วันอังคารที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ความรักกับความทุกข์

ข้อเขียนจากเวบไซท์ เดิมเป็นบทสนทนา

เรื่อง ที่ใดมีรักที่นั่นก็มีทุกข์

.........ปุจฉา อาจารย์คะ ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์ พระท่านสอนอย่างนี้ ทำไมล่ะคะคนรักกันดีกว่าชังกัน
มิใช่หรือคะ ?
.........คุณน้องจ๋าเล่นมาถามกันแบบนี้ก็ลำบากใจแย่ซิ ก็รู้ ๆ กันอยู่เดี๋ยวโรคหัวงูกำเริบตอบผิดตอบถูกไม่รู้ด้วยนะเอ้อ สาวไม่น้อยเกินร้อยชั่งมานานแล้วเธอมีปัญหาครอบครัว เพราะความสวยของเธอนั่นแหละ มีลูกสามแล้วยังมีหนุ่ม ๆ ด้อม ๆ มอง ๆ สวามีก็เลยเกิดอาหารหึงครั้งแรกก็หึงหน่อย ๆ นานเข้า ๆ ก็ลุกลามเป็นทะเลาะเบาะแว้ง ในที่สุดบ้านเลยแตก คุณเธอหันหน้าเข้าวัดบ้าง เลยได้ยินหลวงพ่อเทศน์ว่า "ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์" กลับมาเจอกันที่ทำงานเลยมีคำถามที่ไม่อยากจะตอบ แต่พอมองตาคนถามก็รู้ว่าเธอ อยากทราบจริง ๆ เอ้าตอบก็ตอบ
......... ความรักพอจะแยกได้ 2 แบบ คือความรักที่มีกุศลธรรมกำกับ และความรักที่มีอกุศลกำกับ รักที่มีกุศลกำกับเช่น รักจะทำ จะพูด จะคิด ในทางที่ดีงาม นักเรียนรักอยากเรียนหนังสือ คนทำการงานรักอยากทำการงาน ทำหน้าที่ให้ดีให้เรียบร้อยแบบนี้เป็นความรักที่มีกุศลกำกับ ไม่ค่อยมีปัญหามากนัก ที่หลวงพ่อท่านว่าเป็นพวกที่อกุศลกำกับโดยพาะ ความรักที่มีกิเลสคือความโลภ เป็นเจ้านายคอยบงการ มันจะคอยโอกาสเข้าครอบงำเราทันทีที่ตกอยู่ในกระแสแห่งความรัก เช่นรักพ่อ รักแม่ รักพี่ รักน้อง รัก
เพื่อน รักสมบัติพัสถาร มันจะคอยชักใยให้เรายึดมั่นถือมั่นว่า ของกู ๆ ๆ ๆ ๆ ตลอดเวลา ในห้วงที่ความรักกำลังเจริญรุ่งเรืองอยู่ ไม่ค่อยมีวี่แววว่าจะมีความทุกข์แอบแฝงหรอกครับ แต่กลับทำให้คนที่มีความรักรู้สึกสดชื่น แจ่มใส แบบโลกทั้งใบเป็นของเราคนเดียว ทำนองนั้น อย่างเช่น....
