วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

อัตตชีวประวัติข้าพเจ้า



ชีวิตในช่วงปฐมวัย 1-17 ปี 
...........บ้านแก ตำบลกมลาไสย อำเภอกมลาเสย จังหวัดกาฬสินธุ์ แค่เริ่มประโยคแรกก็มีปัญหาแล้ว ทำไมชื่อบ้านแก ชื่อบ้านฉันไม่ดีกว่าเหรอ ตำบลกมลาไสยนี่มันแปลว่าอะไร อ้าวจังหวัดกาฬสินธุ์อีก ภูมิลำเนาของคุณนี่มีแต่ต้องแปล มีแต่ต้องถาม มิน่าคุณถึงเป็นคนที่ปัญหามาก มันมาจากบ้านเกิดคุณนี่เอง ความจริงผมไม่เคยสงสัยหรอก แต่เพื่อนเรียนสมัยอยู่มัธยม มันซักก็เลยได้คิด แหมมันน่าสงสัย จริง ๆ ยิ่งวันสอบสัมภาษณ์เข้าเรียน ม.4 เจอครูภาษาไทยแกถามชื่อเธอ ขุนทอง ศรีประจง มันแปลว่าอะไร จะบ้าตายมันตอบไม่ได้น่ะซี
........ขุนนี่แปลว่า เลี้ยง แบบขุนหมู ไง ทองก็ทองคำนั่นแหละ แต่พอเข้าคู่กัน ไม่ได้แปลว่า เลี้ยงทองคำนะเออ แต่แปลว่า คนที่สะสมสิ่งที่ดีงามแบบทองคำนั่นแหละ ก็คือสะสมความดีงามไว้มาก ๆนั่นเอง เฮ้อ โล่งไป ศรี ก็คือศิริมงคล ประจงก็คือ บรรจง เพียรแต่งมงคลให้ดีงาม โห กว่าจะได้ความหมาย พ่อแกทำไมตั้งชื่อนามสกุลลึกลับขนาดนี้ แปลได้ก็สบายใจนะ แต่นั้น มาไม่มีใครถามอีกเลยไม่คุ้มเลยกว่าจะหาคำแปลได้
...........บ้านแกล่ะ ถามผู้เฒ่าผู้แก่แล้ว หมู่บ้านเราตามทุ่งนามีต้นสะแก เยอะมาก มองไปทางไหนเป็นดงเลย เลยตั้งชื่อว่า บ้านดงแก บ้านต้นแก ที่สุดก็เป็น บ้านแก ต้นแกนี่ที่นากระผมก็เยอะนะ มีทั้งเป็นพุ่มไม้เตี้ย ๆ กบเขียดชอบโดดไปหลบให้พวกเราไปไล่จับกันสนุกมาก มีต้นขนาดใหญ่มดแดงชอบไปทำรัง เวลาพี่ชายทำก้อยปลา เขาจะถือชามไปต้นสะแก เด็ดรัง มดแดงมาเคาะ ๆ ใส่เนื้อปลากระดี่ที่สับละเอียด ได้มดแดงพอจะออกสีขาว ๆ ค่อยไปทำต่อจนได้ก้อยปลากระเดิด ก็ปลากระดี่นั่นแหละ แต่เราเรียกปลากระเดิด หน้าแล้งต้นสะแกใหญ่ รังมดแดงก็รังใหญ่ ไข่เต็มรัง แม่กับพี่สาวชวนกันไปแหย่ เอาไข่มด แดงมาทำกับข้าว เคยสังเกตเหมือนกัน รังเดิมนั่นแหละ แหย่แล้วแหย่อีก สรุปว่าบ้านแก ได้ชื่อมาจากต้นแก
ไม่ใช่บ้านแกบ้านฉันหรอก
..........ตำบลกมลาไสย (กม มะ ลา สัย) ไปหาคำแปลมาจนได้แหละ กมลา กับ อาไสย กมลา กมล ก็ดอกบัวไง หรือจะแปลว่า หัวใจยังได้นะ แต่อย่าเลย เวลาผสมกับอีกคำจะแปลยาก อาไสย ก็คือแหล่ง   ที่อยู่ ผสมกันก็หมายถึง แหล่งที่มีดอกบัวอยู่ นั่นเอง คือมีบึง ห้วย หนอง ที่มีดอกบัว อันนี้ไม่ทราบว่าหมายถึงหนองไหน ในพื้นที่อำเภอนี้มีบึงหลายแห่ง ก็คงหมายถึงหนอง บึงที่อยู่ใกล้ตัวอำเภอนั่นแหละ เขาตั้งชื่อตำบลกมลาไสยตามชื่อหนองบึงที่มีดอกบัวเยอะ ๆนั่นเอง พอพัฒนาเป็นอำเภอ ก็ ไม่เปลี่ยน  นะ ยังใช้ชื่อเดิมอยู่ เลยสบายไป ไม่ต้องไปหาคำแปลอีก
..........จังหวัดกาฬสินธุ์ โห ทำไมชื่อมันแปลยากอย่างนี้ ดีนะที่เป็นผม คนขยันหาคำแปล ไปค้นมาจน  ได้แหละ ค้นจากไหน ก็พจนานุกรมไง กาฬ สินธุ กาฬ แปลว่าดำ สีดำ สินธุ ก็แปลว่าแม่น้ำ ชื่อไม่โก้  เลย จังหวัดแม่น้ำดำ แต่มันหมายถึงแม่น้ำปาว สายเอกของจังหวัดนี้นั่นเอง ที่เขาเรียกแม่น้ำดำเพราะ น้ำลึก ปลาชุม ยิ่งตอนสร้างเขื่อนลำปาวนี่ทำให้ลุ่มน้ำปาวเป็นพื้นที่เกษตร ที่ดีมาก ๆของจังหวัดทีเดียว
...........รู้จักภูมิลำเนาแล้ว เกิดได้ยัง  แหมมันไม่ได้ง่ายนักหรอก คนสำคัญจะเกิดมันต้องมีอะไรซักอย่างที่ชวนให้อยากเกิด บ้างซี คุณพ่อชื่อนายจำปา ศรีประจง เป็นคนบ้านแกนี่แหละ มีภรรยาชื่อนางจ้อน     ศรีประจง คนบ้านเดียวกัน แถมคุ้มเดียว กันซะด้วย ก่อนจะแต่งงานกันอันนี้ไม่ทราบ เกิดไม่ทัน เพราะตอนผมเกิด พ่อแม่มีลูกครึ่งโหลแล้ว  น.ส.หมา  น.ส.พุด  น.ส.สี  น.ส.ทุม น.ส.จัน....(ตายปีผมเกิด) นายบัวทอง แล้วก็ผม คนที่เจ็ด เหตุการณ์บ้านเมืองตอนนั้น ปี พ.ศ. 2487 ยังอยู่ในช่วง สงครามโลกครั้งที่สอง ปีถัดมาญี่ปุ่นถึงโดนระเบิดปรมาณู เรียกว่าสงครามยังไม่สงบ แถมเกิดโรคระบาดคือ ฝีดาษ ไม่มียา ตายเป็นเบือ คนป่วยจะเป็นแผลพุพองเหมือนถูกไฟลวก คนที่หายเป็นแผลเป็นเต็มหน้าเต็มตัว แต่ส่วนใหญ่ไม่รอด บ้านเรา โดนเข้าไปสองคนคือ พี่จัน กับ พี่บัวทอง เราเสียพี่จันไป พี่บัวทองรอด ใบหน้ามีแผลติดมา แม่เล่าว่ามันลำบากมาก ไหนจะกลัวที่เขารบกัน ไหนจะรบกับโรคภัย แม่ท้องเจ็ดเดือนแกก็คลอดก่อนกำหนดซะนี่ หนังท้องบางมากขนาดเห็นลำใส้ป็นขด ๆ เลยมึง ตัวเล็กมากนึกว่าเป็นลูกหลอด แต่มึงหายใจอยู่ กระดูกตรงร่องอกยังไม่ติดกันเลย ทุกคนทำใจไว้แล้วว่าถ้ามึงเจอ ฝีดาดอีกคน ตาย  ก่อนแน่ วันที่ 1 มิถุนายน 2487 นั่นแหละวันเกิดละ เดชะบุญนะ โรคฝีดาษเริ่มถอย เบาบางลงและสงบ ไป จนได้ พร้อมกับสงครามโลกครั้งที่สองก็สงบลงในอีก 2 ปีถัดมา ไม่อยากโม้ว่าเป็นเพราะเราเกิดมาโรคภัยก็เลยถอยไป สงครามก็พลอยสงบลงด้วย
.........ผมเป็นลูกที่กินนมแม่ 3 คน หลังผมเกิด ปีวอก 2487 ปีถัดมา พี่สาวคนที่สองก็คลอด ด.ญ.สุวรรณทา ปี 2488 คนนี้ปีระกา ถัดมาอีกปี พี่สาวคนโต คลอด ด.ญ.ทองมา ภูมิขันธ์ คนนี้ปี 2489 ตรงกับปีจอ 

