาก เพราะเป็นการพูดถึงการสอนหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ใคร ๆ ก็รู้จักท่านในฐานะที่เป็นครูที่ดีที่สุดเท่าที่เคยได้ยินได้ฟังมา  ยังไม่เคยเห็นใครสอนโจรดุ ๆอย่างองคุลีมาลให้วางดาบได้โดยไม่ต้องออกแรง ไม่เคยได้ยินครูที่ไหน สอนคนให้ละกิเลสได้เด็ดขาดจนเป็นพระอรหันต์คราวละนับสิบนับร้อยคน  วิธีสอนหลักธรรมพุทธศาสนาที่ดีที่สุดก็วิธีที่พระพุทธองค์ท่านใช้นั่นเอง ดังนั้นในข้อเขียนฉบับนี้ตั้งใจจะศึกษาถึงพุทธวิธีที่ท่านใช้ประกาศศาสนากระจายไปทั่วโลกมาแล้ว  ว่าทำไมบุคคลผู้หนึ่งที่เกิดเมื่อสองพันห้าร้อยกว่าปีมาแล้ว ที่เราท่านคิดว่าเป็นยุคสมัยที่โลกยังไม่เจริญ  แต่ท่านประสบผลสำเร็จในการสอนอย่างน่าอัศจรรย์ และสิ่งที่ท่านประกาศ ที่ท่านสอน เป็นเรื่องที่ท้าทายคนยุคนั้นสมัยนั้น ที่ส่วนมากเลื่อมใสศรัทธาลัทธิพราหมณ์ เชื่อศรัทธาในพระเป็นเจ้า เคารพเทวะ พร้อมที่จะยอมพลีชีพเพื่อเทวะ บวงสรวงด้วยสิ่งมีชีวิต เพื่อทำความพึงพอใจแก่เทวะ  คำสอนพระพุทธเจ้า ลบล้างความเชื่อเหล่านั้นโดยสิ้นเชิง เหตุใด บุรุษผู้หนึ่งจึงกระทำการอันน่าอัศจรรย์เช่นนั้นในสถานการณ์สังคมเช่นนั้นได้
                อะไรคือปัจจัยที่ทำให้พระพุทธเจ้าประสบผลสำเร็จในการเป็นครูจนได้รับยกย่องว่า  ปุริสธัมมสารถี สัตถาเทวามนุสสานังเป็นครูแห่งเทวดาและมนุษย์ทั้งปลาย  หากเราจะสังเกตบุคคลที่เราเคารพศรัทธา หรือเลื่อมใสที่พบเห็นได้ทุกวันนี้จะพบว่า
          เรามักจะศรัทธาคนที่มีบุคลิกดีได้ง่ายกว่าคนที่บุคลิกไม่ดี
          เรามักจะศรัทธาคนที่พูดจาดีง่าย กว่าคนที่พูดจาไม่น่าฟัง
          เรามักจะศรัทธาคนที่มีเมตตาต่อเราโดยสนิทใจไม่คลางแคลง
          เรามักศรัทธาคนที่เข้มแข็งกว่าเรา และอาจให้เราพึงพาได้ ง่ายกว่าคนที่อ่อนแอกว่าเรา
          เรามักจะศรัทธาคนเก่งง่ายกว่าคนที่ไม่เก่ง
           จาก 5 ประเด็นที่เลือกมา เพราะได้ทราบมาว่าพระพุทธเจ้าเป็นคนที่ใครได้พบเห็นก็มักเลื่อมใสศรัทธาได้ ง่าย การที่คนผู้หนึ่งมีคนอื่นเลื่อมใสศรัทธา หากคนผู้นั้นจะแนะนำสั่งสอนผู้ที่เลื่อมใสตนเอง ย่อมทำได้ง่าย ดังนั้นจึงจะใช้ 5 ประเด็นที่เลือกนี้ไปศึกษาคุณลักษณะพระพุทธเจ้า คิดว่า 5 ประเด็นก็น่าจะพอที่จะหาข้อสรุปได้ว่า พระพุทธเจ้าท่านมีคุณสมบัติที่ทำให้ผู้คนศรัทธาเลื่อมใสได้ง่าย จริงหรือไม่เพียงใด
                บุคลิกภาพของพระพุทธเจ้า หลังประสูติไม่กี่วันพราหมณ์ที่ได้รับเชิญมาร่วมงานรับขวัญพระกุมาร ตัวแทน 8 คน ทำนายลักษณะสิทธัตถกุมารโดยอาศัยตำรามหาปุริสลักษณะ 32 ประการ  แล้วทำนายคติ 2 อย่างว่า ถ้าเป็นฆราวาสมีโอกาสเป็นจักรพรรดิ เป็นบรรพชิตจะได้เป็นศาสดาเอก  ตำราที่
ว่านี้มีอยู่จริง ผู้นับถือศาสนาพราหมณ์ทั้งหลายเชื่อถือมาก่อนที่สิทธัตถกุมารจะประสูตินับร้อยนับพันปี  เป็นข้อมูลประการแรกที่ยืนยันว่า พระพุทธเจ้ามีบุคลิกที่ไม่ใช่ธรรมดา       นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าขานเกี่ยวกับบุคลิกที่สง่างามของพระองค์อีกมากมายในพระไตรปิฎก บางครั้งมีพระภิกษุหนุ่มติดตามเพื่อจะได้เผ้าใกล้ชิด ได้เห็นรูปกายของพระองค์  บางครั้งมี พราหม์ที่มีธิดารูปโฉมงดงาม ไม่ยอมยกให้ชายหนุ่มคนใด พอได้เห็นพระพุทธเจ้าก็ยินดีอยากจะยกลูกสาวให้เป็นชายา ดังนี้เป็นต้น เรื่องเล่าขานตำนานต่าง ๆ เหล่านี้ ชี้ให้เห็นว่าพระพุทธเจ้า มีบุคลิกลักษณะสมกับที่เล่าลือกันมาว่า ครบมหาปุริสลักษณะ 32 ประการ ทำให้ผู้ได้พบเห็นเลื่อมใสศรัทธาได้ง่าย
                ประการที่ 2 ถ้อยคำวาจาที่น่าเลื่อมใส การมีเสียงกังวาน   นุ่มนวล ไพเราะ ชวนฟัง เป็นคุณสมบัติประการหนึ่งในมหาปุริสลักษณะ  แต่ถ้อยคำที่น่าเลื่อมใสนั้น นอกจากจะไพเราะ ยังจะต้องมีประโยชน์แก่ผู้ฟังด้วย ในประเด็นนี้คงไม่มีอะไรน่าสงสัยเพราะถ้อยคำทั้งมวลที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ล้วนเป็นไปเพื่อสั่งสอนให้ ศาสนิกชน ให้พ้นจากทุกข์ พ้นจากกิเลสตัณหา  ปัญจวัคคีย์ยอมออกบวช 5-6 ปีติดตามเฝ้าพระสิทธัตถะ เพียงหวังจะได้ฟังคำสอนที่มีสาระประโยชน์แก่ตน ซึ่งก็ไม่ผิดหวัง  ปฐมเทศนาชื่อธัมมจักกัปปวัตนสูตร ที่ทรงเทศนาที่ป่าอิสิปตน มิคทายวัน เป็นหลักฐานสำคัญว่าวาทะของพระ พุทธเจ้า เป็นไปเพื่อประโยชน์ผู้ฟังทั้งยังทำให้ผู้ฟังบรรลุจุดประสงค์การสอนทีละคน ๆ จนครบทั้ง 5 ถ้าถ้อยคำไม่ดีจริง ทั้ง 5 ท่านคงไม่ยอมขออุปสมบทเป็นสาวกแน่นอน  ยังมีอีกมากมายตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าถ้อยคำของพระสิทธัตถะนั้น เป็นถ้อยคำที่มีคุณค่ายิ่งกว่าเพชรนิลจินดา สามารถทำให้ผู้ฟังอย่าง