...............รักพ่อแม่ ปกติพ่อแม่ก็รักบุตรธิดาอยู่แล้ว ยิ่งเราเป็นคนดีท่านยิ่งรัก เรา ๆ ก็รักและเคารพพ่อแม่ สุขใจจริง ๆ ครับครอบครัวอบอุ่นรักพี่รักน้อง หวังดีต่อกัน ช่วยกันทำกิจต่าง ๆ สบายใจ ไปโรงเรียนด้วยกัน ทำงานบ้านช่วยกัน ไปเที่ยวด้วยกันมีพี่น้องไปด้วยสบายใจ ยามลำบากพี่น้องก็เกื้อกูลกัน สบายใจครับรักเพื่อนพ้อง เพื่อนเรียน เพื่อนทำงาน เพื่อนร่วมสุขร่วมทุกข์ มีเพื่อนดี ๆ รักใคร่กันเป็นความสุขที่หาได้ยากครับ  
...............รักเพื่อนต่างเพศประเภทรักจริงหวังแต่งทำนองนั้น ดูเหมือนโลกทั้งใบจะกลายเป็นสีชมพูไปหมด สุขจริง ๆ ขนาดนั่งคุยกันริมคลองน้ำเน่ายังไม่ได้กลิ่นน้ำเน่าเลย ประมาณนั้น
..............รักสมบัติพัสถาร ยิ่งได้เยอะยิ่งสุข ทั้งบ้านที่ดินม้ารถทศพล สุขใจจริง ๆ ครับ ไม่มีก็ขวนขวายหา
ก็ความรักมันทำให้สุขกายสุขใจปานนั้น 
..............แล้วที่หลวงพ่อว่ามันมีทุกข์ อยู่ตรงไหน คำตอบง่ายนิดเดียว พระท่านว่า การพลัดพรากจากสิ่งที่เรารักใคร่เป็นทุกข์ นั่นแหละครับคือคำตอบวันใดที่พ่อแม่ล้มหายตายจาก เป็นไงครับ ทุกข์สามวันเจ็ดวันยังไม่ลืม พี่น้องผองเพื่อนจากกันไปยังห่วงหาทุกข์ใจครับ ยิ่งพลัดพรากจากคนรักจากสามีภรรยา ขนาดบ้านแตกทุกข์ขนาดไหนล่ะครับ ยิ่งถ้าบุตรธิดาพลัดพรากจากไปอยู่ที่อื่น ใจหายครับ ยิ่งจากแบบไปลับไม่มีวันกลับแทบขาดใจกันเลยมิใช่หรือ แล้วความทุกข์บ้า ๆ บอ ๆ พวกนี้มันมาจากไหนล่ะครับ สืบไปสืบมาเจอ  ต้นตออยู่ที่ความรัก เรารักสิ่งใดเมื่อพลัดพรากจากสิ่งนั้นทุกข์เข้ามาทันทีครับ รักมากทุกข์หนัก รักน้อยทุกข์เบา ๆ ไม่รักไม่หลงก็ไม่ทุกข์ครับ 
...............ตัวอย่างลูก ๆ ทำดินสอหายแท่งหนึ่งร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรเพราะแกรักมากเสียดาย แต่คุณแม่กลับหัวเราะบอกว่าไม่เป็นไรแม่ซื้อให้ใหม่สวยกว่าของเก่า เพราะคุณแม่ไม่ได้รักดินสอแท่งนั้นแบบที่ลูกเขารักก็เลยยิ้มได้น่ะซิขอรับ
..............คำสอนหลวงพ่อก็คงมีความหมายประมาณนี้แหละครับ เจตนาท่านอยากจะบอกว่า ที่เราทุกข์กายทุกข์ใจ ก็เพราะเราไม่รู้จักความรักมัน ถ้ารู้จักก็จะได้เพลา ๆ ใจมันไว้บ้าง เวลาพลัดพรากก็จะได้รู้ทันไม่เจ็บมาก คงพอเข้าใจความหมาย ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์ได้บ้างนะครับ
---------------------------
ขุนทอง ตรวจทาน 1/8/59

อบายมุขกับการบูชาเทพ

อบายมุข กับการบูชาเทพ
...........ปุจฉา : ทราบว่าอาจารย์ไม่ชอบเล่นหวย งวดที่แล้วหนูไปทำบุญวัดถ้ำ...หลวงตาท่านใบ้หวยมา ถูกเลขท้ายสามตัว จึงอยากถามว่าท่านอาจารย์ว่า ถ้าว่าหวยไม่ดีไม่งาม  ทำไมพระยังใบ้หวยอยู่ล่ะ แถม