ยังไม่ได้ออกเรือนทั้งคู่ เลยมีเด็ก อ่อนสามคน เลี้ยงกันมั่วไปหมด เพราะเหตุการณ์โรคระบาดแม่ไม่    ว่าง ดูคนเจ็บสองคน พี่สาวเลยเป็นผู้ช่วยโดยปริยาย มิน่า สองคนนี้ถึงรักผมมาก ผมก็คิดถึงเขานะ ไปเยี่ยมบ่อย เอาของไปให้ เอาเงินใสมือให้ใช้ เพราะเขามีพระคุณเหมือนแม่เรา คนหนึ่งเลยแหละ วันนี้     ที่เขียนชีวประวัตินี่ คนโตแกเสียชีวิตไปแล้ว ก็เสียใจเป็นธรรมดา แต่พี่แกเกิดก่อน อายุมากกว่าคนอื่น ถือว่า    ไปในเวลาอายุมากแล้ว
..........พี่ทุม พี่บัวทอง สองฮีโร่ของผม สองคนนี่อายุห่างผมไม่มาก พี่ทุม 7 ปี พี่บัวทอง 4 ปี ตอนผมอายุ 5 ขวบ สองคนนี่บอกเราว่า  แกใกล้จะเข้าเรียนแล้วนะ มาจะสอนหนังสือให้ พี่ทุมแกจบ ป.4 มาสามปีแล้ว ส่วนพี่บัวทองอยู่ ป. 4 เขาจับเราสอนให้เขียน ก - ฮ เลข 1 - 0 หัดเขียนหัดอ่าน ความจริงพี่เขาเล่นเป็นครู หานักเรียนไม่ได้เลยจับน้องมาเรียนหนังสือ อุปกรณ์อย่างดีนะ กระดานชนวนแบบหน้ากระจกลื่น ๆ ปากกาแบบหินปูนเส้นใหญ่ แบบหินชะนวนเส้นเล็ก มีหมดแหละ นักเรียนชอบเรียนด้วยครูเลยสอนเก่ง แป๊บเดียวเขียนได้อ่านได้ แล้วก็เกิดเรื่องสำคัญขึ้น วันหนึ่งครูบุญชู ไสยวรรณ ครูโรงเรียนบ้านแกนั่น
แหละแกเป็นเพื่อนพ่อ ตอนนี้พ่อไปเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน มีเหล้าขาวขายที่บ้านด้วย ครูแกเลยแวะมาเยี่ยมเรื่อย พ่อก็เลี้ยง เหล้าแกบ่อย ขากลับแกก็ซื้อพกกลับไปบ้าน หลายวันก็มาอีก บังเอิญวันที่แกมาพบครูทุมครูบัวทองสอนหนังสือนักเรียนเข้า เห็นนักเรียนเขียนอ่านได้ยังกะพวกเข้าเรียนป.1 แล้ว เลยขอให้พ่อนำไปฝากเรียนชั้นเตรียม เห็นไหมผมเรียนเตรียมตั้งแต่ ห้าขวบเอง ป.เตรียมน่ะ ไม่ใช่เตรียมอุดมศึกษาหรอก พี่สองคนนี่แหละ มีส่วนทำให้ผมเป็นเด็กเรียนเก่งที่สุดในโรงเรียน ผมถึงเรียกสองคน  นี้ว่าฮีโร่ของผม ไม่ผิดหรอก
..........วัยเรียนวัยเล่น ผมอายุ 5 ขวบเข้าเรียนชั้น ป. 1 ก่อนเกณฑ์ 1 ปี พี่คนถัดจากผม 10 ขวบ แกอยู่ ป.4 พี่ทุมก็เป็นสาว คนทำงานในบ้านมีเยอะแยะ ผมก็เป็นเด็กที่ไม่มีใครอยากใช้ ตัวเล็กไป เลยถูกปล่อยให้เล่นหัวบ้านท้ายบ้านรู้จักหมด ลูกชาย ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน นิสัยดีไม่เกเร เพื่อน ๆก็ยินดีให้เล่นด้วย เลิกเรียนกลับมาถึงบ้านโยนกระเป๋าเสื้อผ้าแล้วใส่กางเกงหูรูด เสื้อไม่ต้องวิ่งปรู๊ดหาเพื่อนเล่นที่ลานวัด บางทีติดพันจนทุ่มสองทุ่มแม่มาตามเลยกลายเป็นเด็กที่รู้จักการเล่นค่อนข้างมาก หมากหนอน หัวกะโหลก วิ่งเปี้ยว ลิงชิงหลัก โค้งตีนเกวียน รีรีข้าวสาร งูกิน หาง ไม้หิงอี่ วิ่งขาโถกเถก เป่ายาง ยิงยางโยนหมาก แต้ หมากข่า ลูกข่าง ม้าหลังโปก มอญซ่อนผ้า เตะบอล ตีคลี ฯลฯ รู้ละเอียดด้วยนะ สมัยไปเรียนปริญญาตรี ที่ มศว. มหาสารคาม เขามีคอร์สวรรณกรรมพื้นบ้านอีสาน ได้เกรด A บวก รับประกันได้ว่ารู้จักจริง
……………ด้านการเรียน ระดับประถมก่อนแล้วกัน เพราะวีกรรมการเรียนของผมมันมีทุกระดับ มกราคม-มีนาคม 2494 ช่วง นี้เทอมปลายปีการศึกษา 2493 พ่อนำผมไปฝากเรียน ป.เตรียม เพื่อต้นปีการศึกษา 2494 จะได้เข้าเรียน ป. 1 ได้เลย เพราะมีครูสอนพิเศษให้ที่บ้าน วันแรกก็ดังเป็นพลุระเบิด อ่านหนังสือ บนกระดานที่ครูบุญชูแกเขียนสอนเด็กใหม่ อ่านได้หมด จนครูให้นำอ่านหน้าชั้นเรียน เวลาครูไม่อยู่ มีหน้าที่พาเพื่ออ่าน จนกว่าครูจะมา เลยกลายเป็นเด็กรักการเรียนหนังสือตั้งแต่นั้น มา สอบได้ที่ 1 ปี    ละ 3 ครั้ง เพราะระบบ 3 เทอม ปีจบ ป.4 มีคะแนนสูงสุดในอำเภอกมลาไสย มีสิทธิ์รับทุนเรียนต่อใน ระดับมัธยม 6 ปี    ตัว ประโยคเขาใช้ข้อสอบกลางของจังหวัด คะแนนเลยเอาไปเทียบกันได้
.......ด้านการเล่น ยังเป็นเด็กที่มีเพื่อนเล่นทั่วทุกคุ้มบ้านเหมือนเดิม ทางบ้านก็ปล่อย ไม่ใช้งานอะไร  หาบน้ำก็ไม่เก่ง ตำข้าว ก็ตื่นไม่ทันเขา ได้งานอย่างเดียวคือหาหลัวไม้ไผ่มาให้พี่สาวลงข่วงเข็นฝ้าย   กอไผ่อยู่หน้าบ้านเอง ไปช่วยเขาหอบมากองไว้ แล้วก็รีบไปเล่น การเล่นพัฒนาไปมากจากการเล่นสนุก ๆ ไปเป็นการเล่นแบบไล่ล่า หัดทำอุปกรณ์หน้าไม้ พลุหรือไม้ซาง หาล่ากบเขียด ยิงนกตกปลา มีรุ่นพี่ที่อายุมากกว่าเป็นหัวหน้า ได้เรียนรู้ วิธีวางเบ็ดปลา วางเบ็ดกบ วิธียิงนกกินหมากไม้ วิธี ดักหนูนา รู้สึกตื่นเต้นกว่าเล่นที่ลานวัด ก็คงบอกได้ว่า เก่งทั้งเรียนหนังสือ และเก่งการเล่น ไม่เก่งอย่างเดียวคือช่วยงานบ้าน ลูกคนเล็ก ใคร ๆ ก็รัก ไม่อยากใช้งาน ก็เป็นจุดอ่อนได้เหมือนกัน
........ปี 2498 จุดเปลี่ยนของชีวิต บ้านแกขาดแคลนไม้ฟืนเป็นอย่างมาก ไม่มีป่า มีแต่ต้นไม้ในนาของใครของมัน กิ่งไม้ หักลงอย่าไปเอาของเขา นาเขาเขาก็หวง มีเรื่องกันบ่อย ทำนาเจอหัวตอขุดเอามาตากไว้บนคันนา แล้วก็ขนไปเก็บที่บ้านไว้ทำฟืน หนักหนาขนาดนั้นแหละ พ่อแม่ยินข่าวป้าเหลา พี่สาวแม่อยู่บ้านหนองลุมพุก มีแต่ป่าไม้เต็งรัง เป็นดงทึบ ได้ยินก็ตาลุกกัน อยากไปอยู่ถิ่นที่ป่ามันเยอะบ้าง ก็ไปสำรวจดู พ่อซื้อที่นา 2 แปลง แลบ้านพร้อมที่ดิน 1 หลัง แล้วกลับมาบอกจะอพยพไป อยู่กับป้าเหลา มีผู้สนใจไปอยู่บ้านใหม่ 2 ครอบครัวคือ คุณอาเจริญ ภูมิชัยโชติ เหมารถหกล้อคันหนึ่งไปส่งที่บ้านหนองลุมพุก ตำบลหนองเรือ อำเภอโนนสัง จังหวัดอุดรธานี(ขณะนั้น) ผมรอสอบไล่ ป.4 ไม่ได้ไปด้วย ต้องย้าย ไปอยู่บ้านพี่สาวคนโต รู้สึก ใจหวิว ๆนะ เพราะเป็นลูกติดแม่ แต่พี่สาวก็ดูแลดี สอบไล่เสร็จผลสอบได้ที่ 1 และคะแนนสูงสุดในอำเภอ มีสิทธิ์รับทุนเรียน ต่อระดบมัธยมศึกษา 6 ปี อันนี้เขาเรียกว่าบุญมีแต่กรรมบัง ใครจะแยกจากพ่อแม่ได้ เล่นอพยพไปกันหมด ตอนพ่อกลับมารับครูก็พยายามมาต่อรองขอให้รับทุน  พ่อไม่ตกลง แต่แกรับปากจะให้เรียนต่อจนจบ ม.6
............บ้านใหม่ หนองลุมพุก เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ประมาณ 40 ครอบครัว ประกอบด้วยพวกอพยพสองกลุ่ม กลุ่มใหญ่มากจาก สุรินทร์ ศรีสะเกษ อีกกลุ่มจากร้อยเอ็ดกาฬสินธุ์ ผู้ใหญ่บ้านเป็นคนสุรินทร์ มีวัดชื่อวัดอัมพวัน หลวงปู่อายุเกือบปีร้อยเป็นเจ้าอาวาส หลวงปู่อินทร์ จากสุริทนร์เป็นผู้ช่วย นอกนั้นก็เป็นพระบวชช่วงเข้าพรรษา ออกพรรษาก็สึก ไม่มีโรงเรียน ต้องเดินไปกิโลครึ่ง โรงเรียนบ้านหนองกุงคำไฮ เด็ก ๆ ไปเรียนที่นั่น ใกล้วัดมีหนองน้ำชื่อหนองลุมพุก มีต้นลุมพุกขึ้นริมขอบสระ 1 ต้น ชื่อ หมู่บ้านไปจากหนองน้ำนี่เอง ตรงกลางเขาขุดสระเก็บน้ำไว้ใช้บริโภคกันทั้งหมู่บ้าน หนุ่มสาวเย็น ๆลงมาที่หนองน้ำกัน มอง เห็นๆ รอบ ๆสระน้ำมีคนมาอาบน้ำกันเยอะ สาว ๆ หาบน้ำไปให้หนุ่มอาบ หนุ่มก็อาบมันกลางแจ้งนั่นแหละ สาวก็ยืนดู เขารู้ เห็นหมดแหละกล้ามหรือก้างแค่ไหน ส่วนสาวเขาหาบไปอาบที่บ้าน คนเฒ่าคนแก่ก็อาบที่บ้าน น้ำดื่ม หน้าฝนก็รองน้ำฝนไว้ หน้าแล้งก็มองหาบ่อที่ไหนน้ำอร่อย ก็ไปหาบมาใส่ตุ่มไว้ดื่ม บ่อที่น้ำใสเฉย ๆ ไม่อร่อยไม่เอา นี่แหละทำไมเป็นนิ่วกันมาก เพราะชอบน้ำอร่อยนี่เอง ต้องไปเข้าคิวกันเพื่อหาน้ำดื่ม ไปก่อนได้ก่อนมาทีหลังก็รอคิว หลายชั่วโมงกว่าจะได้ หน้าแล้งน้ำไหลซึม ช้ามาก แต่เห็นหนุ่มสาวเขาชอบไปรอคิวตักน้ำดื่มกัน
........รอบ ๆ หมู่บ้านเป็นป่าเต็งรัง ลักษณะเป็นป่าเสื่อมโทรม แต่ก็มีต้นไม้ขึ้นประปราย ช่วงที่ผมมาเป็นช่วงจั๊กจั่นออกพอดี เพื่อนใหม่เขาพาไปจับจั๊กจั่นไม่เคยเห็น เดินหาจับเอาจริง ๆ ได้บ้างไม่ได้บ้างมันบินหนีก่อน กลับมาบ้านพ่อหัวเราะ บอกเขาใช้ยางตังก็คือกาวเหนียวยางไม้ผสมน้ำมันยางอุ่นไฟให้ผสมกันดีแล้วเหนียว ติดปีกจั๊กจั้นไปไม่รอด หัดทำยางตังได้ก็ไปลอง จับง่ายหน่อย เห็นต้นไม้มีรอยคนเอาไม้เคาะ ถามเพื่อนเขาบอกพวกหาบ่าง เสียงคนเคาะมันนึกว่าคนจะโค่นต้นไม้ บ่างที่ หลบในโพรงจะออกบินไปต้นอื่น โดนเขาไล่จับไม่ยาก แปลกดีไม่เคยเห็น วันหลังมีพลุไม้ซาง ลองเคาะดู ใช่จริง ๆ ถ้ามีบ่าง
มันรีบออกจากโพรงบินหนี เราก็ตามยิงเอา เพื่อบ้านหลายคนรู้ว่าเรามาอยู่ใหม่ หลายคนอัธยาศัยดีมาชวนไปเที่ยวเดินป่า กว่าโรงเรียนจะเปิดว่างอยู่สองเดือน ได้ประสบการณ์มากมายทีเดียว
........เก็บผักหวานบ้านแกไม่รู้จักหรอก ไม่มีป่าได้กินแกงผักหวานอร่อยมาก สาวข้างบ้านเขาชวนไปเก็บผักหวาน ไปแต่เช้า เดินไกลซักสองกิโลเมตร เป็นป่าทึบ มีรอยคนเดินยังกะทางพระเดินจงกรม เขาบอกทางคนเดินไปต้นผักหวาน ขำดีตามรอยไป เจอต้นผักหวานทุกที มียอดมากบ้างน้อยบ้าง จนสายได้ผักหวานพอแกง สาวมาดูตะกร้าเรา เขาแบ่งให้บอกว่ามันน้อยไป ไม่พอแกงหรอก น้ำใจคนบ้านนอกเหลือเกินจริง ๆ จากนั้นก็ไปหาไข่มดแดงกัน มดแดงแถวนี้อยู่ต่ำ ไม่ต้องใช้ไม้ยาว ๆ เขาเดิน ไปหักเอารังมันมาเคาะใส่ตะกร้า ทิ้งให้มันไต่ออก ไม้ยาว ๆ มาหิ้วไปที่ใหม่ สามรังพอแกง อีกนั่นแหละเขาแบ่งให้ แกงผักหวาน ต้องใส่ไข่มดแดงถึงจะอร่อย สาวบอก กลับมาบ้านพี่สาวแย่งไปจัดการ แห่มาถามสนุกไหม ก็ดีนะความรู้ใหม่
........ไปขุดอึ่งอ่าง เพื่อนบ้านเขามาชวนพี่สาวสองคนคือพี่พุดพี่สีดาไปขุดอึ่งที่ภูเก้า ขอไปกะเขาอยากดูอึ่งเป็นตัวแบบไหน ที่บ้านแกไม่เคยเห็นหรอก สองสามวันก่อนเขาเอาต้มส้มอึ่งอ่างใส่ใบผักติ้วมาให้ถ้วยหนึ่ง ลองซดน้ำดูอร่อยนะ พอเขาจะไปขุดอึ่งจึงขอไปด้วย เด็กผู้ชายมันบอกให้เอาบั้งตังไปด้วย เดินไป ภูเก้าประมาณห้ากิโลเมตร ปีนเขาอีก ครึ่งชั่วโมง ถึงไหล่เขา ป่าไผ่เพ็ก พื้นเป็นทราย มีร่องรอยคนขุดกระจุยกระจาย เขาบอกพวกขุดอึ่งอ่าง มันมุดอยู่ในทราย ลองขุดดูนะ ไม่ค่อยเจอ แต่ พวกผู้หญิงเจอ  บ่อย เรานานมากกว่าจะได้ตัวหนึ่งดีใจมาก เห็นรูมันต้องขุดตามใจเย็น ๆ ลึกซักศอกก็ตามเจอ ผมขุด  ได้สามตัว เองก็ต้องหยุด เพราะจั๊กจั่นมันร้องระงมดงเลย เพื่อนมันมาบอกไปตัดไม้โจดมาทำคันไม้    ไปติดจั๊กจั่นกัน ปล่อยพวกพี่ ๆ เขา ขุดหาอึ่งอ่างกันต่อ ตอนเที่ยงเลยได้กินก้อยจั๊กจั่นใส่มะม่วงดิบ เดือนเมษายนมะม่วงลูกเล็กอยู่ใส่ก้อยพอดี อาหารเที่ยงเลย ไม่ต้องรบกวนอึ่งอ่าง อ้อบริเวณใกล้กันเป็นป่าต้นติ้ว หรือแต้ว ที่แมงจี่นูนชอบกินใบอ่อน อิ่มแล้วก็ทิ้งตัวมุดอยู่ใช้ต้นนั่นแหละ ชาวบ้านเขารู้ชวนไปขุดหา ตัวขนาดนิ้วมือ ได้ซักยี่สิบตัวก็พอทำกับข้าวแล้ว วิธีการเหมือนขุดหาอึ่งอ่างเลย แต่ขุดตื้นกว่า เห็นว่าวิธีการแบบเดียว กัน เลยเอามาเขียนต่อไว้ซะเลย
.........ไปคล้องกะปอม เคยฟังคนแก่เล่าเล่าเรื่องที่พรานป่าเขาไปคล้องช้างที่ดงแม่เผด สนุกมาก พอ ได้ยินคล้องกะปอมก็ถามเขาว่าเหมือนคล้องช้างไหม เขาหัวเราะบอกว่าง่ายกว่า ไปหาเชือกป่านมา    ฟั่นเชือกเส้นเล็ก ๆ 2 เกลียวยาวสักคืบเศษ ทำเป็นบ่วงรูดได้ผูกติดปลายไม้เรียว ไม้ยาวสักเมตรครึ่ง   ถ่างบ่วงให้กางไว้ แล้วค่อย ๆ ยื่นปลายไม้ไปหากะปอม คล้องคอ ให้ได้แล้วกระตุก เชือกรัดคอกระปอมให้เราจับเอาไว้ เขาสาธิตให้ดู ไม่น่าจะยาก ป่าไม้แถบใกล้ผืนนามีกะปอมเยอะมาก พอสาย ๆ แดดแก่  มันเริ่มออกแล้ว พอเราเดินผ่านไปวิ่งขึ้นต้นไม้ สูงซักเมตรก็หยุดคำนับเรา มรรยาทดีจริง ๆ ยื่นบ่วงไปคล้อง คอมีแหงนดูเชือกอีก โดนกระตุกบ่วงรัดคอไม่พลาดซักตัว วันแรกได้เกือบยี่สิบตัว เอามาบ้านพี่สาวเอาไปจัดการเอง วันหลัง มีกระปอมแดดเดียวย่างให้กิน 