องคุลีมาลวางดาบประหารมาเป็นลูกศิษย์จนชั่วชีวิต สามารถทำให้เจ้าชายรัชทายาทกษัตริย์หลาย
ราชวงศ์ ละทิ้งราชสมบัติมาเป็นศิษย์ตถาคต  สามารถทำให้บุตรเศรษฐีร่ำรวยมหาศาล ละทิ้งบ้านเรือน
ข้าทาสบริวารมาเป็นนักบวชศิษย์ตถาคตมีผ้านุ่งห่มเพียงสามผืน หากินด้วยบาตร 1 ใบ ถ้าถ้อยคำไม่ดี
จริง ไม่น่าเลื่อมใสจริง เหตุการณ์เหล่านั้นคงไม่เกิดขึ้น
                ความมีเมตตา คือปรารถนาดีต่อผู้อื่น พระพุทธเจ้าได้ชื่อว่าเป็นผู้มีเมตตากรุณาสูงส่ง  ตรัสรู้แล้วพระองค์เข้าถึงนิพพานอันเป็นบรมสุขที่แท้จริง  ท่านจะเสวยวิมุติสุขของท่านไปตลอดอายุขัยก็ไม่มีใครไปตำหนิท่านได้ แต่ท่านต้องยอมลำบาก ด้วยเมตตากรุณาของท่าน ทำงานตลอด 45 ปี จนถึงวินาทีสุดท้าย เพื่อสั่งสอนผู้อื่นให้ได้พบวิมุติสุข มีผู้บรรลุธรรมหลายร้อยหลายพันคน ทั้งยังวางหลักคำสอนที่เป็นอมตะไว้ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา ได้ปฎิบัติ สืบต่อกันมากว่าสองพันห้าร้อยปี  มีผู้ได้รับประโยชน์จาก
คำสอนของท่านนับหมื่นนับพันล้านคน  ยังจะมีใครอีกที่มีโอกาสสร้างคุณงามความดีแก่ชาวโลกมากมายขนาดนี้ ขนาดล่วงลับไปแล้วยังมีคุณค่าแก่อนุชนรุ่นหลังไม่รู้จบ  เมตตากรุณของท่านยิ่งใหญ่เกินจะกล่าวยกย่องได้ครบถ้วน
                ความเข้มแข็งที่หาได้ยาก  พลังกายที่แข็งแรง พลังจิตที่แกร่งกล้า คือความเข้มแข็งที่น่าเคารพน่าศรัทธา พระสิทธัตถะท่านมีครบบริบูรณ์ ในวัยหนุ่มท่านมีปราสาทสามฤดู มีนางสนมที่เลือก
สรรแล้วบำรุงบำเรอ ทั้งวันทั้งคืน มีชายาที่เลือกสรรว่างดงามไม่มีที่ติอย่างเจ้าหญิงยโสธรา  เจ้าชายหนุ่มผู้บริบูรณ์ด้วยอิสริยยศ เพียบพร้อมด้วยศิริราชสมบัติ ถ้าพลังจิตไม่เข้มแข็งจริงออกบวชไม่ได้แน่นอน  การบำเพ็ญทุกกรกิริยา 6 ปี ถ้าจิตใจไม่หนักแน่นมั่นคง เลิกไปแล้ว ไม่มีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นแน่นอนถ้าเจ้าชายสิทธัตถะอ่อนแอ  มีอุปสรรคหลายอย่างขัดขวางการสั่งสอนของท่าน ไม่เคยย่อท้อ เขาจ้างชาวบ้านมายืนด่าด้วยถ้อยคำหยาบคายสองข้างทางที่เสด็จไปบิณฑบาต ไม่หนี  เขาจ้างสาว ๆ มาสมอ้างว่าตั้งท้องกับพระสิทธัตถะ ท่านไม่หวาดหวั่น เขาหาช้างตกมันมาปล่อยให้ไล่กระทืบ ท่านไม่กลัว  เขาจ้างมือ ปืน(ธนู) ดักยิง ก็ไม่เกรง คนเข้มแข็งอย่างนี้ แม้แต่ศัตรูตัวฉกาจ อย่างพระเทวทัต ยังต้องยอมแพ้ ท่านเข้มแข็งสุดยอดมนุษย์จริง ๆ
                  เจ้าชายสิทธัตถะเป็นคนเก่ง สมัยเป็นวัยรุ่นท่านเรียนหนังสือก็เก่งที่สุดในรุ่น   จนอาจารย์ก็ชมเชย ออกบวชไปเรียนหนังสือกับพระดาบส ใช้เวลาไม่นานพระดาบสก็ต้องบอกว่า อาตมาก็รู้แค่นี้คือสมาบัติ 8 ทั้งที่คนอื่นศึกษาฝึกอบรมหลายสิบปี ยังไม่เคยมีใครเรียนจบความรู้เท่าพระดาบสที่เป็นอาจารย์เลย เจ้าชายเรียนไม่นานก็จบแล้ว เก่ง จริง ๆ   ตรัสรู้ใหม่ ๆ คนเดียวแท้ ๆท่านไปเหยียบถิ่นนักบวชต่างลัทธิอย่างชฎิล ผู้มีบริวารนับพัน เป็นนักบวชคนละลัทธิ เหมือนพุทธกับคริสต์ทำนองนี้ กล้าหาญมากนอกจากกล้าไปนอนค้างบ้านเขาแล้วยังสอนให้เขาเลิกบูชาไฟหันมาบวชเป็นลูกศิษย์ของตนได้   คือได้ทั้งอาจารย์และลูกศิษย์นับพันมาเป็นสาวก แบบนี้ต้องยอมรับว่ายอดเก่งจริง ๆ
                จากบทวิเคราะห์ทั้ง 5 ประเด็น น่าจะเพียงพอสำหรับที่จะสรุปว่า พระพุทธเจ้านั้น ท่านมีคุณลักษณะความเป็นครูที่ยอดเยี่ยม  มีบุคลิกทางกายภาพที่สมบูรณ์ด้วยมหาปุริสลักษณะ  มีสำเนียงถ้อยคำที่นุ่มนวลน่าฟัง แถมเป็นถ้อยคำที่มีประโยชน์อย่างยิ่งแก่ผู้ฟังด้วย  ท่านมีน้ำพระทัยเปี่ยมด้วยเมตตากรุณา ซึ่งมิใช่ธรรมดา เป็นเมตตากรุณาที่สัตว์โลกนับพันล้านหมื่นล้านได้ประโยชน์  ท่านเป็นคนเข้มแข็ง ทำสิ่งที่คนธรรมดา ๆ ไม่อาจจะทำ แต่ท่านทำได้  ทั้งยังมีความเก่งกล้าออกจะบ้าบิ่นด้วยซ้ำไป
จนฝ่ายตรงข้ามหรือศัตรูไม่น้อยต้องหันมาสยบให้ เพียงแค่นี้ก็ไม่สงสัยแล้วว่าทำไมท่านจึงมีคุณสมบัติที่ทำให้ใครได้พบเห็น ได้คบหา ได้ฟัง ได้ร่วมกิจกรรมกับท่าน จึงเกิดศรัทธาเลื่อมใส และเชื่อฟังคำสอนของท่านแต่โดยดี