แม่นด้วย
...........ตอบ : ถามหาเรื่องชวนเราไปทะเลาะกับพระน่ะซิถามแบบนี้ สมัยเป็นหนุ่มเคยคิดเหมือนกันแหละว่าถ้าเราบวช จะต้องศึกษาหาวิธีบอกหวยแม่น ๆ ศึกษาการทำเครื่องลางของขลัง คนจะได้ศรัทธา ลาภสักการะจะได้หลั่งไหลมามาก ๆ จะสร้างวัดให้สวยงาม .......ฯลฯ....สาระพัดที่จะคิดจะฝัน แต่พอได้บวชเรียนจริง ๆ กลับตรงข้ามกับที่เคยคิด  พระพุทธเจ้าท่านชี้เลยว่าการพนันทุกชนิดเป็น"อบายมุข" คือหนทางแห่งความวิบัติ ฉิบหาย ใครหลงไหลมัวเมาการพนันจะหาความเจริญยาก ก็เชื่อคำสอนของ ท่านครับ เพราะมีตัวอย่างให้เห็นมากมาย หมดเนื้อหมดตัว ชักนำให้ก่ออาชญากรรมชนิดอื่นๆ สร้างความเดือดร้อนแก่ตัวเองไม่พอ ยังเบียดเบียนญาติพี่น้อง และชุมชนอีกด้วย  ก็เลยตั้งใจไว้นานแล้วแหละครับว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวการพนันทุกชนิด  ไม่ใช่เฉพาะหวยหรอก
              ทีนี้หันมาหาคำถามที่ถาม ตอนแรกบอกไปทำบุญที่วัดถ้ำ อุตส่าห์นึกชมอยู่ว่าใจบุญสุนทาน แต่พอบอกได้หวยจากหลวงพ่อมาเลยหมดศรัทธาไม่อยากชมแล้ว มันเหมือนเราตั้งใจไปชมสวนดอกไม้แล้วไปคว้าดอกอุตพิษมา แล้วยังโฆษณาอีกว่าว่าได้ของดีมาอวด ไม่รู้เหมือนกันจะโทษใคร หลวงตาก็ห่วงแต่โยมจะไม่ศรัทธา ไม่รู้จักหวยเบอร์ว่ามันจะออกตัวไหนก็อุตส่าห์บอกใบ้ให้เขานำไปตีความ ก็คงมีสักคนแหละตีความตรงหวยที่จะออก สิบคนยี่สิบคนอาจมีสักคนหนึ่ง ถูกแล้วก็ร่ำลือกันว่าหลวงตาเจ๋งมาก
ลาภสักการะ ไหลมาเทมา แบบนี้แหละที่หลวงตาท่านประสงค์ เลยลืมว่าสิ่งที่บอกชาวบ้านไปคืออบายมุข คือทางแห่งความฉิบหาย พูดตรง ๆก็เหมือนหลวงตาบอกว่า "นี่คืออบายมุข ทาง ที่จะวิบัติฉิบหายวายวอด โยมจงนำไปตีความให้ได้แล้วนำไปแทง"  ส่วนพวกเราที่ไปคะยั้นคะยอให้หลวงตาบอกก็ถือว่าบกพร่องเหมือนกัน ไปวัดเจตนาจะไปทำบุญ ปีนขึ้นไปจนถึงถ้ำ แทนที่จะคว้าบุญกลับบ้านกลับคว้าอบายมุขไปฝากลูกฝากหลาน บอกข้างบ้านไม่พอโทรศัพท์ไปบอกญาติบ้านไกลอีกต่างหาก  บาปสมัยใหม่มันแพร่กระจายไวมากสมกับยุคไฮเทคจริง ๆ
              ทำไมพระยังใบ้หวยอยู่แถมแม่นด้วย   ก็ตราบใดมีคนใช้บริการอยู่ ก็คงมีหลวงตาใบ้หวยอยู่ ต่อไป แบบต่างฝ่ายต่างอาศัย กันส่วนที่บอกว่าแม่นด้วย หายากครับ ส่วนมากราคาคุยทั้งนั้น เพราะถ้ารู้จริง ลูกหลานหลวงตารวยกันเละแล้ว คนอื่นรวยไม่ทันเขาหรอก
...........  ปุจฉา---เห็นป้ายโฆษณาวัดหนึ่งชักชวนให้ไปทำบุญสะเดาะเคราะห์ แก้ปีชง บูชาพระราหูบูชาเทพ ต่าง ๆ  มันเกี่ยวกับชาวพุทธเราหรือเปล่าครับ ?