เข้าเรียนต่อระดับมัธยม
.............พ่อรักษาสัญญาที่เคยให้ไว้กับครูโรงเรียนบ้านแกส่งเสริมวิทยา ต้นเดือนพฤษภาคม 2498 ก็พาไปติดต่อเข้าเรียน ที่โรงเรียนโนนสังวิทยา อำเภอโนนสัง จังหวัดอุดรธานี เป็นโรงเรียนขนาดเล็ก ระดับชั้นละ 1 ห้องเรียน เพื่อนพ่อ คุณตาโส พาไปฝากให้พักบ้านเพื่อน เมื่อเปิดเรียนก็มาอาศัยบ้านผู้ใหญ่ กลม มีคุณยายเป็นผู้ดูแลบ้าน ลูกสาวลูกชายสามคนและมีพวก ลูกหลานอีกสองคน ไม่ค่อยสบายใจ    นักก็พยายามปรับตัวนะ ช่วยหาบน้ำมาใส่ตุ่ม ช่วยปัดกวาดและเช็ดถูบ้าน เช้าก็ไปเรียน เที่ยงก็กินข้าว   ที่โรงเรียน เย็นก็กลับบ้านพัก เครียดเหมือนกัน เราเป็นคนชอบเที่ยวเล่น แก้ไม่หาย แอบไปเดินเล่นตลาด ยืนดูเขาเล่นหมากฮอร์สจนมีความรู้วิธีเล่น สามารถเอาชนะผู้ใหญ่ได้ นักเล่นหมากกระดานรู้จักเด็กแก่แดดคนนี้ดี อยู่ในสภาพนี้สองเทอม ผลการเรียนดีมากไม่มีปัญหา เทอมที่สามเลยขอให้พ่อไปฝากเป็นเด็กวัดทุ่งสว่าง
............วัดทุ่งสว่างเป็นวัดธรรมยุติ มีป่าช้าสำหรับเผาศพอยู่ด้านหลังวัด กุฎิใหญ่มีสองหลัง นอกนั้นเป็นกุฎิไม่ไผ่สำหรับพระ ฝึกรมรมวิปัสสนา เลิกกิจกรรมใช้เป็นที่พักพระเณร แต่ละหลังมี 2 ห้องนอน พระอยู่ห้อง กันให้เด็กอีกห้อง มารู้ทีหลังว่าพระ ก็กลัวผีเหมือนกัน เลยรับเด็กมาอยู่ด้วย เด็กก็มีหน้าที่รับใช้พระที่กุฏิด้วย ทำความสะอาด ตักน้ำใส่ตุ่ม ซักจีวร จัดเตรียมบาตร จัดที่ฉัน เข้าเวรทำสะอาดศาลา ตั้งที่ฉัน จัดที่ทำวัตรสวดมนต์ มาอยู่วัดเป็นงานมากขึ้น ได้ทำงานใหม่ ๆ เทกระโถน ล้าง ห้องน้ำ ก็ดีทำงานเก่งมากขึ้น ได้เห็นพระที่ท่านถือธุดงค์ พอเห็นใครอวดว่าเป็นพระธุดงค์เลยขำ ๆ หลอกชาวบ้านซะมากกว่า
วัดนี้มีเด็กวัดร่วม 20 คน ช่วยกันทำงาน ได้รับใช้พระเถระ ก็เป็นประสบการณ์ที่ดีมาก ๆ
............วัดบ้านโนนสงเปือย เพื่อนบ้านเดียวกันเป็นเด็กวัดอยู่ที่นั่น เขาชวนย้ายไปอยู่ด้วยกัน ก็ตกลงไปอยู่ด้วย เจ้าอาวาส ท่านใจดี เด็กวัดก็ไม่ถึงสิบคน พระณรมีน้อย งานไม่หนัก เป็นวัดมหานิกาย ก็เคยอยู่วัดธรรมยุติงานหนัก มาเจอวัดงานไม่หนัก ก็เลยอยู่กันสบาย ๆ ช่วยทำกิจวัตร ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ได้เรียนรู้งานวัดมากขึ้น เป็นประโยชน์มากสำหรับการดำรงชีวิตใน เวลาต่อมา
............การศึกษาเล่าเรียนเป็นไปด้วยความราบรื่น สอบได้ที่ 1 เป็นปกติ เคยมีเทอม 1 สอบตก เพราะเจอข้อสอบจังหวัด ครู เอามาทดลองใช้ ตกทั้งห้อง ที่ 1 ก็เราเองได้ 49 % อีกนิดเดียวก็สอบได้ แต่ปลายปีสอบไล่ไม่มีปัญหาอะไร เมื่อจบ ม. 3 ครูที่สอนอยู่โรงเรียนประถมใกล้บ้าน จบมาจากเกษตรกรรมชัยภูมิ 3 คน บรรจุพร้อมกัน เห็นเราเรียนจบ ม. 3 เลยชวนไปสอบ เข้าเรียนที่ชัยภูมิ เขารับเด็กเขาเรียน ม. 4 เพิ่ม 1 ห้อง 40 คน เขาเล่าว่าเป็นโรงเรียนกินนอน มีหอพักให้อยู่ฟรี มีอาหารให้ สามมื้อ ค่าเทอมฟรี แต่เสื้อผ้า เครื่องเรียนต้องหาเอง พ่อฟังแล้วชอบเลยชวนเพื่อนอีกสองคนชื่อ เพิ่ม โสดาวัตร และอีกคน ชื่อพวง นามสกุลจำไม่ได้ มีสอบข้อเขียนและสัมภาษณ์ เพิ่มกับพวงเก่งแฮะสอบได้ที่ 18และ19 ส่วน เราสอบได้ลำดับที่ 39 รองบ๊วย นึกกังวลว่าคนเก่งจากหลายจังหวัดมาประชันกัน เราต้องตั้งใจให้มาก เป็นที่โหล่เขาไม่ค่อยดีแน่
...........กลางเดือนพฤษภาคม 2501 พ่อพาไปมอบตัว ซื้อเครื่องเขียนแบบเรียน ชุดทำงาน จอบ มีด ครุถัง เครื่องมือให้ครูเก็บ เข้าห้องพัสดุ มีหมายเลขติดไว้ของใครของใคร เวลาเบิกภารโรงจะจัดให้ พวกเราเด็กใหม่ โรงเรียนให้ไปอยู่วิทยาเขตบ้านเหล่า ที่นี่พวก ม.4 มีห้องพักหลังหนึ่ง และห้องเรียน 3 ห้อง โรงเรียนมีที่กว้างสำหรับทำไร่ปอ ไร่มัน ไร่ข้าวโพด รถไถก็มีนะ แต่เอาไว้ใช้สอนวิชาช่างยนต์ ให้เรียน เวลาเตรียมดินปลูกพืช ใช้เด็ก 40 คน จอบคนละเล่ม หน้าเดิน ดีที่ตอนคราดยอมใช้รถ คงกลัวเด็ก ทำไม่ดี ตอนปลูกไม่มีเครื่องหยอดเมล็ดหรอก เด็ก ๆช่วยกันหยอด ช่วยกันดายหญ้าพรวนดิน ใส่ปุ๋ย ดูแลกำจัดมดแมลง ดินดีมาก ปอแก้วยาวเฟื้อยเลย ตอนตัดปอก็สนุก เอาลงแช่ให้เปื่อยก็สนุก ไม่สนุกเฉพาะตอนลอกปอแก้ว มันเหม็นจับใจจริง ๆ วันปกติต้องเข้าเวรลอกปอแต่เช้า อาบน้ำแล้วเข้าเรียนยังมีกลิ่นปออยู่เลยเน่ากันเพราะมันเหม็นทุกคน ส่วนวันอาทิตย์ มีจ้าง มัดละห้าสิบสตางค์ ลอกเสร็จล้างสะอาดแล้วนำไปตาก ผมเคยไปทดลองได้วันละ 5 บาทเทียว นอกจากปอก็มีพวกมัน ข้าวโพด นี่คือกิจกรรมนักเรียนโรงเรียนเกษตรกรรมชยภูมิปีแรกทำ
...........พูดถึงการเรียนการสอน มีวิชาสามัญเลขคณิต ภาษาไทย ศีลธรรม วิทยาศาสตร์แยกเรียนเป็น สัตวศาสตร์ ชีววิทยา และพฤกษศาสตร์ แปลกมากเนื้อหาที่เรียน ตอนผมอ่านตำราวิชาชุด พ.ม. ในเวลาต่อมา ไม่ยากเหมือนที่เราเรียนเลย เทอมแรกผลการสอบ ผมได้ที่ 1 กลับคืนมาแล้ว เพื่อน ๆมันมองหน้า คนที่สอบเข้าได้ที่ 1 หล่นไปอยู่อันดับ 10 บวก เจ้าเพิ่ม เจ้าพวงเพื่อกัน จองที่เกินยี่สิบมาด่าเราอีกว่ามึงรู้ข้อสอบรึเปล่า ปีสองย้ายเข้ามาเรียนในเมือง เหมือนเดิมยึดที่ 1 ได้อีก เลยได้สัมญานามว่า "บักอ้อป่อง" มีคนขอวิชาอ้อป่องกันมาก แต่มันไม่มีจริง ๆ แต่เรารู้นะกว่าทำไมได้ที่ 1 ตลอด เพื่อน ๆ มันกินยาปอบปิ้น สมัยนี้ก็คือยาขยัน ยาบ้า นั่นแหละ อ่านหนังสือไม่หลับไม่นอน ท่องกันชิบหาย เราน่ะเหรอไม่เอายาวิเศษ
อ่านอย่างเดียว ไม่เคยท่องจำ แต่ความสามารถในการอ่านของเราสูงมาก ไม่มีใครรู้หรอกว่าอ่านหนังสือเร็วมาก หนาซัก 500 หน้า ครึ่งวันจบแล้ว หนังสือเรียน 6 เล่มเอง อ่านสัปดาห์ละสองเที่ยว เลขคณิตทำแบบฝึกหัดจบทั้งเล่มตั้งแต่เทอมแรก ส่งให้ครูตรวจ ครูสงสัยว่าใช้กุญแจรึเปล่า ก็ทดสอบให้ออกไปเขียนกระดานตรวจการบ้านแทนครู แล้วเวลาสอบวิชาเลขได้ เต็มตลอด เพราะอย่างนี้เอง วิชาอื่น ๆ ก็เช่นกัน สมัยนั้นข้อสอบเป็นแบบอันตนัย ใครท่องมาผิดไปไม่เป็น แต่เราไม่เคยท่อง มันจำได้อัตโนมัติ คราวหนึ่งครูออกข้อสอบใช้คำผิด เขียนตอบทักครูไป ถูกเรียกไปพบโดนเขกหัวทีหนึ่ง แต่ได้เต็ม
...........การเล่นกีฬา ผมได้ชื่อเป็นเด็กชอบเล่นอันดับต้น ๆของโรงเรียน สงสัยติดนิสัยมาแต่ตอนเด็ก ๆ โรงเรียนกินนอน มีเวลาว่างมาก ห้องกีฬาต่าง ๆเปิดให้เล่นได้จนสองทุ่ม ถูกใจมากหมากฮอสเอยหมากรุกเอย ปิงปอง ตะกร้อ วอลเลย์บอล ฟุตบอล บาสเกตบอล มวย ใครชอบเล่นอะไร ครูพละแกสนับสนุน ให้เล่นเต็มที่ นักเรียนทั้งโรงเรียน 240 คนเอง เวลาคัด นักกีฬา มีไม่ถึง แปดสิบคน นอกนั้นไม่เล่น ขอเป็นกองเชียร์ ผมโดนเพื่อมันยุให้ลงคัดตัวแทบทุกอย่าง ติด ฟุตบอล วอลเลย์บอล ตะกร้อข้ามตาข่าย  วิ่ง 80 เมตร 100 เมตร 4 คูณ 80 เมตร กระโดดไกล หมากฮอส ปิงปอง ไม่รู้เพราะเพื่อนมันนัดกันให้
ยอมแพ้หรือเราเก่งกว่า ไม่ทราบ แต่สงสัยจนทุกวันนี้แหละว่า อะไรจะชนะเขาไปหมด ผลเสียก็เกิดตามมา เทศกาลแข่งกีฬา ครูจับไปเข้าค่าย คุมอาหาร คุมการฝึกซ้อม เช้าวิ่งไปกลับสิบกิโลเมตร กลับมาลงสระน้ำว่ายสองรอบ พักไปทานอาหาร เข้าเรียน บ่ายซ้อม จนสองทุ่มได้พัก แทบหมดแรง เพื่อนมันชอบมาก ยุให้เราตั้งใจซ้อม ชักสงสัยแล้วพวกนี้อยากให้เราบ้าเล่นกีฬานี่เอง แต่พวกมันต้องผิดหวัง เพราะสอบได้ที่ 1 เหมือนเดิม ส่วนกีฬา ยิ่งเข้าค่ายยิ่งแข็งแรง เล่นได้คล่องตัวมากขึ้น ฟุตบอลต้องลงเล่นสองรุ่น รุ่นกลางเป็นกัปตัน รุ่นใหญ่เป็นผู้ช่วยกัปตัน พอได้เห็นลีลาการเล่น ครูพละหวงมาก เวลาเจ็บแข้ง
ขาเรียกหมอนวดชาวบ้านมาช่วย เวลาลงแข่งเฟอร์นิเจอร์เต็มสองแข้ง ยืดมาก ก็สมราคานะ ยิงได้แทบทุกนัด ปีอยู่ ม. 6 ได้รางวัลนักกีฬายอดเยี่ยมของจังหวัดชัยภูมิ ได้เสื้อสามารถ 1 ตัว
............วัยรุ่นแล้วรู้จักความรักหรือยัง ความจริงรู้จักความรักนานแล้วนะ แต่เป็นความรักของเด็ก ๆ อยากเห็นหน้า อยากอยู่ ใกล้ ๆ อยากพูดคุยด้วย เห็นเธอไปคุยกับคนอื่นก็น้อยใจ มันเกิดความรู้สึกนี้ตอนเรียนชั้น ป. 4 เองกระแดะไหมล่ะ สาวชั้น ป. 4 ด้วยกันนั่นแหละ รูปร่างหน้าตา น่ารัก พูดจากดี เพื่อน ๆชายหญิงชอบ เราก็ชอบด้วย เวลาไปทำกิจกรรมนอกห้องเรียน ก็อยากร่วมกลุ่มกับเธอ มาวิเคราะห์ดูทีหลัง ใช่เลยเราหลงรักผู้หญิงคนนี้เข้าให้แล้ว เธอชื่อสายพิน ดีที่เราย้ายไปอยู่ที่อื่น เลย ไม่ได้ติดตามข่าวหลังจบ ป. 4 เคยถามทราบว่าย้ายไปอยู่ต่างอำเภอ ไม่ได้เรียนต่อ ช่วงที่กำลังเป็นคนดังของเกษตรกรรม
นี่แหละมีเพื่อมากระซิบว่า มีสาว ๆอยากรู้จักเขาเรียนโรงเรียนประจำจังหวัด เป็นคนคอนสวรรค์ ชักคันคะเยอเหมือนกัน ก็ ดีใจนะที่มีสาว ๆ อยากรู้จัก เขานัดให้มาพบกันก็ได้พูดคุยกัน ขอบคุณที่เขามีน้ำใจ แต่ปีสุดท้ายแล้วไม่รู้จะตกทางไหน ถ้าขาดการติดต่อกันก็ขอโทษ คุยกันประมาณนี้ จากนั้นก็จบ ม. 6 แล้วกลับบ้าน อ้อจบ ม. 6 คนสอบได้คะแนนอันดับ 1-3 เขามีโควต้าเรียนที่แม่โจ้ ที่บางพระ แต่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเอง พ่อบอกไม่มีเงินให้เรียนหรอก ก็เลยจบแค่ ม. 6 ครับ เมื่อ เดือน มีนาคม 2504
..............จบ ม. 6 กันแล้ว เพื่อน ๆ อายุ 18 ปี บริบูรณ์กันทุกคน เขาไปสอบบรรจุเป็นข้าราชการกัน มีทั้งเจ้าหน้าที่เกษตร อำเภอ แถมมีครู ม. 6 ด้วย แต่เราเพิ่ง 17 ย่าง พออายุครบ 18 ปี เขายกเลิกไม่รับ ม. 6 เลื่อนไปรับระดับอนุปริญญา แทนซวยไหมล่ะชีวิตตอนปฐมวัย โลดแล่นมาดี ๆ ก็สะดุดกึกเอาตรงนี้เอง 
วิถีชีวิตช่วงวัยรุ่น 2504-2510
..............เป็นช่วงเวลาที่สอนให้รู้จักชีวิตดีขึ้น ที่ผ่านมาเป็นแบบโลกสวยทุกอย่างดูดีไปหมด ตอนนี้ได้กลับเข้ามาสู่โลกแห่ง ความเป็นจริง ได้รับรู้ความยากลำบากของครอบครัวที่ส่งเสียให้เล่าเรียนจนจบ ม.6 จนเป็นหนี้สินหลายพันบาท ต้องขายควาย ขายหมู ใช้หนี้ จนลดลงเหลือไม่กี่ร้อยบาท พ่อแม่ไม่ได้โกรธเรานะ ยังรักเสมอต้นเสมอปลาย ต่างจากสังคมรอบข้างที่เคยชื่นชม ว่าเป็นเด็กคนเดียวในหมู่บ้านที่ได้เรียนต่อ จบแล้วมันคงได้เป็นเจ้าเป็นนาย พอได้เห็นเราตกงานกลับมาอยู่บ้านเฉย ๆ แนวคิด คงเปลี่ยนไปกลายเป็นเสียงเยาะเย้ยถากถาง เวลาจะด่าลูกหลานยังแกล้งให้เราได้ยินว่า เรียนไปก็เท่านั้น เสียควายเสียหมู ไม่ได้ ประโยชน์อะไร แถมพวกที่กำลังส่งลูกไปเรียนก็ถอดใจ ให้ลูกออกก็หลายคน เสียใจนะแต่ที่เขาพูดก็เป็นเรื่องจริง ไม่กล้าไปโกรธ เขาหรอก ขนาดพี่เขยเราก็ยังเป็นกะเขาด้วย ก็เลยได้คิดใหม่จะช้วยพ่อแม่ทำไร่ทำนาเพราะแกแก่มากแล้ว ไว้มีช่องทางค่อย คิดกันใหม่