                พทุธวิธีการสอน  จากการศึกษาบุคลิกภาพความเป็นครูของพระพุทธเจ้าแล้ว เราพบว่าท่านมีทุกองค์ประกอบบริบูรณ์นับว่าได้เปรียบครูคนอื่น ๆ อย่างมาก ต่อไปก็จะศึกษาวิธีสอนว่าพระพุทธเจ้าท่านใช้วิธีสอนอย่างไรบ้าง ก่อนอื่น ต้องยอมรับว่าผู้เขียนมีความเชื่อว่าวิธีสอนของท่านน่าสนใจ สอนคราวใดมักจะมีผู้บรรลุจุดประสงค์คือเกิดดวงตาเห็นธรรมจำนวนมาก ดังนั้นจึงน่าสนใจว่าท่านทำได้อย่างไร โดยจะพยายามศึกษาจากข้อเขียนของท่านผู้รู้ เช่น พระธรรมปิฎก (ประยุต ปยุตโต)สุชีพ ปุญญานุภาพ เสฐียรพงศ์ วรรณปก พุทธประวัติ และพระไตรปฎิฎก เป็นต้น ซึ่งพอสรุปความและนำเสนอ ได้ดังนี้
                1 .  พระพุทธเจ้ามีปกติจะสอนคนอื่นในเรื่องใด ๆ สิ่งนั้น ๆ ท่านมักจะปฏิบัติได้ ทำได้ มาก่อน เช่นท่านจะสอนอริยสัจ 4ท่านก็บรรลุมาก่อนแล้วจึงสอน ปัญจวัคคีย์เฝ้าอยู่ 5 ปี 6 ปี ไม่เคยเห็นท่านสอนมาก่อน พอตรัสรู้แล้วท่านจึงยอมสอน  สอนให้มักน้อยสันโดด ท่านปฏิบัติให้ดูเห็นชัดว่าอยู่ได้ ทำได้ ให้พระสาวกถือผ้าสามผืน ท่านก็ทำเป็นแบบอย่าง  ครูที่มีปฏิปทาแบบนี้ลูกศิษย์เชื่อฟังแน่นอน
                2.   รู้จักลูกศิษย์ดี เรียกได้ว่ามองทะลุไปถึงก้นบึงเลยทีเดียว เพียงพบปะทักทายนิดเดียวท่านรู้จักแล้ว ว่าเป็นใคร มาจากไหน มีอุปนิสัยเป็นอย่างไร เป็นบัวประเภทไหน สอนได้หรือสอนไม่ได้ เช่นตอนแยกทางกับสาวกไปประกาศศาสนา ท่านไปพบภัททวัคคีย์พาสาว ๆ มาเที่ยวกัน กำลังพากันตามหาสตรีนางหนึ่งที่แอบลักเครื่องประดับหนีไป พวกหนุ่ม ๆ ผ่านมาพบและถามท่าน สนนากันครู่เดียวท่านรู้ว่าหนุ่มพวกนี้เป็นพวกบัวโผล่พ้นน้ำ จึงแนะนำให้หาตนเองแทนที่จะไปหาสตรีที่หลบไป  พอได้ฟัง
คำสอนไม่นานก็เกิดดวงตาเห็นธรรม ขออุปสมบททั้ง 30 คน  
                 3. เป็นผู้เชี่ยวชาญการสอนเป็นรายบุคคล สมัยหนึ่งพระเถระนักเทศน์ใหญ่ท่านหนึ่งนามพระมหาปันถกเถระ มีน้องชายมาบวชศึกษาธรรมอยู่ด้วยชื่อ จูฬปันถก  พระรูปนี้ขึ้นชื่อว่ายอดปึก  คาถาบทเดียวพระเถระพี่ชายให้ท่อง ตลอดพรรษาท่องไม่จบ จนตัวเองก็เบื่อหน่าย โดนพระเถระพี่ชายดุด่าเข้าก็เสียใจจะเลิกล้มการบวช พระพุทธเจ้าทราบเข้าก็เรียกไปพบสอนว่าไมต้องเสียใจให้ผ้าขาวสะอาดผืนหนึ่ง สั่งให้ไปนั่งในที่สงัดแล้วบริกรรมว่า รโช หรณัง   ๆ  ๆ บริกรรมไปก็ลูบผ้าไปเรื่อย ๆนานเข้าผ้าขาวก็สกปก พระจุฬปันถกเกิดดวงตาเห็นธรรม ซึ่งต่อมาก็บรรลุอรหันต์ตัดกิเลสอาสวะได้
                   4. ทรงสอนโดยยึดหลักการสอนจากสิ่งที่เข้าใจง่ายไปหาสิ่งที่เขาใจยาก   วิชาครูที่เราภูมิใจนักหนา ว่าฝรั่งคิดได้ยอดเยี่ยมนั้น  บรมครูท่านใช้อยู่เมื่อสองพันห้าร้อยปีมาแล้ว  ท่านสอนปัญจวัคคีย์เรื่องทางสามสาย  ที่บรรพชิตปฏิบัติ กามสุขัลลิกานุโยค สายแรกพวกที่ยังยินดีในกามคุณ  ปัญจวัคคีย์รู้จักดีเพราะท่านก็เป็นนักบวชมาก่อน สายที่สอง อัตตกิลมถานุโยคพวกชอบทรมานตนเองให้ได้รับความลำบาก สายนี้ก็มีตัวอย่างให้เห็นมากมาย เข้าใจได้ไม่ยาก สุดท้ายสายมัชฌิมาปฏิปทาของบรมครูสิทธัตถะเอง ยากกว่าสองสายแรก คนฟังก็สนใจอยากรู้ว่ามันต่างจากสายที่เคยรู้จักอย่างไร ฟังไป ฟังมาก็เกิดดวงตาเห็นธรรม
                4. หลักการศึกษาที่เรียกไตรสิกขา เป็นอีกตัวอย่างที่เห็นได้ชัดว่าทรงสอนจากเรื่องพื้น ๆ ไปหาเรื่องยาก ๆ ศีลสิกขาปฏิบัติง่ายที่สุด สอนให้ปฏิบัติก่อน สมาธิสิกขา ฝึกสมาธิยากกว่ารักษาศีล ฝึกในลำดับถัดมา  ปัญญาสิกขา ศึกษาให้เกิดปัญญาเฉลียวฉลาด  ยากกว่า 2 อย่างแรกให้ฝึกเป็นขั้นสุดท้าย
                5.  สอนโดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ  บรมครูท่านให้ความสำคัญต่อผู้ที่ท่านจะสอนมาก  หากเห็นว่าผู้เรียนไม่พร้อมท่านจะไม่สอน เจ้าหญิงรูปนันทา ลือกันว่าทรงศิริโฉมงดงามมาก ภายหลังออกบวชเป็นภิกษุณี ไม่กล้าเข้าเฝ้าพระศาสดา เพราะทราบกิติศัพท์ว่า พี่ชายคนนี้ชอบตำหนิว่ารูปไม่เที่ยง ไม่งาม ไม่จีรังยั่งยืน น่าเบื่อหน่าย เธอเป็นคนรักรูปโฉมตนเองว่างดงามล้ำกว่าใครพระสิทธัตถะก็ไม่สนใจจะเรียกมาสั่งสอน แม้นางจะเป็นธิดาของนางประชาบดีโคตมี พระมารดาเลี้ยงของพระองค์ พระเถรี