...........  คนถามก็ตอบได้ครับ  แต่อยากฟังกระผมพูดนั่นเองเลยเก็บมาถาม  ผมก็เห็นครับ มีเยอะแยะตามสองข้างทางที่เรานั่งรถผ่าน ไป เป็นกุสโลบายหาเงินของวัดเขาครับ บางทีก็เป็นความคิดของพวกกรรมการวัด แต่พระไม่ขัดข้องก็จัดทำกันไป  บางทีก็เลยเถิดจนเกินงาม ทำบุญสะเดาะเคราะห์  ไม่มีหรอกครับหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าที่บอกว่าทำบุญแล้วจะหายเคราะห์หายโศก มีแต่บอกว่าทำบุญแล้วจะได้บุญ  คนมีบุญมาก ๆ จะอิ่มอกอิ่มใจ มีบารมีมากกว่าคนไม่มีบุญ คนทำบุญออกจากวัดมาไม่ระมัดระวังขับรถประมาทก็เกิดอุบัติเหตุได้เท่ากัน  ใช่ว่าทำบุญแล้วเคราะห์ร้ายจะไม่เกิด
........  แก้ปีชง  เป็นความเชื่อนอกคำสอนพุทธศาสนาครับ  พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนว่าปีไหนเป็นปีแก้ ปีไหนเป็นปี ชง  ทุกปีมีค่าเสมอกัน  ทำชั่วปีไหนก็ชั่ววันยังค่ำ  ทำบุญปีไหนก็เป็นบุญตลอด  การแก้ไขโชคชตาที่เชื่อว่ามาจากปีเกิด เป็นเรื่องที่แก้ไขไม่ได้ เพราะมันผ่านมานานจนจำไม่ได้แล้ว จะย้อนไปแก้ไขอะไรได้  พระจะย้อนไปแก้ไขอะไรให้เราได้ จะขายเครื่องบูชาให้เราน่ะซิ
  ..........บูชาพระราหู  ไปค้นหาประวัติพระราหู เขาเล่าว่าอย่างนี้  พระราหูถูกสร้างขึ้นมาโดยพระอิศวร หรือพระศิวะจากหัวกะโหลก 12 หัว บดป่นเป็นผง ห่อผ้าสีทอง แล้วประพรมด้วยน้ำอัมฤตเสกได้เป็นพระราหู มีสีวรกายสีนิลออกไปทางทองแดงทรงสุบรรณ (ครุฑ) เป็นพาหนะ มีวิมานสีนิลอยู่ในอากาศ ประจำอยู่ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ (ทิศพายัพ) และอีกตำนานหนึ่งเล่าว่าพระราหูเป็นโอรสของท้าววิประจิตติและนางสิงหิกาหรือนางสิงหะรา เมื่อเกิดมามีกายเป็นยักษ์และมีหางเป็นนาค พระราหูเป็นเทวดานพเคราะห์ประเภทบาปเคราะห์ ให้ผลในทางลุ่มหลงมัวเมา แสดงว่าพระราหูนี่เป็นเทพตามคติของศาสนาพราหมณ์
                    บูชาพระอิศวร  เทพเจ้าองค์นี้รู้จักกันทั่วไปในฐานะที่เป็นมหาเทพของศาสนาพรามหณ์ 
                    บูชาพระอินทร์  พระอินทร์ก็เป็นหนึ่งในเทพสำคัญ ๆ ของศาสนาพราหมณ์
                    บูชาพระพิศฆเนศวร์ นี่ก็รู้กันทั่วไปว่าเป็นเทพของศาสนาพราหณ์ โอรสของพระศิวะ
                    บูชาพระนารายณ์   มหาเทพ ของศาสนาหรามหณ์ 