..............ไปขึ้นทะเบียนทหารกองเกินแล้ว มีเพื่อนพวกหนุ่ม ๆ หลายคนมาชวนไปทำงานหาเงิน ซื้อของมาเดินเร่ขายตาม หมู่บ้าน ก็ดีนะขายสินค้าหมดเงินก็หด เพราะต้องกินต้องจ่าย แต่รายได้มีกำไรน้อย ทำอยู่เดือนเศษก็ต้องเลิก พี่ชายนายบัวทอง ไปเรียนช่างทำทองรูปพรรณมา แกชวนไปฝึกฝีมือช่างกับแก แรก ๆ ฝึกทำครุถังจากปี๊บน้ำมันก๊าด ทำกระบวยตักน้ำสังกะสี พอทำให้ แกก็ให้หัดทำเครื่องประดับด้วยทองเหลือง ทำแหวนแบบง่าย ๆ แหวนหัวโต ๆ แหวนใส่หัวพลอย รีดทองเหลืองทำสร้อย พอทำได้บ้างก็พาออกตระเวณรับจ้างไปตามหมู่บ้านต่าง ๆ ส่วนมากก็พักที่วัด อาศัยข้าวก้นบาตรหลวงพ่อ เรามันเด็กวัดเก่านี่เลย เข้าหาพระท่าน ช่วยปัดกวาดเช็ดถูศาลาโรงฉัน ห้องน้ำสกปรกก็ทำให้ พระฉันเสร็จก็ให้เณรมาตามไปรับเอาอาหารมากินกัน พี่ชายลงไปตั้งเครื่องมือทำสร้อยแหวน ครุถัง สีกาล้อมดูแกทำงาน เราก็ลงไปเปลี่ยนแกมาทานข้าว และทำงานที่แกทำค้างต่อ ไม่นานพี่ชายก็ลงมาก็สนุกไปอีกแบบทำอยู่เดือนเศษก็เลิก เพราะงานละเอียดต้องใจเย็น ๆ ไม่ถูกโฉลกกัน เพื่อนคุ้มบ้านเดียวกัน ชวนไปเลื่อยไม่รับจ้าง เขาให้วันละยี่สิบห้าบาท ไม้ในนาเขาตัดลงจะซ่อมบ้าน ก็เอานะ เล่นกันแต่เช้าดึงเลื่อยกันไปมา ๆ จน
เที่ยงก็พักทานข้าวกัน กว่าจะเลิกก็เย็น ทำอยู่สิบวันก็หมดไม้ที่เขาให้เลื่อยแปรรูป
..............เพื่อนคนหนึ่งออกความเห็นว่าทำเครื่องจักสานขายได้นะ หวดนึ่งข้าวนี่ใบละห้าบาท กระติ๊บ ข้าว 10 บาท ก็ชวนกันไป ตัดไม้นกเขา ไม้บง บนภูเก้า เอามาจักตอกแล้วสานกัน พี่บัวทองอีกนั่นแหละมาสอนให้ สานได้เยอะเหมือนกัน แต่แจกซะมากกว่า ไม่เห็นใครขอซื้อเลย พ่อแกหัวเราะชอบใจบอกว่า ฝีมือยังไม่ดีพอ แจกเขาไปน่ะดีแล้ว ต้องฝึกมาก ๆเก่งแล้วค่อยคิดทำขาย เพื่อนก็เจอแบบเดียวกัน ความคิดจะหาบกระติ๊บข้าวและหวดมวยไปเร่ขายก็จบลงทั้งที่ยังไม่ได้ออกเดินทาง พับโครงการนี้ไว้อีก
.............เพือนกล่มเดิมมาชวนเข้าป่าหาตอไม้ประดู่ ไม้แดง ไม้มะค่า ไปค้างซักสามคืน มีข้าวสารอาหารแห้งไปด้วย มันบอกใกล้ ลงนากันแล้ว ต้องซ่อมคราดไถกัน ไปที่ภูเก้า เจอตอไม้ที่คนเขาโค่นลงจำนวนมาก ก็เลือกเอาที่มันมีรากสวย ๆ ตอไม่ใหญ่นัก จะขุดเอาไปทำหางไถ ที่มันโค้งงอสำหรับจับนั่นแหละ เลือกเอาตอที่มันมีพูรากสวย ๆ อย่างน้อย 2 พู ถึงจะคุ้ม ถ้าได้ 3 พูยิ่งดี ใช้มีดถางป่าออก เสียมขุดเซาะจนเห็นรากแก้ว ขวานตัดรากแก้วออก เหลือแต่พูรากที่เลือกจะเอาไปทำหางไถ ตัดปลายรากยาว พอเหมาะ แล้วผลักให้ตอมันล้มลง จากนั้นก็ขุดเซาะให้มันหลุดออกเป็นโครงหางไถ ใช้ขวานถากออกจนเบาพอจะแบกไปได้ อันนี้จะเอาไปตากให้แห้งก่อนค่อยตกแต่งให้เป็นหางไถ เพื่อนมันบอกมาสามวันต้องหาให้ได้ซักห้าอัน มันบอกแต่งสวย ๆแล้วขาย ได้อันละสามสิบห้าสิบเชียวนะมึง ก็เลยหากันไม่หยุดง่าย ๆ เพื่อมันได้สิบกว่าชิ้น เราได้หกชิ้นเอง เพื่อนคนหนึ่งมันกลับไปเอาล้อ มาบรรทุกกลับไปบ้าน คนเฒ่าในบ้านมาเห็นจองกันหมด เวลาตกแต่งพ่อลงมาช่วยอีกแรง เลยขายได้ทั้งหกอัน ได้เงินตั้งสองร้อย
ให้แม่ไป ต่อมาก็ไปหา ง่อนไถ แอก แม่คราด ฟันคราด สำหรับใช้เอง แต่ก็มีคนมาขอซื้อนะ เพราะเลือกไม้ดี ๆมาทำ สวยด้วย เพราะคนแต่งขั้นสุดท้ายคือพ่อ
............ช่วงลงนาก็คือช่วงเดือนพฤษภาคม คราดไถพร้อม เชือกนี่สำคัญ ไปตลาดเห็นเชือกป่านมะนิลาเส้นใหญ่ ๆ แพงไป ฟั่นเองดีกว่า ปอแก้วปลูกไว้เยอะแยะเอามาฟั่นเชือก เส้นเล็กสำหรับผูกวัวควาย สนตะพายให้มัน เส้นใหญ่ทำเชือกคร่าวลากคราด ไถ ทำเองทั้งนั้น หน้านาขอไปนอนที่นา พ่อบอกเองไปนอนได้ แต่ควายเอาไว้บ้าน เพราะเอ็งนอนดีเหลือเกิน แม่ปลุกยังไม่อยากตื่น เดี๋ยวคนมาจูงควายหนีหมด ก็จริงนอนขี้เซามาก หลานสาวมันต้อนควายมาส่งแต่เช้ามืดให้ไถนา แถมมันช่วยไถด้วย เก่งกว่าเรา
อีกเพราะเขาทำมานาน ที่นาไม่ถึงยี่สิบไร่หรอก ไถสิบกว่าวันก็เสร็จ ที่อยากนอนนา เพราะกลางคืนมันว่าง ได้ออกเดินป่าหาหนูนา หาบ่าง มีหมาคู่ใจตัวหนึ่งมันล่าเก่ง ออกเดินป่าเมื่อไรไม่เคยพลาด เจ้าเพื่อนกันนามันอยู่ติดกันนั่นแหละ เลยมีเรื่องออกเดินป่ากัน แทบทุกวัน เวลาไปก็แค่สะพายย่ามมีเสียมและขวาน ปืนแก๊ปด้วย คอยฟังเสียงหมามันเห่าาแล้วตามไป ถ้ามันขุดคุ้ยรูก็พวกหนู แต่บางครั้งก็งูนะ ไฟฉายต้องดี มีถ่านสำรองไปด้วย ถ้ามันมองบนต้นไม้ก็บ่าง นาน ๆถึงเจอพวกอีเหน นอนกลางนามันดีหลาย อย่างแบบนี้นั่นเอง
............บางคืนฝนตกทั้งคืน ลองออกเดินตามคันนา ได้กบเขียด บางทีก็ปลา ในที่สุดก็ติดชีวิตแบบชาวนา เอาไก่มาเลี้ยง มัน ออกลูกมาน่ารักทั้งนั้น แม่มาเยี่ยมบ่อยเพราะลูกชายไม่เข้าบ้าน แกมาทำกับข้าวให้กิน หนู บ่าง กบเขียด มีไม่ขาด แถมแกปลูก ผักสวนครัวที่จอมปลวกใกล้ๆ ให้ด้วย ต้องล้อมให้ดี ไก่มันชอบ พังพอนก็แอบมาเยี่ยมลูกไก่ กลางคืนเงียบสงบยินเสียงบ่าง นก แมงกลางคืนแทรกมาสบายใจดีมาก ๆ ถัดมาไม่นานกล้าก็งาม ถึงเวลาปักดำ เสร็จปักดำก็ยังไม่เข้าบ้าน เพื่อนมันชวนลงน้ำจับ
ปลาที่เขื่อนอุบลรัตน์ เขากักน้ำปีแรกปลาชุมมาก พ่อซื้อเรือแจวให้ลำหนึ่ง ซื้ออวนถี่อวนห่างรวมแล้วห้าหกผืน แต่ละผืนยาว 50 เมตร บ้าง 100 เมตรบ้าง น้ำเขื่อนห่างจากกระท่อมนา 3 กิโลเมตรเอง ถ้าน้ำขึ้นเต็มที่ก็ถึงเขตแดนที่นา วันแรกจำได้ดีปลาติดตาข่าย หรืออวนชนิดไม่อยากกู้เลย มันม้วนเป็นเส้นเชือกจมลงพื้น ปลาตายหมด ไม่มีปัญญาปลด หาบมากระท่อมหลานสาวมาส่งข้าว มาช่วยกันปลด แล้วให้มันหาบปลาไปส่งทางบ้าน ไม่ถามว่าเอาไปทำอะไร วันหลังเห็นหาบเกลือมาให้พร้อมกับปี๊บเปล่า ๆ สองใบ บอกว่าปลาเน่าเสียให้หมักเกลือ เกือบเดือนมั้งที่ลงน้ำจับปลา ปีบสองใบกลายเป็นสิบใบ กลิ่นหอมนะ แต่คนอื่นว่าเหม็น พอมัน เค็มได้ที่พี่สาวก็มาเอาไปปรุงแต่งเป็นปลาร้า สำหรับใช้เป็นของฝากไปแลกข้าวสาร เขาว่ามันดีกว่าขายปลาร้า ต่อมาเสร็จหน้านา เก็บเกี่ยวแล้วเข้าหน้าแล้ง เพื่อนมันบอกไปนอน ในเขื่อนจับปลากัน ก็เลยเลิกนอนกระท่อมนา พ่อแม่พี่สาวมาเก็บของกลับบ้าน
..........จะลงไปเขื่อนหาปลากันเตรียมอวนถี่ตาขนาดนิ้วหนึ่ง 3 เส้น อวนห่าง ตา 2.5 นิ้ว 4 เส้น ห่างมากขนาด 4 นิ้ว เส้นเดียว เบ็ดเบอร์ 1 2 3 อย่างละ 50 หลัง เบอร์ 15-18 อย่างละ 100 หลัง เบอร์เล็ก 20 เอา 200 หลัง เรือแต่งให้มีกระโจมกันแดดฝน มีแคร่สำหรับนอนในเรือ มุ้ง เครื่องครัว ปืนแก๊บ พลุไม้ซาง ฉมวก ไฟฉาย ตะเกียง เต็มเรือ ออกแต่เช้า จำได้สมัยน้ำยังไม่ท่วม บริเวณที่เรามาจอดพักเป็นหมู่บ้าน
กุดปลาเฒ่า ห่างกันสิบกิโลเมตร ตอนนี้น้ำท่วมมิดหมู่บ้าน มีเนินดินบางแห่งยังไม่ท่วม ได้พัก กันแถวนั้นเพื่อก่อไฟทำกับข้าว เวลานอนผูกเรือกันต้นไม้ ปักหลักไม้ไผ่ให้แน่น นอนในเรือ ยุงชุมมาก ๆ มุ้งอย่าเผลอไปถีบมัน ยุงจะเข้ามาหา เราจะออกวางเบ็ดกันตามสบาย ไม่มีคนแย่ง เหยื่อบนเนินใส้เดือนหนีน้ำท่วมเยอะมาก จิ้งหรีด เขียด มีให้จับ ไปทำเหยื่อมากมาย กลางวันปลากินเบ็ดปลดไม่ทัน วางได้ไม่เกินสองร้อย สำหรับเบ็ดชายฝั่ง เบ็ดน้ำลึกใช้เบอร์ 1 2 3 เอาแค่ 20 หลังพอ เหยื่อใช้ปลาหลด ปลาดุกที่ติดเบ็ดชายฝั่ง เบ็ดใหญ่ วางไว้รอบ ๆ กอสวะใหญ่ ที่เขาลือกันว่ามีจรเข้อาศัยอยู่ มีร่องรอย มันเดินเข้าออกด้วย กลัวเหมือนกัน แต่อยากวางเบ็ด บ่าย ๆ ก็ออหาที่กางอวน ไม้ไผ่ยาวสามเมตร ปักลงผูกดึงออกไปเป็นทางยาว ทุก 10 เมตรปักหลักช่วยดึงให้ตึง ปลาติดจะได้ไม่จมง่าย กว่าจะเสร็จก็จวนค่ำ พักผ่อน ก่อนออกไปเปลี่ยนเหยือเบ็ด
...........กลับที่พัก เพื่อนมันกางมุ้งกินปลาย่างกับเหล้าขาว มันร้องด่าทักทายว่า อ้ายห่าเขียวมึงทำไงปลาดุกปลาช่อนติดเบ็ดมึง เยอะ กูเอามาย่างห้าหกตัวนะ มากินด้วยกันซิ มันรู้ว่าเราไม่หวง พอนั่งเสร็จเพื่อนอีกคนยกหม้อแกงเป็นต้มยำปลาช่อนตัวโต ใส่ใบมะขามอ่อน ปลาเบ็ดเราอีกนั่นแหละ พวกมันมีเหล้าขาวติดมาด้วยคนละขวดสองขวด แต่เราไม่ขอบเลยไม่มี เขาให้กินก็ แค่จิบนิด ๆหน่อย ๆ กินอิ่มก็ขอตัวไปดูเบ็ด เพื่อนคนหนึ่งอาสาไปส่องไฟให้ รู้นะว่ามันอยากดูเราวางเบ็ดทำอย่างไรนั่นเอง คราว หลังมันเอาเบ็ดมาด้วย ไปดูเบ็ดเบอร์ใหญ่ ได้ปลากรายยักษ์ 3 ตัว ปลาเค้าขนาดสองกิโล ตัวหนึ่ง เพื่อนมันขอปลาเค้า อยากกิน ต้มยำและห่อหมก กินอิ่มมาหยก ๆ มันบอกกูจะทำกินเช้าโว้ย ขำ ๆมัน พอเช้าจริงมันไม่เอาแล้ว มันจะเอาตัวใหม่สดกว่า ก็ ตามใจพวกมัน เช้า ๆซักโมงถึงสองโมงเช้า มีเรือซื้อปลาเร่มาถามขอซื้อปลา ก็ขายปลากันจนหมด เหลือไว้เฉพาะที่จะทำกับ ข้าว และปลาเน่าเขาไม่ซื้อ บางวันก็ได้ร้อยสองร้อยบาทเชียวนะ ไม่เลวหรอก ปลาเน่าเสียก็ทำปลาเกลือใส่ปี๊บไว้จะเอากลับบ้าน ปลาช่อนตัวโต ๆ ผมทำปลาแดดเดียวไปฝากแม่ ชะโดเอาหัวให้เพื่อนมันต้ำยำ เนื้อทำปลาส้มฝากพ่อและพี่ชาย ไปห้าคืนหมด ข้าวสารต้องกลับบ้าน ตอนเช้าเหลือปลาไว้กลับบ้านไม่ขายหมด พักสองสามวันมาใหม่
..........เป็นหนุ่มแล้วมีแฟนรึเปล่า เห็นจะมีเรื่องนี้แหละที่ยังโง่ อยู่ที่หมู่บ้านตอนเย็น ๆยังมีสาว ๆเขาเข็นฝ้ายกันอยู่นะ แต่เขา ทำกันบนบ้าน มีหนุ่ม ๆ แวะเวียนไปเยี่ยมพูดคุยกัน เคยไปหลายบ้านนะ สาวรุ่นหน้าตาสวย ๆก็หลายคน แต่ปัญหาก็คือหนุ่ม ๆแย่ง กันจีบ เราก็ประเภทคุยไม่เก่ง สู้เขาไม่ได้ แถมโดนเบรคจากพ่อแม่สาวชอบมาคุยกับเราถามเรื่องเรียนหนังสือ เมื่อไรจะไปหา งานทำ เล่นเอาใจเหี่ยวเลย โดนจี้จุดอ่อนไงทำให้ไม่ค่อยอยากจีบลูกสาวใคร ความจริงเขาถามด้วยความห่วงใย เราคิดมากเอง
มารู้ทีหลังว่าหลายคนนะเขาอยากได้เราเป็นเขย เพราะเห็นเราขยันขันแข็งทำการงานเก่ง แต่นั่นแหละคนมันมีปมด้อยเลยไม่ มีพลังที่จะแสวงหา บางสาวโดนเพื่อเราไปยุเอาไว้ก็มี สรุปได้เลยว่าไม่มีแฟนเป็นตัวตนหรอก
..........สาวนาใกล้กันหน้าตาก็ธรรมดา แต่รูปร่างใหญ่แข็งแรง ช่วงฝนตกใหม่ ๆ ผมมาซ่อมคันนาแต่เช้า เห็นเธอมาซ่อมคันนาด้วย เหมือนกัน สาย ๆ พักเหนื่อยก็เลยแวะไปถามไถ่ รู้ว่าครอบครัวเธออาศัยเจ้าของนารับจ้างทำนา เพราะเป็นญาติกัน เดิมพ่อเธอทำ งานหนัก ๆ ตอนนี้เธอต้องลงมือช่วย ทั้งขุด  ดิน จับคันไถ ทำหลายปีจนชำนาญ เราก็ชมตามความจริงก็ทำให้รู้จักคุ้นเคยกัน แต่พ่อ แม่เราคิดไปไกลมากแล้ว เห็นเราสนิทกับเขาอยากได้เป็นสะใภ้แล้ว แม่ว่าถ้าแกได้เมียขยันแบบนี้ไม่มีอดตายหรอก ว่าไปโน่น เราก็ได้แต่ยิ้มไม่มีความเห็น ไม่ได้รังเกียจแต่คิดในใจว่าไม่มีงานทำจะเอาอะไรไปเลี้ยงลูกเมีย ปี 2510 พ่อแม่จึงร้องขอให้บวชสัก 1 พรรษา สึกมาค่อยมีครอบครัว ก็ตกลงบวชก็บวช
ขุนทอง ศรีประจง
1 ธันวาคม 2559
ช่วงอุปสมบท 2510 -2516

วันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

วันเพ็ญเดือนสิบสอง




วันเพ็ญเดือนสิบสอง
..............
.........เพ็ญเดือนสิบสอง สำคัญสำหรับพระภิกษุและชาวพุทธเรา เพราะเป็นกำหนดสิ้นสุดเขตจีวรกาล
สิ้นสุดเขต กฐินกาล และกิจกรรมลอยกระทง รวม 3 เรื่อง
.........จีวรกาล ช่วงเวลาการหาผ้ามาเปลี่ยนใหม่ ชุดเก่าใช้มา 1 ปี เก่ามากแล้ว ให้เวลา 1 เดือนนับแต่ออก พรรษา หมดเขตก็เพ็ญเดือนสิบสองนั่นและ คำว่าจีวร หมายถึงผ้าทุกอย่าง แต่ผ้าที่ใช้นุ่งห่มมี 3 ชนิดคือ อันตรวาสก (ผ้านุ่ง) อุตตราสงค์ (ผ้าห่ม)และ สังฆาฎิ (ผ้าซ้อนห่มเวลาหนาว) รวมเรียก ไตรจีวร นอกจากนี้ เรียก อติเรกจีวร ถ้ามีคนถวายก็นำไปมอบให้สงฆ์แล้วขอยืมมาใช้ วินัยพระเยี่ยมยอดมาก สมัยพุทธกาล ผ้าหายาก ชาวบ้านเขาทอผ้าใช้กันเอง ร้านขายผ้าหายาก พระมาก ๆ จะเปลี่ยนผ้าที เป็นเรื่องยาก เดินทางไป เห็นเศษผ้าพอจะใช้ได้ก็เก็บมาเรียกว่าผ้าบังสุกุล ปังสุ=ฝุ่น กุล=เปื้อน หาได้ตามกองขยะนอกเขตบ้านที่เขา เอามาทิ้ง หรือไม่ก็ไปป่าช้า แขกเขานิยมใช้ผ้าพันศพไปทิ้ง ไม่เผา ศพเน่าเปื่อยผ้ายังดีอยู่ เอามาซักล้าง สะอาดดีแล้วก้ใช้ประโยชน์ได้ หาผ้าบังสุกุลได้มา ฝากสงฆ์ไว้ เลี่ยงอาบัตินิสสัคคียปาจิตตีย์ จนผ้าพอแล้ว จะตัดเย็บค่อยไปขอเบิกจากสงฆ์มาตัดเย็บ มีเวลา 30 วัน ทำให้เสร็จ จีวรกาลสมัยโน้นจึงสำคัญมาก บางที หาผ้าไม่ครบซักที เพราะทุกคนก็หาเช่นกัน ถ้ามีพระจำนวนมาก เลยเรียกร้องหาการกราลกฐิน จะได้ขยาย จีวรกาลออกไปถึงกลางเดือนสี่ วิธีกราลก็แสนจะง่าย ใครได้ผ้าครบพอจะทำจีวรได้ ก็บอกกล่าวกัน ประชุม กราลกฐินกัน ทำเสร็จก็ได้อานิสงส์กฐินและขยายจีวรกาลออกไปได้ สมัยปัจจุบันการผลัดเปลี่ยนจีวรง่ายมีผ้า จำหน้ายที่ร้างสังฆภัณฑ์ พระไปเลือกซื้อหามาผลัดเปลี่ยน วันเดียวก็จบ ไม่ต้องใช้เวลา 30 วันหรอก ไม่ต้อง รอรับกฐินเพื่อขยายเขตจีวรกาลไปถึงกลางเดือนสี่ มันไม่มีความจำเป็นอะไรนี่
.........กฐินกาล มีผลสำหรับชาวบ้านที่คิดจะทำบุญกฐิน คือหมดเวลาแล้ว รุ่งขึ้น แรม 1 ค่ำ เดือนสิบสอง
ไม่มีวัดไหนรับกฐินแล้ว พระพุทธเจ้าท่านอนุญาตไว้แค่นั้น วัดก็รับกฐินได้ภายในเขตกฐินกาล รับมิใช่แค่รับ ประเคนนะ แต่ต้องทำกิจกรรม กรานกฐิน กันให้เสร็จภายในวันเดียวด้วย พิธีกราลกฐิน ก็คือ พระภิกษุในวัด อย่างน้อย 5 รูป ช่วยกันตัดเย็บผ้า 1 ผืน มอบให้พระ 1 ใน 5 รูปนั่นแหละ ใช้ผลัดเปลี่ยนแทนผ้าเก่า สมัย ก่อนพระต้องใช้ไม้แบบ กางทาบผ้าแล้วตัดเป็นชิ้น ๆ แล้วมาเย็บติดกันเป็นตา ๆ ค่อยนำไปย้อมสี จึงนำมา ใช้ได้ ไม้แบบนั่นแหละท่านเรียกไม้สะดึง บาลีเรียก กฐิน เลยเรียกกันติดปากว่า บุญกฐิน ซึ่งพอจะสรุปได้ เป็นการสามัคคีกันของพระ 5 รูปขึ้นไป ช่วยกันตัดเย็บผ้าจีวร 1 ผืน เสร็จ ในวันเดียว มอบถวายพระรูปหนึ่ง นำไปใช้ พระทั้งหมดร่วมแสดงความยินดีด้วย เรียกอนุโมทนากฐิน ได้อานิสงส์กฐิน เท่า ๆ กัน
......การตัดเย็บผ้าจีวรใช้ ผ้า 2 เมตร ตัดเย็บเป็นผ้าสบงได้ วัดที่ไม่มีใครทอดกฐิน ไปหาผ้ามาสิ แล้วช่วยกัน ตัดเย็บทำสบง ถวายเจ้าอาวาส เรียกว่าพระวัดนี้ กราลกฐินกัน เรียบร้อย ไม่ต้องรอมหากฐินมาทอดหรอก แต่ดูเหมือนพระท่านไม่เดือดร้อน ไม่มีคนทอดกฐินก็ไม่เป็นไร ผ้าจีวรไม่ได้หายากเย็นอะไร เดินไปหาผ้าที่ ตลาดจะเอาเป็นไตร 3 ผืน ครบเลย วันเดียวเปลี่ยนหมดได้เลย ฉะนั้นเข้าใจกันซะใหม่ หาผ้าใหม่มาเปลี่ยน สมัยนี้ไม่ยุ่งยากเหมือนสมัยพุทธกาล วันเดียวจบ ขนาดยกกฐินไปทอดถวาย การกราลกฐินก็ไม่ค่อยจะทำ จุลกฐินที่ถวายผ้าทอใหม่ ๆ นั่นแหละจะเห็นพระกราลกฐิน วุ่นวายน่าดู ต้องรีบตัดผ้าเป็นชิ้น ๆ เย็บติดเป็นตา ๆซักสะอาดดีนำไปย้อม ตากแห้งแล้วนำไปถวายพระรูปที่จะกราลกฐิน ได้เห็นพระกรานกฐินวุ่นวายทั้งวัดเลย กฐินทั่วไปใช้ผ้าสำเร็จรูปแล้ว พระเพียงเลือกมาผืนหนึ่ง มอบให้องค์ครองกฐิน รับไปดำเนินการ ซัก ตัด เย็บ ให้เป็นผ้าที่ผ่านการตัดเย็บแล้ว นำมาผลัดเปลี่ยนและกรานกฐินด้วยผ้าผืนนั้น วิธีการง่ายกว่ากันเยอะเลย
.......การกรานกฐินเป็นหน้าที่ของพระ การหาผ้ามาทำพิธีกรานกฐิน ก็เป็นหน้าที่ของพระ โยมก็แค่อำนวย
ความสะดวกจัดหาผ้าไปถวายเท่านั้นเอง เดี๋ยวนี้พระไม่แสวงหาผ้าไปตัดเย็บจีวรกันแล้ว ผ้าของสงฆ์ก็เต็มตู้ พระอยากได้จีวรไปขอเจ้าอาวาสเบิกของสงฆ์มาใช้ผลัดเปลี่ยนได้ ทุกวัดผ้าของสงฆ์มีมากมาย ไม่ขาดแคลน
.......กิจกรรมในวันเพ็ญเดือนสิบสอง น้ำนองตลิ่ง ชวนกันไปลอยกระทง งานชุมนุมกันของชาวบ้าน ก็เกิด
กิจกรรมสนุกสนานกัน ได้ทำกระทงไปลอยน้ำ มีมหรสพให้ชม ได้พบปะกันของหนุ่มสาว เป็นประเพณีที่อ้าง อิงคติพราหมณ์ เน้นบูชาเทพ บูชาแม่คงคา ก็ว่ากันไป เรื่องที่สนุกสนานชาวบ้านเขาไม่ถือหรือ ปีใหม่ไทย สงกรานต์ก็สนุก ปีใหม่ฝรั่งคือตรุษฝรั่งก็สนุก ปีใหม่จีน ตรุษจีนก็สนุก ปีใหม่สากล หยุดให้ด้วย เห็นไหม ชาว บ้านสนุกได้ทุกตรุษนั่นแหละ ลอยกระทงก็สนุกได้เช่นกัน สวัสดีครับ