รูปนันทาจึงมีศักดิ์เป็นน้องสาว จนกระทั่งเห็นว่านางมีอุปนิสัยแก่กล้าแล้วพอจะสอนได้ จึงถือโอกาสสอน ซึ่งเป็นไปตามจุดประสงค์พระเถรีรูปนันทาเกิดดวงตาเห็นธรรม และบรรลุอรหันต์ในที่สุด
                 6.  สอนตามสภาพจริง มีตัวอย่างมากมายที่พระพุทธเจ้าสอนโดยใช้สภาพจริงที่เกิดขึ้นเป็นสื่อการสอน  คราวหนึ่งมีสตรีคนหนึ่งบุตรน้อยเธอเสียชีวิตลง มีคนแนะนำให้เธอมาเฝ้าพระศาสดาบอกว่ามียาดีรักษา พระพุทธเจ้าบอกว่า ยาดีรักษาได้มี แต่ต้องได้เมล็ดผักกาดสักหยิบมือหนึ่งมาผสมเครื่องยา ให้ไปตระเวนหาขอจากบ้านที่ไม่มีใครตาย ไม่มีญาติที่น้องตาย ได้แล้วนำมาจะจัดยาให้  เธออุ้มศพลูกน้อยเที่ยวขอเมล็ดผักกาดไปทำยา ไปบ้านไหนเขาก็บอกว่า พ่อตาย แม่ตาย ญาติตาย พี่ตาย น้องตาย ลูกตายหลานตาย นานวันเข้าศพก็เน่าเปื่อย ในที่สุดเธอก็ได้คิดกลับมาเฝ้าพระพุทธเจ้า  ได้ฟังธรรมเทศนาจนเกิดดวงตาเห็นธรรมและบรรลุอรหันต์
                7. สอนให้ผู้รับการสอนมีส่วนร่วม  มีกรณีตัวอย่างมากมายในพระไตรปิฏกที่แสดงให้เห็นว่าพระพุทธเจ้ามักจะชักชวนผู้ที่ท่านสอนให้มีส่วนร่วมในการสนทนา จนทำให้เกิดความเข้าใจหลักธรรมคำสอนที่ถูกต้อง ดังเช่น  ในเล่มที่ 12 หัวข้อที่ 27….97เล่าว่าสมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิก เศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี. ครั้งนั้นแลชาณุโสณีพราหมณ์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ ประทับ ได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค  และสนทนาถึงความน่ากลัวของการอยู่ในป่า พระพุทธเจ้าได้นำสนทนาถึงความน่ากลัวเกิดจากพฤติกรรมของคนที่ มีกาย วาจาและจิตที่ยังไม่บริสุทธิ์ แต่ไม่มีความน่ากลัวสำหรับผู้ที่กายวาจาใจบริสุทธิ์แล้ว จากนั้นก็สอนหลักธรรมให้ฟัง ในที่สุดชาณุโสณีพราหมร์ก็ออกบวชและบรรลุอรหันต์ในเวลาต่อมา
                 อีกตัวอย่างในอักโกสกสูตรที่ ๒ เล่มที่ 19 ข้อ 631634 เล่าว่า สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในพระวิหารเวฬุวัน  พระนครราชคฤห์ ฯ   อักโกสกภารทวาชพราหมณ์ได้ยินว่า พราหมณ์ภารทวาช โคตรหลายคนจากเรือนไปบวชเป็นบรรพชิต ในสำนักของพระสมณโคดมแล้ว  โกรธ ขัดใจ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้ว ด่าบริภาษพระผู้มี พระภาคด้วยวาจาอันหยาบคาย    พระพุทธเจ้าชวนสนทนาว่า เมื่อมีแขกมาเยี่ยมพราหมณ์ต้อนรับด้วยสิ่งของหลากหลาย เมื่อแขกไม่รับ ไม่บริโภคสิ่งของที่จัดให้ สิ่งของนั้นจะเป็นของใคร พราหมณ์ตอบว่ายังเป็นของตนเองเหมือนเดิม พระพุทธเข้าก็สรุปว่า เช่นเดียวกัน เรามาเยือนถึงบ้านเมืองท่าน  พราหมณ์ต้อนรับเราผู้เป็นแขกด้วยถ้อยคำหยาบคาย เราไม่รับ ไม่บริโภคคำหยาบคายของท่าน ทุกถ้อยคำยังเป็นของท่านเช่นกัน จากนั้นก็ถือโอกาสสอนโทษแห่งความโกรธและคุณประโยชน์ของการไม่โกรธ ในที่สุดพราหมณ์ชื่มชมเลื่อมใสขอบวชในพระพุทธศาสนา
                 จากกรณีตัวอย่างที่นำเสนอนี้ เพียงพอที่จะชี้ให้เห็นถึงความเป็นครูผู้ยิ่งใหญ่ของพระ พุทธเจ้า เป็นครูที่มีพฤติกรรมการสอนที่น่าอัศจรรย์  ยิ่งศึกษาชีวประวัติและผลงานท่านยิ่งจะพบเห็นเทคนิควิธีสอนแปลก ๆ ที่ท่านใช้ ซึ่งมักจะปรับเปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อม ปรับเปลี่ยนไปตามสภาพผู้รับคำสอน  เราจะได้เห็นบางคราวท่าน ใช้วิธีตอบปัญหาที่ผู้มาเฝ้าถาม บางทีสอนให้เข้าใจสิ่งที่เป็นนามธรรมโดยอาศัยสิ่งที่เป็นรูปธรรมเป็นสื่อให้เกิดความเข้าใจ  มีมากมายหลายอุทาหรณ์ที่ท่านใช้วิธีสาธก อ้าง
เหตุการณ์ ประวัติ   หรือชาดกสอนให้ผู้ฟังเข้าใจแจ่มแจ้งในอรรถธรรม นับว่าท่านเป็นครูที่บริบูรณ์ด้วยคุณสมบัติของครูอย่างแท้จริง ได้แก่  ปิโย เป็นบุคคลที่ใครได้พบเห็นก็มีความรู้สึกรักใคร่เป็นมิตร  คุรุ เป็นผู้มีจิตใจหนักแน่นไม่หวั่นไหวต่ออุปสรรคปัญหา  ภาวนีโย เป็นผู้มีจริยะธรรมน่าเคารพนับถือ  วัตตา มีคำพูดที่แหลมคมกระทบใจคนฟัง  วจนักขโม มีความอดกลั้นสูงถูกคนดุด่าว่ากล่าว ยังมีน้ำในสั่งสอนให้เขาได้เข้าใจหลักธรรมโดยไม่โกรธ  คัมภีรกถัง กัตตา สามารถขยายความสิ่งที่ยุ่งยากซับซ้อนให้เข้าใจได้ง่าย   โนจัฎฐาเน นิโยชเน  ไม่ชักนำใคร ๆ ไปทางเสียหายพุทธัง สรณัง คัจฉามิ  
......................