                    บูชาพระพรหม   มหาเทพของศาสนาพราหมณ์
              สรุปว่าการบูชาเทพทั้งหลายที่กล่าวมาเป็น เทพของศาสนาอื่นที่มิใช่เทพของศาสนาพุทธครับ  เคยอ่านพุทธประวัติจากปฐมสมโพธิกถา เล่าถึงเทพต่าง ๆมาเฝ้าพระพุทธเจ้า  เทพที่มีศักดิ์สูงหน่อย ก็พระพรหม ที่มาอาราธนาพระพุทธเจ้าเทศน์โปรดชาวประชานั่นแหละครับ  แล้วก็พระอินทร์ที่มาปรนิบัติตอนพระพุทธเจ้าอาพาธิ  นอกนั้นก็ท้าวจตุโลกบาล ภุมมเทวดา รุกขเทวดา  มาฟังเทศน์แต่ไม่เคยได้ยินพระพุทธเจ้าสอนให้ไปเคารพกราบไหว้เทพ หรือเทวดาเหล่านั้น เพราะท่านสอนว่าให้เคารพกราบไหว้พระรัตนตรัยเท่านั้น อย่างอื่นไม่ต้องไปเคารพกราบไหว้  ขนาดมีคนขออนุญาตสร้างรูปปั้นพระองค์ท่านไว้เคารพบูชา ท่านก็ไม่อนุญาต อันเป็นที่มาของบางวัดห้ามไหว้พระพุทธรูป
                  เรื่องนี้สำคัญมากนะครับ ที่จริงคนรับผิดชอบ แก้ไข ควรเป็นคณะสงฆ์ครับ  ปล่อยให้ลูกศิษย์พระพุทธเจ้าไปกราบไหว้เทพเจ้าศาสนา อื่นได้อย่างไร  อย่าไปสนใจเลยครับปฏิบัติตามหลักพุทธศาสนา ดีที่สุด ละเว้นการทำชั่ว ทำแต่ความดี หมั่นชำระใจให้สะอาดแค่นี้ก็ไม่ต้องสะเดาะเคราะห์ ไม่ต้องถามหาโชคลาภ มันเกิดเองตามเหตุตามปัจจัยที่ทำครับ
--------------------------
ขุนทอง ตรวจทาน 1/8/59

ลอยกระทง

ลอยกระทง
..............."วันเพ็ญเดือน 12 น้ำนองเต็มตลิ่ง เราทั้งหลายชายหญิง สนุกกันจริง วันลอยกระทง...."
ใกล้วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12  เสียงเพลงลอยกระทงดังให้ได้ยินบ่อย ๆ จากวิทยุ จากโทรทัศน์  ทำให้ทราบว่าใกล้วันสำคัญของชาวบ้านอีกวันหนึ่ง  คนไทยเรามีกิจกรรมสนุกสนานรื่นเริงกันตลอด 12 เดือน ซึ่งส่วนใหญ่จะมีการทำบุญเข้ามาเกี่ยวข้องเสมอปกติเดือนสิบสองมีประเพณีทอดกฐินเป็นหลัก และมีการลอยกระทงเสริมเข้ามาอีกกลายเป็นสองงานในเดือนสิบสอง
         ประเพณีลอยกระทง ดูตามคำบอกเล่า ตำนานกล่าวขานกันมาเน้นการบูชาเทพเจ้ามากกว่าจะเป็นการบูชาพระรัตนตรัยเช่นบอกว่าเป็นการบูชาพระแม่คงคาขอขมาที่ล่วงเกินไป บ้างก็ว่าเป็นการบูชาพระนารายณ์ที่บรรทมสินธุ์อยู่กลางสมุทร  บูชาท้าวพกาพรหม เป็นต้น ประกอบกับพิธีการบูชาไฟเป็นคติของพราหมณ์ จึงน่าเชื่อว่าเดิมการจุดโคมไฟบูชาได้แนวคิดมาจากพราหมณ์แม้ใน