----------------
ขุนทอง ศรีประจง
เขียน 10 พฤศจิกายน 2559
โพส  15พฤจิกายน 2559












































อ่านพระราชประวัติในหลวง


........ได้อ่านพระราชประวัติในหลวงรัชกาลที่ 9 จากหนังสือ ตำรา สื่อหนังสือพิมพ์ และสื่อออนไลน์ อ่านไปก็อัศจรรยฺ์ไป  ชื่นชมพระบารมีของพระองค์  ช่วงที่ทรงเข้า-ออก ศิริราชบ่อย ๆ รู้สึกใจหาย เกรงว่าสักวันหนึ่ง พระองค์ท่านจะจากพวกเราไป  เลยอยากจะบันทึกชีวประวัติของพระองค์เป็นคำร้อยกรอง เพื่อ บูชาพระคุณของพระองค์ที่มีต่อประเทศชาติและประชาชน  ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้า นายขุนทอง ศรีประจง
(14 พย.59 แก้ไขวรรคตอน และภาพประกอบ)

                                               ชีวประวัติปฐมวัย
อ่านบันทึกพระราชประวัติ
องค์กษัตริย์ภูมิพลแห่งสยาม 
ไฉนทรงเกียรติคุณเลื่องลือนาม
ลองติดตามศึกษาน่าสนใจ 
ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาท
ขอโอกาสค้นคว้าความสงสัย 
บันทึกเป็นร้อยกรองด้วยเหตุใด
ชนชาวไทยจึงจงรักมากภักดี 
ปูมประวัติพระราชสมภพ
วารบรรจบธันวาห้าดิถี 
ศกเจ็ดศุนย์ศักราชสองพันปี
หลักร้อยสี่พระเสด็จจุติมา 
ยามมงคลแปดโมงสี่สิบเศษ
พระปิ่นเกศอุบัติคราวนั้นหนา 
เม้าท์ออร์เบิร์นโรงหมอบันทึกตรา
หมอนามว่าดับบลิวสจ๊วตมี 
คำวิตมอร์ต่อท้ายผู้ทำคลอด
อ่านตลอดหกปอนด์ชั่งทรงศรี 
เป็นโอรสสมเด็จเจ้าจักรี
พระนามที่เจ้าฟ้ามหิดล 
แรกทรงยศพระวรวงศ์เธอ
จำเสมอองค์เจ้าจากเวหน 
พระนามเดิมก็คือภูมิพล
นามพระชนนีศรีสังวาลย์ 
ถิ่นกำเนิดแมสสาจูเซทรัฐ
เขตสังกัดอเมริกาตามว่าขาน 
ห้าชันษาวัยเรียนเพียรทำการ
เริ่มเรียนผ่านมาแตร์เดอีสกูล 
ที่กรุงเทพฯนี่เองเร่งศึกษา
คราวต่อมาไปสวิสส์มิเสื่อมสูญ 
เข้าโรงเรียนเมียร์มองต์ว่าไพบูลย์
พระเพิ่มพูนประสบการณ์โลซาน์นคร 
ศึกษาต่อโรงเรียนนานาชาติ
รับประกาศบาเชอลิเยเออักษร 
รู้อังกฤษฝรั่งเศสพิเศษบวร
เรียนบทตอนเยอรมันแลละติน 
มิน่าทรงรอบรู้หลายภาษา
กาลต่อมาเรียนอุดมศาสตร์ทรงศิลป์ 
เลือกเรียนวิทย์วิศวะเพียงได้ยิน
องค์บดินทร์สายยากลำบากเรียน 
มีเรื่องเล่าเยาววัยได้อ่านพบ
ยามประจบพระมารดาพาทีเขียน 
เรียกคุณแม่แปลกคำจนจำเนียร
พระพากเพียรสนิทสนมพระมารดา 
ชนนีภคินีพระเชษฐะ
คุณเล็กนะยามเพรียกร้องเรียกหา 
คือโอรสพระองค์เล็กพระนามา
เป็นภาษาส่วนพระองค์ทรงเรียกกัน 
ฝึกอบรมหนักมาแต่เยาววัย 

ไปโรงเรียนค่าขนมให้จำกัด
พระชอบจัดรับจ้างช่างเสกสรรค์ 
เก็บพืชผักไปขายนี่สำคัญ
ระดับนั้นทำได้ประหลาดใจ 
อีกทรงชอบเลี้ยงสัตว์จัดหลายอย่าง
สุนัขบ้างกระต่ายป่าน่าสงสัย 
งูก็มีนกขุนทองลิงอย่างไร
น้ำพระทัยรักสัตว์มีมานาน 
สมเด็จย่ารับสั่งฝึกการให้
หยอดลงไปออมสินต่างรับขาน 
คนทำกิจมีกำไรได้เป็นการ
ชักสิบด้านเปอร์เซ็นต์สะสมกัน 
สิ้นเดือนตรวจประชุมกลุ่มในบ้าน
มติผ่านไปทำบุญคุณเสกสรรค์ 
การกุศลสั่งสมสานสัมพันธ์
พระทัยมั่นเผื่อแผ่แน่วแน่จริง 
สินประหยัดอดออมแต่ยังเล็ก
เห็นพวกเด็กขับขี่รถชายหญิง 
จักรยานอยากมีแม่ก็ติง
ลองนึกนิ่งเก็บเงินได้แน่นอน 
แปดขวบเองอยากมีกล้องลองออมไว้
มินานได้จริงแท้คำแม่สอน 
บุญได้เห็นพระราชาเอื้ออาทร
ประชากรรักพระองค์ทรงติดดิน 
ทรงรักกิจละเล่นเป็นชีวิต
กระทำกิจทุกทางอย่างมีศิลป์ 
พยายามหาทุนเป็นอาจิณ
ยอมอดกินอดขนมสะสมเงิน 
รวมหุ้นกับเชษฐาหาชิ้นส่วน
ประมวลสร้างวิทยุน่าสรรเสริญ 
มิน่าใช้วิทยุเก่งเหลือเกิน
เล่นจนเพลินแต่เยาว์ธ เชาวน์ชาญ 
สมเด็จย่าให้ฝึกเล่นตัวต่อ
มิเกินรอแผนที่ที่ไขขาน 
เป็นภาพเขตทั่วไทยได้เป็นการ
พระองค์อ่านจนทะลุแต่เยาว์วัย 
ครายังเด็กชอบทรงดนตรีมาก
เล่นเป็นหลากเครื่องดนตรีตามสมัย 
ทั้งเปียโนกีต้าเป่าปีไป
เป่าเพราะได้แซกโซโฟนพระชำนาญ 
สิบห้าขวบซื้อแซกพระประสงค์
สมเด็จทรงช่วยครึ่งจึงผสาน 
จัดให้ครูมาสอนให้เชิงชาญ
เวย์เบรช์ทท่านคุณครูสอนดนตรี 
สิบแปดขวบแต่งเพลงแสงเทียนแล้ว
พระเป็นแก้วเจียรนัยใสเสริมศรี 
เพลงพระราชนิพนธ์นับมากมี
ขาดหนึ่งชี้ห้าสิบเพลงนิพนธ์ 
ชอบถ่ายภาพแปดขวบซื้อกล้องใช้
มิแปลกใจทรงกล้องทุกแห่งหน 
ภาพพระศอห้อยกล้องเยี่ยมชุมชน
ชินตาจนทรงงานมานานนม 
บันทึกภาพยนตร์กลฉลาด
พระสามารถเชิงชาญงานประสม 
เคยนำออกเผยแพร่ให้ชนชม
คนนิยมแซ่ซ้องพระบารมี 
รายได้ช่วยการแพทย์แลกาชาด
พระประกาศมุ่งบุญคุณราศรี 
เพื่อประชาทุกการนานนับปี
เพราะเหตุนี้ประชารักพระทรงธรรม 
ทรงกีฬาหลายอย่างต่างเล่นได้
แล่นเรือใบเล่นสกีดีพร้อมสรรพ์ 
เคยลงแข่งแหลมทองชนะพลัน
เหรียญทองนั้นทรงชนะพระเบิกบาน 
แบตมินตันก็ชอบตอบสนอง
เล่นได้คล่องกีฬาผสมผสาน 
จะเล่นเดี่ยวเล่นคู่ก็ชำนาญ
พระองค์ท่านนักกีฬาทั้งกายใจ





                                          ทูลเชิญครองราชย์ 
…ปีแปดเก้าครองราชสมบัติ
รัฐบาลจัดทูลเชิญมิสงสัย 
วันที่เก้ามิถุนาพระทรงชัย
สิบแปดได้ชันษาสถาพร 
นามสมเด็จองค์พระเจ้าอยู่หัว
ทราบกันทั่วภูมิพลเพียงสิงขร 
อดุลยเดชเกริกไกรขจายขจร
ถึงบทตอนเป็นกษัติย์ขัตติยา 
ทรงตั้งผู้สำเร็จราชการก่อน
เพราะยังอ่อนนับวันเยาว์ชันษา 
ยังต้องกลับไปสวิสเรียนวิชชา
ค่อยกลับมาสืบสมบัติรัชชกาล 
ที่สิบเก้าสิงหาปีแปดเก้า
ได้ทรงเข้าศึกษาตามว่าขาน 
เคยเรียนวิทย์วิศวะด้วยเชิงชาญ
ปรับมีงานรออยู่ควรรู้ไกล 
บริหารปกครองทุกทุกศาสตร์
ถึงสามารถกฏหมายรัฐศาสตร์ไข 
อักษรศาสตร์ภูมิศาสตร์ศึกษาไป
ล้วนต้องใช้สำคัญครองบัลลังก์ 
ปีเก้าหนึ่งเยือนทูตฝรั่งเศส
ทอดพระเนตรงานสำคัญวันความหลัง 
พบธิดาท่านทูตแทบจังงัง
รักแรกครั้งประวัติศาสตร์วาดบทตอน 
ม.ร.ว. สิริกิตติ์พระนามท่าน
สองผสานไมตรีสโมสร 
สั่งสมรักสองพระองค์เกี่ยวพระกร
ฝากคำวอนฝากหทัยไว้แก่กัน 
มินานเกิดอุบัติเหตุบนถนน
ส่งผลให้บาดเจ็บโอ้สวรรค์ 
ทั้งพระพักตร์พระเศียรพระเนตรพลัน
บาดเจ็บนั้นหนักหนาพยาบาล 
อยู่กับหมอนับเดือนเหมือนเคราะห์ซ้ำ
เจ็บปวดจำอดทนคนเฝ้าขาน 
คอยดูแลใกล้ชิดทุกวันวาร
จนก้าวผ่านทุกข์เข็นเป็นสายใย 
ต่อมาคือพระคู่หมั้นสิริกิตต์
เป็นนิมิตมั่นคงมิสงสัย 
ที่สิบสองสิงหาเก้าสองนัย
หมั้นเอาไว้แน่นอนพระราชินี 
                                     เสด็จกลับเมืองไทย 

วันสองเจ็ดกุมภาศกเก้าสาม
เรื่องงดงามเสด็จกลับตามวิถี 
ตั้งการถวายพระเพลิงพระภูมี
สมเด็จพี่ธรรมเนียมไทยนิยม 
ยี่สิบแปดสามสิบศกเก้าสาม
พระองค์รามสู่สวรรคาลัยสม 
งามพระเกียรติเรียบร้อยควรชื่นชม
ตามบรมขัตติยประเพณี 
บ้านสงบเมืองร่มเย็นเห็นกษัตริย์
ต่างเร่งรัดราชการงานวิถี 
ประชาชนชื่นชมพระบารมี
รอวันดีมงคลจักตามมา 
ยี่สิบแปดเมษาศักราช
ตามประกาศเก้าสามงามจริงหนา 
อภิเษกสมรสพระราชา
งามสง่ากับสตรีศรีจันทร 
พระนามว่า ม.ร.ว.สิริกิตติ์ 
ผู้ใกล้ชิดร่วมสุขสโมสร 
ประชาชนแซ่ซ้องยกสองกร
ขอภูธรสององค์ทรงพระเจริญ 
สถาปนาสมเด็จเฉลิมศรี
พระนามมีสิริกิตติ์ชนสรรเสริญ

อีกพีธีบรมราชาภิเษกเชิญ
เฉลิมเดินตามราชประเพณี 
ถวายพระปรมาภิไธยเลิศ
นามประเสริฐจารึกพระทรงศรี 
ลงแผ่นทองนามาธิบดี
พระบาทสมเด็จชี้ต้นพระนาม 
พระปรมินทรมหาภูมิพล
อุดลย(ดล)เดช(ลือโลกสาม) 
มหิตลาธิเบศรรามา(ราม)
ธิบดีจักรี(ยาม)นฤบดินทร์ 
(ทรงเป็นเอกราชา) สยามินทร์
ทราธิราช(ปิ่น)บรมนาถบพิตร 
เสร็จเฉลิมทรงราชย์ประกาศสัจ
ราชวัตรจักครองแผ่นดินสถิต 
โดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขเนืองนิตย์
เป็นนิมิตมงคลทรงเกื้อกูล 
มหาชนชาวสยามได้ปรากฏ
ได้จำจดพระเกียรติมิเสื่อมสูญ 
พัฒนาทำให้ไทยพิบูลย์
ต่างเทิดทูนเทียมบิดาเพราะบารมี 


                                       พระโอรสพระธิดา 
ต่อมามีพระโอรสแลธิดา
คงเพราะฟ้าประทานให้ได้เป็นศรี 
เป็นสง่าแด่พระองค์วงค์จักรี
รวมแล้วสี่พระองค์ทรงพระเจริญ 
สมเด็จพระเจ้าลูกเธอสาม
นามเจ้าฟ้าอุบลรัตน์เพียงหงส์เหิร 
สองเจ้าฟ้าสิรินธรงามเหลือเกิน
เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์เพลินพิไล 
สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอองค์
ทรงเจ้าฟ้าวิชราลงกรณ์ไข 
ต่อมาเป็นสมเด็จพระบรมใน
โอรสาธิราชฯไท้ประทานพร 
สี่พระองค์แก้วตาประชาราษฎร์
ตามรอยบาทพระบิดามารดาสอน 
ปวงชนชมบารมีพระภูธร
ยอสองกรกราบก้มอัญชุลี 