ขุนทอง ตรวจทาน 1/8/59





พูดถึงเรื่องบุญ

ข้อเขียนจากเวบไซท์ เดิมเป็นบทสนทนา

เปิดบุญ โอนบุญ
--------------
............ยายที่บ้านแกบ่นว่า ได้ยินชาวบ้านเขาใช้ถ้อยคำแปลก ๆ  เปิดบุญ โอนบุญ เบิกบุญ มันคืออะไรคะคุณตา  ได้ยินแล้วก็ขำ คนสมัยนี้ช่างพูดช่างสรรหาถ้อยคำมาพูดจากันให้มันมึนงงกันดีนัก  จากคำว่าบุญ  ที่ระบุ คงเกี่ยวข้องกับพุทธศาสนาเพราะพวกเราชอบทำบุญกัน เลยถือโอกาสตามหาข้อมูลจากอินเตอร์เนตพบหลายเวบไซท์ ชักชวนให้เปิดบุญ  อ่านดูก็พอเข้าใจเลยนำเล่าสู่กันฟัง ดังนี้
............. บุญคืออะไร  จากหลักคำสอนพุทธศาสนา  บุญมาจากการทำกิจกรรม 3 อย่างคือ ทานมัย 
สีลมัย และภาวนามัย  แม้จะมีการขยายความเป็น10 อย่าง ก็ประมวลลงใน 3 กลุ่มนี่เอง  ทำทานก็ได้บุญ รักษาศีลก็ได้บุญอบรมก็ได้บุญ รวมเรียกง่ายๆว่าเป็นการทำความดีนั่นแหละ  ความดีที่ทำไว้ถึงจะมอง
ไม่เห็นแต่มันจะสะสมมากขึ้น ๆกลายเป็นพลังมหาศาลส่งผลดีแก่ผู้กระทำ ทั้งในอดีตปัจจุบันและอนาคต และยังเชื่อกันว่าความดีเหล่านี้จะติดตามไปตลอดภพตลอดชาติที่ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่  จนกว่าจะตัดกระแสวัฏฏะขาดคือบรรลุนิพพาน เป็นอันจบด้วยความเชื่ออย่างนี้เองทำให้คนเรามีบุญอยู่ 3 สถานะ คือ บุญที่เคยทำไว้ในอดีต  บุญที่ทำอยู่ในปัจจุบันและบุญที่จะทำในอนาคต ส่วนจะมีมากมีน้อยแค่ไหนแล้วแต่การกระทำครับ
 .......  บุญในอดีต มีด้วยกันทุกคน เพราะสิ่งที่ส่งผลให้มาเกิดเป็นคนมาจากบุญครับ ไม่ใช่บาป แสดงว่าเรามีบุญที่เคยทำไว้ในอดีตกันทุกคนในภพปัจจุบัน  เราก็เคยทำความดีสะสมมาตั้งแต่ยังเด็ก เคยแบ่งปันสิ่งของ เคยทำทานกับพระ  เคยรักษาศีล เคยศึกษาอบรม มากบ้างน้อยบ้าง  ปัจจุบันเราก็มีบุญที่สะสมไว้เหมือนกัน  ส่วนในอนาคตเราก็คงต้องทำความดีต่อไป แต่เป็นบุญที่ยังไม่เกิด เอามาใช้ไม่ได้  สรุปได้เลยว่าเราทุกคนมีบุญมีความดี  
............การใช้บุญ มี 2 แบบครับคือ แบบปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติและแบบที่เราเจาะจงใช้ แบบธรรมชาติเราจะทำบุญสะสมไปเรื่อย ๆ  ปล่อยให้บุญมันผลิดอกออกผลเอง ทำทานมาก ๆ  กลายเป็น
คนใจกว้างไม่ตระหนี่ถี่เหนียว  รักษาศีลสม่ำเสมอกลายเป็นผู้ทรงศีล กายวาจาสงบเยือกเย็น ฝึกอบรมมาก ๆกลายเป็นคนฉลาดไม่โง่งมงาย การทำบุญหรือทำความดีแบบนี้ ผู้ทำจะได้รับผลเหมือน ๆ กัน จะมากจะน้อยแล้วแต่พลังแห่งบุญที่ทำไว้ แต่บางครั้งก็ทำให้สงสัยเหมือนกันเมื่อพบว่าบางคน  เราเห็นทำบุญไม่มากแต่เขาได้รับแต่สิ่งดีงาม ได้รับมากกว่าเราที่ทำบุญมากกว่าอีก  ความจริงเราเห็นบุญที่เขาทำน้อย  แต่บุญในอดีตที่เราไม่เห็นเขาอาจมีบุญมากมายที่สะสมไว้  ดังนั้นเรื่องของบุญจึงคาดเดาได้ยาก
............การใช้บุญแบบเจาะจง ได้แก่การอุทิศบุญ ซึ่งพอจะรู้จักกันบ้าง เวลาทำบุญตักบาตร คงเคยกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล แต่พอได้บุญจากการรักษาศีล ได้จากการอบรมภาวนา อาจนึกไม่ออกว่าเคยอุทิศบุญส่วนนี้บ้างหรือเปล่าถ้าไม่เคยก็ไม่เป็นไรหลัง จากได้บุญไปแล้ว บุญก็จะรวม ๆ กันอยู่ตอนสวดมนต์ไหว้พระหรือนั่งสมาธิ อย่าลืมแผ่ส่วนบุญกุศลนี่ก็เป็นการใช้บุญแบบเจาะจงเหมือนกัน  การแผ่กุศลก็เหมือนการ อุทิศบุญเวลาทำทานนั่นแหละ  บุญที่แปรสภาพเป็นพลังกายหรือสติปัญญา นี่ก็สามารถนำมาใช้
แบบเจาะจงใช้ ภาวนาคืออบรมโลกิยปัญญาจนจบปริญญา เอาไปสอบบรรจุเข้าทำงานได้ แบบนี้

เป็นต้น
.............การเปิดบุญ  เป็นการอธิษฐานจิตใช้บุญที่มีในอดีตและบุญที่มีในปัจจุบัน  คล้ายกับเปิดขุมทรัพย์มาใช้ประโยชน์นั่นเอง  จะเปิดมาทำอะไรก็แล้วแต่ความต้องการ  แต่ส่วนมากเปิดมาใช้ให้เป็นประโยชน์แก่ ผู้อื่น เช่น เปรต อสุรกาย ภูติ ยักษ์ มาร เทพ พรหมเจ้ากรรมนายเวร  สัตว์ดิรัจฉาน  มนุษย์เมื่ออธิษฐานจิตเปิดบุญให้  ผู้ที่รับทราบก็สามารถรับส่วนบุญได้ด้วยการ อนุโมทนา  เราก็ได้บุญเพิ่มขึ้น  การอธิษฐานเปิดขุมทรัพย์บุญของเรา ทำได้ตลอดเวลาที่ต้องการ วันละกี่ครั้งก็ได้  จะเปิดให้บริการเป็นสัปดาห์เป็นเดือนเป็นปี ตามใจชอบ อธิษฐานเอาเองครับ