ตำนานลอยกระทงที่กล่าวถึง ท้าวศรีจุฬาลักษณ์สนมเอกพระร่วงเจ้าแห่งกรุงสุโขทัยที่เล่ากันว่าเป็นผู้คิดกระทงรูปดอกบัวจุดไฟลอยบูชา ก็ทราบว่านางเป็นผู้เกิดในตระกูลพราหมณ์ปุโรหิต คงได้แนวคิดแบบพราหมณ์มาประยุกต์ใช้ในพิธีลอยโคมไฟบูชา ต่อมาเมื่อการลอยโคมไฟบูชาแพร่ขยายไปทั่ว มีการนำคติทางพุทธศาสนามาผสมผสานเข้า ทำให้มีจุดประสงค์การบูชาเน้นการบูชาบุคคลสำคัญของพุทธศาสนา เช่น
              1.  บูชาพระพระพุทธเจ้า ในวันเสด็จกลับจากเทวโลก ซึ่งตรงกับวันออกพรรษา
              2. การลอยกระทงเพื่อ บูชารอยพระพุทธบาท ของพระพุทธเจ้า ที่หาดทรายริมแม่น้ำนัม
มทานที เมื่อคราวเสด็จไปแสดงธรรมโปรดพญานาค
              3. การลอยกระทงเพื่อ บูชาพระอุปคุตตเถระ ซึ่งบำเพ็ญเพียรบริกรรมคาถาอยู่ในท้องทะเลหรือสะดือทะเล
              เมื่อศึกษาตำนานลอยกระทรง ทำให้ทราบว่ามีจุดประสงค์การบูชาแตกต่างกันดังกล่าวแล้ว อาจมีผู้สงสัยว่าใครถูกใครผิด ก็คงสรุปไม่ได้ เพราะการบูชาเป็นเรื่องของเจตนาเราจุดธูปเทียนบูชา จะเหมาว่ากำลังบูชาพระรัตนตรัยไม่ได้จนกว่าจะทราบว่าเรามีเจตนาอะไร อาจกำลังขอหวยจากต้นโพธิ์ หรือกำลังบนศาลพระภูมิก็ได้ ดังนั้นการลอยกระทงบูชาที่มีเรื่องเล่าขานว่า เป็นการบูชา เทพบ้าง บูชาพระรัตนตรัยบ้าง จึงไม่มีผิดไม่มีถูกเป็นเพียงจุดประสงค์ของผู้กระทำการบูชา แต่ที่สำคัญคนสมัยก่อนท่านมักจะมีเหตุผลเสมอ
              บูชาพระแม่คงคา เทพประจำแม่น้ำ  เป็นการรำลึกถึงคุณแห่งน้ำ  ความเชื่อทางศาสนาอธิบายว่า ร่างกายคนเรามีพื้นฐานมาจากธาตุ 4 คือ ปฐวี  อาโป วาโย และ เตโช  ได้แก่ ดิน น้ำ ลม และ ไฟ เมื่อใดธาตุทั้ง 4 สลายตัวก็จะคืนสู่สภาพเดิมท่านเรียกว่าการตาย นอกจากจะมีธาตุน้ำในร่างกายแล้ว การดำรงชีวิตอยู่ก็อาศัยน้ำทุกวัน ต้องดื่ม ต้องบริโภค ประกอบอาชีพซึ่งส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรรมก็อาศัยน้ำ คมนาคมก็แม่น้ำคำคลอง เพราะน้ำมีคุณมากมายอย่างนี้เองท่านจึงยกให้มีฐานะเป็นเทพ มีพระแม่คงคาเป็นเจ้าแห่งลำน้ำ การลอยกระทงจุดไฟบูชาพระแม่คงคา เป็นการแสดงออกถึงความมีกตัญญูรู้คุณแห่งน้ำเป็นกุศโลบายสอนให้คนรักธรรมชาติ รักสิ่งแวดล้อมที่ลึกซึ้งมาก