                                   ประมวลพระราชกรณียกิจ 
นับแต่วันพระองค์ทรงครองราชย์
พระประกาศคุณธรรมนำวิถี 
พระดำเนินตามสัจจะกรณี
พระเป็นศรีเป็นสง่าประชาไทย 
พระเสด็จทั่วทุกภูมิภาค
จะลำบากกันดารมิหวั่นไหว 
ทรงพบเป็นปัญหานานาภัย
ทรงแก้ไขด้วยปัญญาประชาภิรมย์ 
สี่พันเศษโครงการพระราชดำริ
วิริยะพระทรงงานการเหมาะสม 
                             ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 
จำแนกเป็นหลายด้านงานชื่นชม
ชนนิยมแก้ปัญหาทรัพยากร 
บนดงดอยภูเขาชนลำบาก
ฝิ่นปลูกมากทั่วไปในสิงขร 
ทรงแก้ไขความคิดจิตอาทร
ทรงสั่งสอนปลูกป่าอาชีพตน 
ไม้เมืองหนาวงอกงามตามได้เห็น
ชาวเขาเป็นเจ้าของทุกแห่งหน
ฝิ่นหายไปทุกกลุ่มในชุมชน
พระคุณล้นเหนือเกล้าเขาทั้งปวง 
ธรรมชาติหลายแหล่งฟื้นฟูได้
แล้งเกินไปแดนอีสานโครงการหลวง 
พลิกความยากความจนล้วนผลพวง
ท่านทรงห่วงอาณาประชากร 
                                            ด้านการศึกษา 
พระทรงงานโครงการด้านศึกษา
จัดสรรมากองทุนหนุนกิจสอน
เลือกคนเก่งเรียนต่อพ่ออาทร
กลับมาตอนจบจัดพัฒนา 
สร้างโรงเรียนไทยคมควรชมยิ่ง
เป็นแบบสิ่งยอดงานการศึกษา 
โรงเรียนต้องเพียบพร้อมจัดสรรมา
ทั้งวิชชานวัตกรรมนำเชี่ยวชาญ
อีกมากมายโครงการพระเสกสรรค์
เอกอนันต์ชนฉลาดแลอาจหาญ 
กระทำกิจพัฒนานานับประการ
ทรงสร้างบ้านแปลงเมืองเรืองอุไร 
ทรงดำริโครงการด้านภาษา
ผลิตสารานุกรมคมไฉน 
รวมปัญญาสาระบรรจุไป
นักเรียนใช้ศึกษาวิชชาการ 
ทรงนำเรื่องการใช้ถ้อยภาษา
พัฒนาเยาวชนกลประสาน 
ให้รักไทยรักษ์ภาษาให้ยืนนาน
พระคุณท่านล้นเหลือเพื่อชาวไทย 
                                ด้านการแพทย์และสาธารณสุข 
กรณียกิจการแพทย์สำคัญยิ่ง
รู้ทุกสิ่งสุขภาพชนไหนไหน 
มีปัญหาพึงช่วยด้วยทันใด
เสด็จไปมีแพทย์ตามขบวน 
เฉพาะหน้าปัญหาช่วยแก้ไข
ระยะไกลทรงตริดำริหวน 
ผลิตทั้งหมอพยาบาลให้ทุนชวน
คนเก่งล้วนมีทุนอุดหนุนไป 
โครงการแพทย์ชาวบ้านงานดีเด่น
เคยพบเห็นศูนย์ศึกษาน่าสงสัย 
มากมายยิ่งแปลงปลูกสมุนไพร
ชวนวิจัยศึกษามานานปี 
โครงการแพทย์เคลื่อนที่ดีมากมาก
เพราะจนยากชาวบ้านย่านวิถี 
ยากจักได้พบหมอพบแพทย์ดี
เมื่อพ่อมีโครงการเบิกบานใจ 
                                 ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 
พระองค์ชอบวิทยาศาสตร์ประกาศชัด
จักเร่งรัดเล่าเรียนเพียรส่องไข 
ยังมิจบจำเป็นต้องเปลี่ยนไป
เพราะชาวไทยทูลเชิญครองราชย์มา 
กระนั้นทรงสนพระทัยใฝ่วิเคราะห์
เรื่องใดเหมาะติดตามยามศึกษา 
จนรอบรู้รวบรัดพัฒนา
พระปัญญาประยุกต์ทุกทุกงาน 
ทำฝนเทียมสำเร็จใช้งานได้
ช่วยแก้ไขฝนขาดราชประสาน 
อำนวยกิจฝนเทียมพระเชิงชาญ
พระองค์ท่านรักวิทย์ประสิทธ์กล 
ทรงสื่อสารวิทยุโทรศัพท์
สามารถรับข่าวสารทุกแห่งหน 
มีข้อมูลเดือดร้อนประชาชน
เรียนรู้จนเชี่ยวชาญชำนาญมี 
คอมเนตไลก์สาระพัดทรงรอบรู้
ทรงใช้ดูข้อมูลพูนวิถี 
ประกอบการราชกิจวิวิธดี
เป็นแบบชี้ชวนชนให้พัฒนา 
ทุกข์น้ำท่วมแก้มลิงทรงคิดไว้
แก้จนได้ทรงรู้ดูปัญหา 
พบน้ำเน่าอากาศขาดมากมา
ใช้ปัญญาเติมอากาศทำฉันใด 
เกิดกังหันเติมลมแก้น้ำเน่า
นากุ้งเขาทำตามยามไหนไหน 
เห็นชอบกันทุกบ้านทำกันไป
กังหันชัยพัฒนาสถาพร 
โลกจักขาดเชื้อเพลิงใช้กันมาก
พระลำบากคิดหนักอุทาหรณ์ 
คิดไบโอดีเซลหลายบทตอน
ด้วยอาทรสัมฤทธิ์ประสิทธิ์ดี 
                                 ด้านการเกษตรและอาชีพ 
ทรงเสด็จทั่วไทยได้แลเห็น
บ้านเราเป็นเมืองเกษตรเขตวิถี 
ต้องพึ่งน้ำมากมายแต่ไม่มี
หน้าแล้งชี้ลำบากยากทำการ 
ทรงดำริโครงการด้านแหล่งน้ำ
มากยิ่งล้ำด้านใดในข่าวสาร 
สามพันหนึ่งสี่แปด ธ บันดาล
ก่อเกิดงานมากมายเหลือคณา 
พัฒนาเกษตรหนึ่งหกหก
ที่หยิบยกโครงการกิจศึกษา 
ทำเป็นแบบเป็นอย่างพระปรีชา
กระทำมามากมายด้วยสายใย 
ทรงห่วงหาอาทรประชาราฎร์
ยังประกาศส่งเสริมอาชีพไข 
สามสามแปดโครงการส่งเสริมนัย
อาชีพให้ราษฎรหายร้อนรน 
นำเสนอทฤษฎีการเกษตร
หลายแขวงเขตทำได้ไม่สับสน 
เศรษฐกิจพอเพียงเยี่ยงผู้คน
มิอับจนกินอยู่รู้จักพอ 
ทุกโครงการเพื่ออาณาประชารัฐ
ช่วยขจัดยากจนแท้จริงหนอ 
พระขยันทรงงานมิรีรอ
มิเคยท้อตลอดชีพคือทรงงาน 
                                             ด้านการศาสนา 
ทรงเป็นเอกอัครศาสนูปถัมภก์
เป็นผู้นำปฏิบัติทุกสถาน 
พระทรงศีลทรงธรรมมานับนาน
ทั้งทรงผ่านออกผนวชประเพณี 
ทรงทนุบำรุงทุกศาสนา
พระเมตตาเผื่อแผ่ทุกวิถี 
ให้ทุกชนทุกศาสน์ได้อยู่ดี
สบสุขมีกิจกรรมตามชุมชน 
ทรงส่งเสริมกิจศาสนศึกษา
พัฒนาวัดไว้ทุกแห่งหน 
พัฒนายศเกียรติพระสกล
ตั้งพัดยลงดงามตามพิธี 
พระดำริพุทธมณฑลสถาน
จัดโครงการก่อสร้างสมศักดิ์ศรี 
สมเป็นเมืองพุทธแท้ไทยธานี
มายมายมีสั่งบุญกุศลกรรม 
อารามหลวงจัดทรัพย์ไว้อุดหนุน
พระสั่งบุญเทียนพรรษามานานฉนำ 
กฐินหลวงมิขาดจัดประจำ
ทั้งทรงธรรมเพ็ญเพียรพระบารมี 
                                  สิทธิบัตรสิ่งประดิษฐ์คิดค้นในหลวง 
ขอชื่นชมพ่อหลวงยอดนักคิด
สิ่งประดิษฐ์ควรชมสมศักดิศรี 
เป็นสง่าแก่พระองค์วงศ์จักรี
สุดจักที่พรรณนาได้ครบครัน 
กังหันชัยพัฒนาเติมอากาศ
เมื่อน้ำขาดออกซิเจนจักแปรผัน 
จนเน่าเสียแก้เสริมเติมให้ทัน
ด้วยกังหันนามชัยพัฒนา 
เครื่องกลเติมอากาศแบบกดอัด
ดูดน้ำชัดใต้ผิวน้ำนำไปหา 
ออกซิเจนเติมลึกเต็มอัตรา
ประทับตราสิทธิบัตรพระเชี่ยวชาญ 
ทรงคิดค้นพลังงานทดแทนไว้
คงต้องใช้สักวันเสกสรรค์สาน 
น้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ลองใช้งาน
ทดลองผ่านเครื่องยนต์กลดีเซล 
สิทธิบัตรจดแล้วปีสี่สี่
เพราะทรงมีแนวคิดที่เล็งเห็น 
ยามขาดแคลนสิ่งนี้จักจำเป็น
พระเฉกเช่นเทพจุติโปรดประชา 
น้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ใช้หล่อลื่น
มิต้องฝืนสองจังหวะเครื่องยนต์หนา 
ทดลองดูได้ผลพระปัญญา
ทรงได้มาสิทธิบัตรจัดการ กล
ทรงเสด็จไปเหนือฤๅอีสาน
ได้พบพานความแล้งทุกแห่งหน
ป่าก็มีเมฆก็มากยากสายชล
พระกังวลหากคุมได้คงจักดี 
ทรงดำริจักก่อนับนานเนิ่น
ค่อยเจริญก้าวไปในวิถี 
ทรงวิเคราะห์วิจัยประมวลมี
ที่สุดชี้ทำได้ไทยปรีดา 
ทรงคิดค้นฝนเทียมในอากาศ
ให้สามารถคุมเมฆเสกเสาะหา
บังคับให้แปรผันตกลงมา
เป็นธาราสายฝนชนชื่นชม 
สิทธิบัติงานนี้ปีสี่ห้า
ประทับตราพ่อหลวงดูเหมาะสม 
คินค้นมานานปีคามนิคม
ล้วนนิยมสรรเสริญพระบารมี 
ทรงคิดเรือผลักน้ำในลำคลอง
ยามน้ำนองไหลช้าน่าหน่ายหนี 
เรือผลักดันช่วยได้ระบายดี
ทุกถิ่นที่น้ำท่วมร่วมจัดการ 
ทรงคิดค้นแกล้งดินถิ่นที่เปรี้ยว
ยากนักเทียวปลูกไม้ได้ว่าขาน 
ปล่อยให้เปรี้ยวจัดนักค่อยระราน
ชะล้างนานกลับกลายเป็นดินดี 
ปลูกพืชได้งอกงามตามเหมาะสม
ชนนิยมเอาอย่างต่างวิถี 
ดินเคยเสียกลับได้ประโยชน์มี
จดแล้วชี้สิทธิบัตรพ่อหลวงเรา 
สมาพันธ์นักประดิษฐ์นานาชาติ
ได้ประกาศกิจกรรมของพวกเขา 
ยกย่องท่านเป็นบิดาผู้ชาญเชาวน์
สามารถเอาเป็นอย่างสร้างผลงาน 
ฮังการีหน่วยนี้เขามีอยู่
ทั่วโลกรู้เลื่องลือเขาสื่อสาร 
ห้าธันวาห้าศูนย์ประกอบการ
ยกย่องท่านพ่อหลวงปวงประชา 
อีกมากหลายรางวัลเกียรติบัตร
ต่างชาติจัดถวายท่านเราหรรษา 
ต่างชื่นชมพระบารมีชวนปรีดา
พระปัญญาเสกสรรค์บารมี 