........  การโอนบุญ เป็นสำนวนคำเทียบเคียงกับการโอนทรัพย์สินต่างๆ  ของที่เรามีหรือทำขึ้น สามารถโอนให้คนอื่นได้ฉันใด  การโอนบุญก็ทำได้เช่นกัน บุญที่นิยมโอนมักเป็นบุญที่ทำเสร็จใหม่ ๆ โอนให้ทันที  โอนเป็นบุญหรือขอให้ปรับบุญเป็นอาหาร สำหรับผู้รับ ก็อธิษฐานเอาเอง  การโอนบุญ เห็น
พูดกันว่านิยมให้ผู้รับที่อยู่ในภูมิไม่สูงนักเช่น เปรตภูติ ผีเจ้ากรรมนายเวร  เท่าที่สังเกตดูวิธีการโอนบุญก็เป็นการอุทิศส่วนบุญ แบบหนึ่งนั่นเอง 
 ........การเบิกบุญ  สำนวนเหมือนบริการธนาคารจริง ๆ  ลองอ่านดูวิธีเบิกบุญจากสวรรค์มาใช้ เขาแนะนำไว้ว่าผู้จะเบิกบุญควรอธิษฐานให้ชัดเจนจะเบิกบุญมาทำอะไร ให้ใคร ตัวอย่าง
..........“ขออาราธนาบารมีคุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ได้บันดาลบุญของข้าพเจ้าที่เคยสร้างสมมาตั้งแต่อดีตชาติจนถึงชาติปัจจุบันโดยส่งกระแสบุญนี้ถึง ….(นายเวร ภูตผี ปีศาจ เปรต อสูรกาย ยักษ์ คนธรรม์ นาคากุมพัน ครุฑ มาร แบคทีเรีย ไวรัส เทวดา พรหม ที่เป็นญาติของข้าพเจ้า (อาจ
กล่าวทั้งหมดหรือเลือกกล่าวอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้)……..ประจำตัว ของ…(ข้าพเจ้า)….หรือ…(พ่อแม่ พี่ น้อง ฯลฯ)จะระบุเป็นชื่อหรือไม่ก็ได้)……ขอให้ท่านช่วยให้……….(ระบุ)……………….”
..........  จากตัวอย่างคำอธิษฐานเบิกบุญ ที่ใช้กัน พอเข้าใจได้ว่า เป็นการขออำนาจบารมีแห่งบุญที่ตนเองทำไว้ได้ส่งผลมอบให้แก่ ผู้รับที่ต้องการให้มอบบุญไปให้ และยังขอให้ผู้ได้รับบุญ ช่วยเหลือทำสิ่งที่อยากได้เช่นหายทุกข์ โศก หายโรคภัย เป็นต้น
                        สรุปแล้ว การปิดบุญ โอนบุญเบิกบุญ  เป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการทำบุญของชาวพุทธนอกจากจะทำบุญแล้วยังต้อง การให้มีการแผ่ส่วนบุญไปให้ผู้อื่น  ซึ่งเป็นวิธีที่ปฏิบัติกันอยู่แล้ว  เพียงแต่การเปิดบุญ โอนบุญและเบิกบุญ  ค่อนข้างจะเอาจริงเอาจังจนน่าเป็นห่วงเหมือนกัน คือกลัวจะหลงบุญจนกลายเป็นกิเลสตัวใหม่เกิดมาแทน อย่าลืมว่าเราทำบุญด้วยการทำทานเพื่อลด โลภะ รักษาศีลเพื่อลดโทสะและภาวนามัยเพื่อลดโมหะ  เอาแค่พอดี ๆ ก็น่าจะพอแล้วแหละครับ

 ..........ปุจฉา...ทำบุญอุทิศให้พ่อแม่ที่ตายไป ท่านจะได้รับไหมครับอาจารย์
............ ลูกหลานเขาทำบุญแจก ข้าว หลังคุณพ่อเสียชีวิตครบ 100 วัน  ก็พากันทำบุญอุทิศ  ล้มวัวไป 1 ตัว หมู 2 ตัว ไก่ 10 ตัว ปลาหลายสิบกิโลกรัม ไก่และปลาซื้อจากตลาด ที่ล้มเองก็คือวัวกับหมูให้ลูกน้องจัดการให้  ของทำบุญเป็นผ้าสบงสำหรับถวายพระ 9 รูป ถังใส่เครื่องใช้สำหรับพระที่เรียกถังสังฆทาน 9 ชุดเครื่องบังสุกุลเป็นเครื่องสำหรับใช้ในบ้าน มีที่นอน หมอน มุ้ง เสื้อผ้า ถ้วยโถ โอ ชาม และอื่น ๆ เชิญแขกทั้งหมู่บ้าน เลี้ยงโต๊ะจีน 40 โต๊ะ เครื่องดื่มมีสุราทุกโต๊ะเห็นว่าหมดไปหลายหมื่น  น่าจะถามหลวงพ่อนะ เพราะผมเองก็ไม่ใช่พวกมีจตูปปาตญาณ จะได้รู้เห็นว่าเป็นอย่างไร มาถามแบบนี้ก็ต้องอาศัยตำราตอบให้
............  ประการแรก การทำบุญครั้งนี้ พวกเธอได้ทั้งบาปและบุญ บาปก็มากโขอยู่  ฆ่าวัว 1 ตัว หมู 2 ตัว ถึงให้คนอื่นฆ่า เจตนาก็ชัดแล้วว่าพวกเธอฆ่าเอาเนื้อมาใช้ในงานบุญ อันนี้บาปเต็ม ๆ  ส่วนที่ซื้อจากตลาด บาปน้อยหน่อย เป็นเพียงการสนับสนุนคนอื่นให้ฆ่า แต่ก็ยังไม่ใช่บุญ  โต๊ะจีน 40 โต๊ะ เหล้า 40 ขวดมีคนกินไม่เหลือซักขวด บาปเท่ากับกินเหล้าเอง  40 ขวดนั่นแหละ นอกจากนี้ก็อาจมีบาปเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการจัดงาน ก็รวม ๆ ไว้ในส่วนที่ เป็นกองบาป ก็คงมากโขอยู่
............ ประการที่ 2  บุญที่จะได้ ในงานครั้งนี้คงมาจาก การให้ทาน ข้าวปลาอาหารให้แขกที่เชิญมา ถวายภัตตาหาร เครื่องไทยทานต่าง ๆ  ถ้ารักษาศีล 5 ด้วยก็ได้มาอีก  ฟังเทศน์รู้เรื่องฉลาดขึ้นก็ได้บุญมาอีก  ตอนอุทิศส่วนบุญให้ผู้ตายก็ได้มาอีก  ก็คงมีเท่านี้สำหรับการทำบุญแจกข้าวครั้งนี้ ชั่งน้ำหนักบุญกับบาป ชักน่าเป็นห่วงเหมือนกัน กลัวบาปจะหนักมากกว่าบุญ
...........  ประการที่ 3  การอุทิศส่วนบุญ  ก็คงทำไปแล้ว บาปอุทิศไม่ได้ไม่มีใครอยากได้ผ่านไป  อุทิศส่วนบุญเจาะจงให้ผู้ตาย  ที่มีคำถามก็ตรงนี้เองว่า ผู้ตายจะได้รับไหม  ในตำราพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎก    ติโรกุฑฑเปตวัตถุ  ข้อ 90   เล่าถึงการทำบุญของพระเจ้าพิมพิสาร ครั้งแรกทำแล้วไม่ได้อุทิศส่วนบุญ    เปรตที่เคยเป็นญาติทราบข่าวจึงรีบมารอรับส่วนบุญ  ครั้งแรกผิดหวังจึงส่งเสียงประท้วงอื้อึงยามค่ำคืน พระเจ้าพิมพิสารตกใจกลัว ถามราชบัณฑิตก็ไม่มีใครอธิบายได้ จนเมื่อได้พบพระพุทธเจ้าจึงทราบเรื่องและได้ทำบุญอีกครั้ง ทำบุญเสร็จก็อุทิศส่วนบุญให้ญาติผู้ล่วงลับไปแล้ว เปรตที่เป็นญาติเหล่านั้นก็อนุโมทนาได้รับส่วนบุญตามอัตตภาพ พ้นจากสภาพที่เป็นเปรตทุกตน ถ้าญาติของเราที่ตายไป อยู่ในสถานะแบบเปรตญาติพระเจ้าพิมพิสาร ก็ตอบได้เลยว่า มีโอกาสได้รับส่วนบุญที่เราอุทิศให้  ถ้าผู้ตายทราบว่าบุตรหลานทุบุญอุทิศให้ และได้อนุโมทนารับเอาส่วนบุญ อันเป็นวิธีที่ทำให้เกิดบุญวิธีหนึ่งใน บุญกริยาวัตถุ 10
                   ทาน การให้
                    ศีล การรักษากายวาจาให้สะอาด
                    ภาวนา การอบรมจิตใจด้วยสมถะและวิปัสสนา
                    เวยยาวัจจะ การขวนขวายช่วยเหลือกิจการงานอันชอบธรรมของผู้อื่น
                    อปจายนะ กระประพฤติอ่อนน้อม
                    *****ปัตติทาน การให้ส่วนบุญที่ตนทำแล้วแก่ผู้อื่น****
                    ปัตตานุโมทนา การอนุโมทนาคือชื่นชมยินดีในบุญที่ผู้อื่นกระทำแล้ว
                    ธัมมัสสวนะ การฟังธรรม
                    ธัมมเทศนา การแสดงธรรม และ
                    ทิฏฐุชุกัมม์ การทำความเห็นให้ตรง
..........การทำบุญอุทิศให้ญาติพี่น้องที่ทำกันอยู่ ทำกันตอนที่ตายไปแล้ว บุญที่อุทิศให้ ถึงบ้าง ไม่ถึงบ้าง แล้วแต่เหตุปัจจัยเห็นบางแห่ง นิยมทำพิธีชักบุงสุกุล  หาข้าวของไปถวายพระให้ท่านชักบังสุกุลให้ บางทีไปทำที่เก็บกระดูก ไปทำที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต  ไปทำที่ท่าน้ำ(เอากระดูกมาลอยน้ำ) ก็เป็นวิธีทำบุญ พอได้บุญก็อุทิศไปให้  แต่ที่แปลก ๆ คือมีการทำบังสุกุลเป็น เขาทำบุญบ้าน  พระฉันเสร็จก็เรียกเจ้าภาพคนที่จะชักบังสุกุลเป็นมานอนลงตรงหน้าพระ  เอาผ้าขาวคลุมยังกะห่มผ้าศพ เอาห่อบังสุกุลมาวางข้าง ๆ แล้วพระก็สวดชักอนิจจาให้  เห็นบอกว่าจะทำให้ได้บุญเอง ทำให้หายเคราะห์หายโศก หายเจ็บป่วย 
.... ....การทำบังสุกุลเป็น ขอแนะนำให้ทำแบบตัวเป็น ๆ ถึงแน่นอน 100 %  พ่อแม่ตัวเป็น ๆ นี่แหละ อยากให้ท่านได้รับเครื่องนุ่งห่มสวย ๆ งาม ๆ ไปซื้อหามา แล้วไปกราบท่าน  ยกวางใส่มือท่านบอกว่า กระผม ดิฉัน ขอทำบังสุกุลเป็นให้คุณพ่อคุณแม่ด้วยเครื่องนุ่งห่มชุดนี้ พร้อมทั้งปัจจัย 1 พันบาท  พอวางเสร็จ ถึงผู้รับทันทีแบบเต็ม ๆ ไม่มีตกหล่น ไม่ต้องรอให้ท่านตายก่อนด้วยหลักเดียวกันนี้ จะชักบังสุกุลเป็นให้ญาติพี่น้องที่ยัง  ไม่ตาย ก็ทำได้เช่นเดียวกัน รับรองผู้รับบังสุกุลที่เราทำให้ยินดีอย่างยิ่งขอรับ
----------------------
ขุนทอง ตรวจทาน 1/8/59





การขอขมาลาโทษ

                                 ขอขมา พระรัตนตรัย บิดามารดา 
........................