                                        พระอัจฉริยภาพด้านอื่น ๆ 
มากเรื่องเล่าเบ็ดเตล็ดเรื่องพ่อหลวง
ชนทั้งปวงอยากรู้พระทรงศรี 
ทรงงานหนักมากไปในธานี
เรื่องราวที่เบาเบาอย่างไรฤๅ 
พระทรงเป็นนักเขียนรู้หรือไม่
รู้เอาไว้นายอินทรงหนังสือ 
อีกติโตทรงเขียนด้วยลายมือ
ที่เลืองชื่อมหาชนกขจายขจร 
เส้นเกสาตัดออกบอกรวมไว้
บรรจุใส่ธงทหารชาญสมร 
คือธงชัยเฉลิมพลศึกรานรอน
ดังพระร้อนร่วมศึกกับชายชาญ 
ที่ยี่สิบกอคอปีสี่เก้า
จะทรงเข้าผ่ากระดูกสันหลังขาน 
ให้ติดตั้งคอมไว้ออนไลน์งาน
พายุผ่านเข้าไทยนัยกังวล 
หมอผ่าตัดเรียบร้อยปลอดภัยยิ่ง
มิยอมนิ่งติดตามข่าวลมฝน 
น้ำพระทัยเหลือเฟือเพื่อปวงชน
ลืมตัวตนพระองค์ป่วยช่วยประชา 
เล่ากันว่าปลานิลมิเสวย
เมื่อก่อนเคยได้รับของขวัญหนา 
จักรพรรดิญี่ปุ่นประทานมา
ประมาณว่าปีศูนย์แปดห้าสิบตัว 
ทรงเพาะเลี้ยงเอาไว้ที่สวนจิตรฯ
ทรงใกล้ชิดชอบปลาน่าชวนหัว 
ขยายพันธุ์เร็วนักชักพันพัว
กระจายทั่วสำคัญเจ้าปลานิล 
ประทานให้กรมประมงไปขยาย
จนมันกลายเป็นปลาไทยกระแสสินธุ์ 
เติบโตไวทุกแหล่งแอ่งอาจิณ
เจ้าแผ่นดินพระองค์ท่านประทานมา 
เขาจัดทำทอดกรอบนิลถวาย
ทรงให้ย้ายออกไปไม่แตะหนา 
ฉันเลี้ยงมันเหมือนลูกผูกพันปลา
จักให้ข้าลองกินได้อย่างไร 
พระทรงเขียนดินสอปีละโหล
ฟังแล้วโอ้พ่อหลวงมิสงสัย 
ทรงอบรมมาดีเจียรนัย
มิทรงใช้ฟุ่มเฟือยเหมือนชาวเรา 
คนใช้คอมรู้ฟอนท์กันไหมนา
จิตรลดาภูภิงค์ติงอย่าเขลา 
ฝีมือท่านพ่อหลวงมิใช่เบา
รีบหาเอามาใช้ได้มงคล 
ทำไมเขาเรียกท่านว่าในหลวง
คนทั้งปวงจำได้ไม่สับสน 
คนเหนือขานนายหลวงภูมิพล
เปลี่ยนจนเป็นในหลวงปวงประชา 
พ่อหลวงท่านมิชอบการแบ่งแยก
ถึงผิดแผกโดยชาติวาสนา 
คราวหนึ่งนั่งคอปเตอร์เสด็จมา
คนรอท่าห้วยสัตว์ใหญ่มีมากมาย 
บังเอิญฝนห่าใหญ่ตกมาพร้อม
ผู้คนน้อบรับเสด็จมิห่างหาย 
รับสั่งเก็บร่มไว้ให้เปียกกาย
ทรงทักทายกลางฝนชนชื่นชม 
                                                  ทรงประชวร 
พระทรงงานตรากตรำด้วยลำบาก
ทรงงานมากกิจการงานเหมาะสม 
เพื่อประชามากมวลควรนิยม
น่าขื่นขมลำบากพระวรกาย 
นับนานเข้าเหน็ดเหนื่อยพระเมื่อยล้า
พระฉายาเห็นได้จนใจหาย 
พระเสโทหยดไหลไม่คลาคลาย
มิสบายทรงห่วงปวงประชา 
ทรงงานได้ทุกวันไร้วันหยุด
ตื่นรีบรุดแน่วแน่แก้ปัญหา 
ยามหนุ่มแน่นทำได้การนานา
ล่วงเลยมาสูงวัยภัยคุกคาม 
พระอาพาธิเล็กน้อยเริ่มรานรุก
ยากอยู่สุขพบหมอก็ไต่ถาม 
พระอาการใส่ใจทุกทุกยาม
คนติดตามพระอาการตลอดมา 
ข่าวเสด็จประทับศิริราช
มีประกาศเป็นช่วงช่วงยังห่วงหา 
ไหว้คุณพระคุณเจ้าได้เมตตา
ช่วยรักษาทรงรอดปลอดโรคภัย 
ปีห้าแปดห้าเก้าเข้าถี่มาก
ชนเหลือหลากเข้ากรุงมุ่งหลั่งไหล 
ถวายพระพรแด่องค์พระทรงชัย
ขอทรงได้หายโรคทุกข์เบียดเบียน 
เขาจัดมีบันทึกจารึกไว้
ผ่านเข้าไปกราบไหว้ก็ได้เขียน 
ถวายพระพรถ้วนหน้ามาจำเนียร
มิอาเกียรณ์ซาบซึ้งพระเมตตา 
คอยนับกาลแปรผันวันเดือนผ่าน
ตามข่าวสารนับวันขวัญผวา 
เกรงสักวันพระองค์ท่านจักอำลา
ปวงประชาคงเศร้าเหงาอาลัย 
ปีห้าศูนย์ผ่านมาถึงห้าเก้า
เสด็จเข้าศิริราชมิสงสัย 
คงเพราะโรคาพาธอาจเป็นภัย
มินานได้เสด็จกลับค่อยยินดี 
มินานก็เสด็จมาศิริราช
โรคาพาธิระรานนานวิถี 
บ่อยเสียจนคนไทยใจไม่ดี
บ้างก็มีสวดมนต์ถวายพระพร 
วันที่หนึ่งกันยาปีห้าเก้า
ได้ทรงเข้ารักษาน่าสังหรณ์ 
ฟังแถลงพระอาการโรครานรอน
พระทรงอ่อนกายหทัยเรื้อมานาน 
เฝ้าติดตามแถลงการสามสิบสี่
ข่าวว่าดีแต่ยังรอหมอประสาน 
เฝ้าระวังรอดูพระอาการ
ก็ทรงผ่านเดือนกันยามาด้วยดี 
หนึ่งตอคอแถลงการณ์สามสิบหก
ค่อยโล่งอกปลอดไข้ในวิถี 
แพทย์ยังตามเฝ้าระวังทุกยามมี
มิอาจชี้ทุกอย่างยากวางใจ 
เก้าตุลาแถลงการณ์สามสิบเจ็ด
ที่สิบเอ็ดแลสิบสองแถลงไข 
แถลงการณ์สามสิบแปดร้อนรุ่มใน
ดังฟอนไฟแผดเผาเศร้าในทรวง 
พระอาการหนักหนาคราวิกฤต
หมอใกล้ชิดดูแลด้วยห่วงหวง 
ผองประชาสวดมนต์ทั้งบำบวง
ช่วยพ่อหลวงพวกเราจงพ้นภัย 

                                        ส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย 
ที่สิบสามตุลาม่านฟ้าปิด
เมฆหมอกมิดมืดครึ้มทึบทึมไฉน 
พระพายนิ่งยิ่งเย็นจับจิตใจ
สายฟ้าไฟวูบวาบแปลบปลาบทรวง 
จนบ่ายคล้อยฝนโปรยลมโชยช่วย
อกระทวยใจระทึกตรึกพ่อหลวง 
ติดตามข่าวทุกทางพลางบำบวง
เทพทั้งปวงพรหมช่วยอวยฤทธี 
ยามพ่อป่วยจงคลายอย่าได้เจ็บ
อย่าหนาวเหน็บอวยอุ่นคุณวิถี 
เราสวดมนต์ภาวนาทุกราตรี
ขอจงมีพลังพอช่วยพ่อเรา 
เสียงฟ้าฟาดกึกก้องนภากาศ
เม็ดฝนหยาดพงพีคีรีเขา 
เย็นฉ่ำฝนสายฟ้ามิบางเบา
จนสั่นเทาหนาวเหน็บเจ็บดวงใจ 
เขาประกาศพระบิดาลาลับแล้ว
ร่มโพธิ์แก้วชาวประชาจะหาไหน 
พระเสด็จสู่สวรรค์ ธ ครรไล
สิบห้าได้นาฬิกาบอกนาที 
ห้าสิบสองเศษมาได้จำจด
ศกสลดห้าเก้าเราหมองศรี 
ทั้งแผ่นดินทุกข์ระทมตรมชีวี
นับแต่นี้ขาดพ่อคลอน้ำตา 
ยกมือไหว้พระรูปแล้วลูบไล้
โอ้ดวงใจแผ่นดินสิ้นแล้วหนา 
พระผู้ทรงปรานีมีเมตตา
ทุกข์ประชาคือกิจ ธ จัดการ 
วาตภัยอุทกมีอัคคีเภท
ยามมีเหตุรุมรัฐจัดประสาน 
ให้บรรเทาเบาบางพระเชิงชาญ
ผองภัยผ่านพระเกื้อเอื้ออาทร 
พระสถิตแนบในทัยราษฎร์
ยามพระคลาดแรมไกลให้ทอดถอน 
สู่สวรรค์ห่างไกลใจอาวรณ์
ขอส่งพรโดยเสด็จสวัสดี 
รวมพลังบุญกุศลผลเคยก่อ
จงมากพอเป็นยานทิพย์วิถี 
รองพระบาทโดยสะดวกจรลี
ขอทรงมีเกษมสุขสถาพร 
จัตตาโรธัมมาอภิวัฒน์
คุณไตรรัตน์เทพสมสโมสร 
รวมประสิทธิ์อิทธิบาทประสาทวอน
พระบิดรสบสันติ์นิรันดร์เทอญ ฯ 
                                    น้อมรำลึกและอาลัยครบสตมวาร 
ครบเจ็ดวันพระบิดาได้ลาจาก
ฟันฝ่ายากโศกเศร้าเทียมเขาเขิน 
ยามกลิ้งทับปวงชนเจ็บปวดเกิน
ยากเจริญเจ็บจิตจำทุกข์ทน 
ที่สิบสามตุลาคมอารมณ์ถวิล
นับแต่ยินข่าวเสด็จสู่เวหน 
ยังสวรรคาลัยในกมล
อัดอั้นจนยากบอกออกความนัย 
เคยเคารพศรัทธามหาบุรุษ
จิตพิสุทธ์ตริตามงามไฉน 
ปฏิปทาทรงกิจการใดใด
ล้วนเป็นไปเพื่อประโยชน์มหาชน 
ทรงทำยิ่งโพธิสัตว์บำเพ็ญกิจ
ทศพิธบารมีเพิ่มพูนผล 
ขอประทานวโรกาศบาทยุคล
บันทึกกลแจงอรรถชัดคดี 
อันพระผู้บำเพ็ญโพธิสัตว์
กระทำวัตรเพื่อโพธิวิถี 
หวังบรรลุโมกขธรรมปัจเจกมี
สัมมาชี้สัมพุทธสองประการ 
ผู้บรรลุเฉพาะตนเรียกปัจเจก
พุทธเฉกยากสอนยากจักสาน 
จึงมิใคร่จักมีบริวาร
จำเพาะท่านบรรลุพุทธิธรรม 
ส่วนสัมมาสัมพุทธบุรษเลิศ
สุดประเสริฐตรัสรู้ยังมิหนำ 
ยังสั่งสอนประกาศก่อกิจกรรม
สมนามคำสัมพุทธศาสดา 
ผู้ปรารภพุทธภูมิสองประเภท
จิตพิเศษโพธิสัตว์นั่นแหละหนา 
จักสำเร็จบารมีพากเพียรมา
จนแก่กล้าสามสิบพระบารมี 
สิบชนิดจำแนกสามประเภท
ล้วนพิเศษปกติในวิถี 
อุปะสองปรมัตถสามพอดี
เพ็ญเพียรชี้สามสิบทัศน์บริบูรณ์ 
สังเกตพระทรงธรรม์ดำเนินกิจ
ทั่วทุกทิศถิ่นไทยไม่เสื่อมสูญ 
แก้ปัญหาทวยราษฎร์เรืองจำรูญ
อนุกูลทุกเขตถิ่นเทศไทย 
คล้ายทรงเพียรบารมีโพธิสัตว์
อนุวรรตโพธิเห็นเป็นพิสัย 
หนึ่งทานังสีลังปัญญานัย
ขันติได้เนกขัมมะวิริยา 
มากสัจจะอธิษฐานพระเพ็ญยิ่ง
บางครานิ่งจิตจับอุเบกขา 
ที่พบเห็นมากมายพระเมตตา
บารมีสามสิบทัศน์ทรงพากเพียร 
ปวงข้าบาทร่วมถิ่นแผ่นดินเกิด
สุดประเสริฐโอกาสมิพลาดเขียน 
จารึกคุณพ่อทำมาจำเนียร
ชาติวิเชียรโชติช่วงเพราะบารมี 
ขอตั้งสัจอธิฐานตั้งมั่นไว้
เป็นเครื่องใช้บูชาพระทรงศรี 
จักยึดมั่นกระทำแต่กรรมดี
ยึดเอาตรีรัตนะประจำใจ 
จักปฏิบัติศีลห้าตลอดชาติ
มิยอมพลาดจนสิ้นอายุขัย 
สมาธิฝึกฝนจนรู้นัย
ปัญญาไขด้วยอบรมภาวนา 
ขออำนาจไตรรัตน์บุญกุศล
สั่งสมจนมากมายสืบเสาะหา 
ประมวลรวมเป็นพลังด้วยเดชา
จากปวงข้าถวายบาทพระภูมี 
เป็นพระราชกุศลผลอันเลิศ
พึงก่อเกิดยานทิพย์ภูมิวิถี 
รองพระบาทยามเสด็จจรลี
สบสุขีสู่สวรรคาลัยเทอญ ฯ 
                                น้อมรำลึกและอาลัยครบปัณณรสมวาร 
สิบห้าวันแล้วหนอพ่อมาจาก
สวรรค์พรากพระองค์ไปในเขาเขิน 
สรวงสวรรค์ไกรลาศไกลเหลือเกิน
ขอน้อมเชิญส่งเสด็จทิพย์พิมาน 
ทั้งปวงข้ารองบาทปราถนา
พร้อมใจมาด้วยรักสมัครผสาน 
กระทำบุญสั่งสมศีลทาน
ฝึกองค์ฌานสมาธิบำเพ็ญบุญ 
หวังสะสมกุศลผลอันเลิศ
สุดประเสริฐมากพลังหวังเกื้อหนุน 
น้อมถวายแด่พ่อผู้การุณ
ทดแทนคุณเอื้ออาณาปรากร 
ขอพระองค์พ้นโศกโรครุมเร้า
พ้นจากเศร้าสบสุขสโมสร 
เสวยสุขสบสันติ์นิรันดร
ปวงข้าวอนจงสฤษดิ์ประสิทธิ์ชัย 
ขอตั้งจิตสัจจอธิษฐาน
จักทำการทำกิจสิ่งไหนไหน 
จักยึดตามโอวาทพระภูวนัย
ที่อยากให้ปวงข้าเป็นคนดี 
ดำรงตนในศีลมีความสัตย์
จักเริ่งรัดการขยันขมันขมี 
ความพอเพียงจักขยายทั่วธานี
พวกเรานี้จักลงมือให้ลือชา 
จักรู้รักสามัคคีที่พ่อสอน
มิอาทรตามรอยบาทปรารถนา 
จักสร้างตนสร้างอาชีพด้วยศรัทธา
ปรัชญาพ่อทำนำแนวทาง 
จักยึดถือคุณธรรมพุทธศาสน์
ขอประกาศอกุศลจักสะสาง 
ละเว้นบาปอธรรมจักละวาง
โดยนัยอ้างปาปัสสะอกรณัง 
กุสลัสูปสัมมาพร้อม
น้อมจิตนำสู่กุศลเป็นมนต์ขลัง 
สะสมบุญคุณงามตามพลัง
จงจิตตั้งสมาธิภาวนา 
จักวางตนเป็นคนรู้หน้าที่
เป็นบุตรดีของพ่อแม่เฝ้าแลหา 
คุณบิดรตอบแทนคุณมารดา
ยามแก่มาเป็นพ่อแม่มีคุณธรรม 
เป็นลูกน้องที่ดีของนายจ้าง
เมื่อกลับข้างเป็นนายไม่ถลำ 
บริหารกิจการงานที่นำ
ยุติธรรมครองการงานครองคน 
เดชะบุญเกิดมาในหล้าโลก
นับเป็นโชคยิ่งแล้วมิสับสน 
ในแผ่นดินทรงธรรมมิ่งมงคล
ภูมิพลมหาราชปราชญ์แผ่นดิน 
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ
คารวะทรงธรรมล้ำเลิศศิลป์ 
รำลึกถึงพระคุณเป็นอาจิณ
จวบจนสิ้นชีพวายมิคลายแล ฯ 
------------------

ข้าพระพุทธเจ้า นายยขุนทอง ศรีประจง  ประพันธ์
โพส 4 พฤศจิกายน 2559
14 พย 59 ตรวจแก้ไขคำผิด และแก้วรรคตอนที่ตกสัมผัส
19 มิถุนายน 2560 อ่านและแก้ไขอีกครั้ง