.............. ผมไปร่วมพิธีสรงน้ำผู้ใหญ่ ร่วมทำวัตรสวดมนต์ ได้เห็นการขอขมาโทษในโอกาสต่าง ๆ รู้สึกว่าเป็นวิธีการที่น่าสนใจ และเคยนำไปประยุกต์ใช้หลายครั้ง จนมีบางคนสนใจอยากให้ผมเรียบเรียงเป็นระเบียบพิธีการให้บ้าง ก็คงต้องบอกตรง ๆแหละครับว่า ระเบียบพิธีการเป็นอย่างไรไม่ทราบมาก่อน แต่ที่ได้ประยุกต์ใช้นั้นเป็นหลักการที่เห็นว่า เหมาะสมกับกาละเทศะเท่านั้นเอง ที่กระผมเคยทำมีดังนี้
        1.  บอกกล่าวเทวดา
        2.  นมัสการพระรัตนตรัย
        3. กล่าวคำขอขมา
        4. มอบสิ่งของ
        5. ขออนุญาตสรงน้ำ
        6. ขอพร
.........บอกกล่าวเทวดา
        ทำไมต้องบอกล่าวเทวดา คงมีคำถามแน่นอน คำตอบก็คือเรากำลังจะทำสิ่งที่ดีงามเป็นมงคล เลยอยากประกาศให้เทพและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านได้รับรู้รับทราบ เหมือนเวลาพระท่านจะเจริญพระปริตตมงคล ท่านก็ชุมนุมเทวดาก่อนนั่นเอง คำบอกกล่าวเทวดา จะใช้คำบาลีเหมือนพระท่านใช้ก็ได้ คือบทว่า  "สคฺเค กาเม จ รูเป คิรีสิขรฏฐเต จนฺตลิกฺเข วิมาเน  ฯลฯ " หาได้จากหนังสือเจ็ดตำนาน สิบสองตำนาน มีทุกเล่ม
        กรณีที่จำบาลีไม่ได้ก็ประกาศเป็นภาษาไทย หรือภาษาลาวอีสานก็ได้ เทวดาท่านรู้ทุกภาษานั่นแหละ เช่นบอกว่า วันนี้เป็นวันดี พวกเราทั้งหลายมาร่วมชุมนุมกันเพื่อทำกิจอันเป็นมงคล ใคร่ขออัญเชิญทวยเทพยดาทั้งหลาย มีพระภูมิเจ้าที่และสิ่งศักดิ์สิทธิ์......เป็นต้น ขอได้มาชุมนุมกันเป็นสักขีพยาน โปรดบันดาลให้สิ่งที่พวกเรากระทำจงสัมฤทธิ์ผลในสิ่งที่ดีงามทุกประการ (แค่นี้เทวดาท่านก็รับทราบแล้ว)
..........นมัสการพระรัตนตรัย
           พวกเราชาวพุทธครับ ทำอะไรก็มักจะนึกถึงพระรัตนตรัยก่อน อย่างน้อยก็ตั้ง นโม สามจบ นั่นแหละคำนมัสการที่สั้นที่สุดละ แต่ถ้าจะทำให้ดูขลังหน่อยก็น่าจะลองใช้บท อิมินา ก็ได้
           อิมินา สักกาเรน ตํ พุทฺธํ  อภิปูชยามิ
           อิมินา สักกาเรน ตํ  ธมมํ อภิปูชยามิ
           อิมินา สักกาเรน ตํ  สงฺฆํ อภิปูชยามิ
           ถ้ายังไม่สะใจ ก็ต่อด้วย อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ ภควา พุทฺธํ ภควนฺตํ อภิวาเทมิ .......(ต่อไปว่าอะไรคงจำได้)
..........กล่าวคำขอขมา
           นมัสการพระรัตนตรัยจบก็เป็นการขอขมาครับ ขอขมาเพราะอะไร เพราะเราอาจล่วงเกินท่าน ล่วงเกินแบบไหน จำไม่ได้ครับ แต่คงอยู่ในสามช่องทางคือ อาจล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจาและด้วยใจ ที่ท่านเรียก ไตรทวาร ดังนั้นในคำกล่าวขอขมาจะมีคำนี้ปรากฏอยู่  ส่วนจะขอขมาใคร ระบุให้ถูกก็แล้วกัน เช่น  ใช้คำว่า รตนตฺตเย (ขมาพระรัตนตรัย) อายสฺสมนฺเต (ขมาผู้ใหญผู้สูงอายุ) มาตเร (ขมามารดา) ปิตเร(ขมาบิดา) มาตาปิตเร(บิดามารดา)  คำขอขมา ดังนี้

คำขอขมาพระรัตนตรับ
               รตนตฺตเย   ปมาเทน  ทวารฺตเยน  กตํ  สพฺพํ   อปราธํ   ขมถ เม   ภนฺเต
               รตนตฺตเย   ปมาเทน  ทวารฺตเยน  กตํ  สพฺพํ   อปราธํ   ขมถ เม   ภนฺเต
               รตนตฺตเย   ปมาเทน  ทวารฺตเยน  กตํ  สพฺพํ   อปราธํ   ขมถ เม   ภนฺเต
คำขอขมาบิดามารดา
               มาตาปิตเร   ปมาเทน  ทวารตฺตเยน  กตํ  สพฺพํ   อปราธํ   ขมถ เม   ภนฺเต
               มาตาปิตเร   ปมาเทน  ทวารตฺตเยน  กตํ  สพฺพํ   อปราธํ   ขมถ เม   ภนฺเต
               มาตาปิตเร   ปมาเทน  ทวารตฺตเยน   กตํ  สพฺพํ   อปราธํ   ขมถ เม   ภนฺเต
 คำขอขมาผู้ใหญ่
               อายสฺสมนฺเต    ปมาเทน  ทวารตฺตเยน   กตํ  สพฺพํ   อปราธํ   ขมถ เม   ภนฺเต
               อายสฺสมนฺเต    ปมาเทน  ทวารตฺตเยน   กตํ  สพฺพํ   อปราธํ   ขมถ เม   ภนฺเต
               อายสฺสมนฺเต  ปมาเทน  ทวารตฺตเยน   กตํ  สพฺพํ   อปราธํ     ขมถ เม   ภนฺเต 
               จบคำบาลีควรกล่าวด้วยภาษาธรรมดา ๆว่า พวกเราขอขมาโทษท่าน หากได้ล่วงเกินท่านด้วยกายกรรม วจีกรรมหรือมโนกรรมโดยเจตนาหรือมิได้เจตนาก็ตาม ขอให้ท่านได้อโหสิกรรมแก่พวกเราด้วย อย่าให้เกิดเป็นภัยและเวรสืบไปมอบสิ่งของ
........... หลังจากขอขอมาจบ ปกติจะเป็นการมอบขัน 5  (ดอกไม้ 5คู่เทียน 5 คู่)เมื่อท่านรับก็แสดงว่าท่านอโหสิกรรมให้  ถ้ามีสิ่งของเตรียมมาด้วยก็มอบให้ท่านไป
............ขออนุญาตสรงน้ำ
               มอบสิ่งของคารวะไปแล้ว บางคราวเราไปขอสรงน้ำท่านด้วย ก็ขออนุญาติด้วยวาจาก็ได้ว่า พร้อมนี้พวกเราได้เตรียมน้ำหอมซึ่งเป็นเหมือนน้ำใจที่เปี่ยมด้วยความปรารถนาดีรวมพลังกันมาขออนุญาตสรงน้ำท่าน และขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ได้บันดาลให้ท่านมีอายุมั่นขวัญยืน..............กล่าว
จบก็ขอรดน้ำท่านเป็นอันจบขั้นตอน ของคนขอขมา ขอพร
...........ให้พร เป็นหน้าที่ผู้ใหญ่จะให้ศีลให้พร ถ้าเราเป็นผู้ใหญ่รับขมาเขา ก็พยายามหาคำให้พรเตรียม
ไว้บ้างก็ดี ถ้าหาไม่ได้จะยืมบทยถา สัพพี ของหลวงพ่อมาใช้ก็ได้ ท่านไม่หวงหรอก
-----------------------
ขุนทอง ตรวจทาน 1/8/59