              บูชาพระนารายณ์ที่นอนหลับอยู่กลางมหาสมุทร เชื่อกันว่าพระนารายณ์เป็นเทพนักปกครองฝ่ายปราบปราม ดูแลจัดระเบียบสังคมให้เกิดความสงบเรียบร้อย โลกเกิดผู้ก่อการร้าย เป็นภาระต้องลงมาปราบปราม สมัยทศกัณฐ์ตั้งตัวเป็นผู้มีอิทธิพลชาวบ้านเดือดร้อนไปทั่ว พระนารายณ์ลงทุนอวตารมาเกิดเป็นพระลักษม์พระรามรบกันอยู่นานจนสงบและเล่าขานเป็นตำนานรามเกียรติ์ เพราะเชื่อว่าเทพองค์นี้มีพระคุณมาก การลอยกระทงบูชาพระนารายณ์ก็เป็นการแสดงความกตัญญูต่อผู้ปกครองที่มีคุณธรรม ทำให้บ้านเมืองสงบสุข
              การลอยกระทงบูชาท้าวพกาพรหม  ไม่แน่ใจว่าพรหมชื่อนี้มีอยู่ในสารบบ พรหมโลก 16 ชั้นไหน เคยได้ยินแต่ชื่อท้าวมหาพรหม ความชื่อคติพราหมณ์เล่าว่า พระพรหมได้รับการเคารพนับถือในฐานะที่เป็นเทพผู้ให้ ให้ชีวิตร่างกายแก่ทุกคนซึ่งเชื่อกันว่าต่างก็แบ่งภาคมาจากพรหม วิถีชีวิตแต่ละคนก็ถูกกำหนดโดยพรหมเรียกว่า พรหมลิขิต จะสุขจะทุกข์ ร่ำรวยหรือยากจน ล้วนเป็นไปตามพรหมบัญชา เพราะพรหมมีอิทธิพลต่อชีวิตมากอย่างนี้เอง จึงมีการแสดงความเคารพนับถือพรหม  การจุดโคมไฟลอยกระทงบูชาพรหมก็คงอาศัยเหตุผล แสดงความเคารพนับถือ ซึ่งนับเป็นการแสดงออกถึงความมีกตัญญูด้วยเช่นกัน
              การลอยกระทงบูชาพระธาตุเกศแก้วจุฬามณี อ้างว่าเจ้าชายสิทธัตถะ ออกบวช ได้ตัดพระเกศา ณ ริมฝั่งแม่น้ำอโนมาพระเกศามีเทพนำไปบรรจุไว้ที่พระธาตุบนสวรรค์ ชื่อพระธาตุเกศแก้วจุฬามณี  วันเพ็ญเดือนสิบสองชาวพุทธไปงานลอยกระทงแทนที่จะบูชาเทพเจ้าก็ปรับมาบูชาพระพุทธเจ้าแทน อย่างน้อยก็ระลึกถึงเหตุการณ์สำคัญที่ริมฝั่งน้ำอโนมานทีที่ทำให้มี พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในโลก ก็เป็นการแสดงความเคารพนับถือในพระพุทธเจ้า
             การลอยกระทงระลึกถึงวันพระพุทธเจ้าเสด็จลงจากสวรรค์ เล่าว่าพระพุทธเจ้าเคยเสด็จไปจำพรรษาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์เพื่อโปรดพุทธมารดา ออกพรรษา แรม 1 ค่ำ เดือน สิบเอ็ด เสด็จกลับปรากฏพระองค์ที่เมืองสังกัสส ตอนเช้าตรู่เวลาบิณฑบาตพอดี มีศาสนิกชนมากมายไปรับเสด็จ  ถัดมา 30 วันเป็นวันเพ็ญเดือนสิบสองชาวพุทธส่วนหนึ่งลอยกระทงและบอกว่าเพื่อระลึกถึงวันที่พระพุทธเจ้าลงจากสวรรค์ ก็ยังไม่เข้าใจชัดเจนนัก แต่ก็ยอมรับได้ว่าต้องการบูชาพระพุทธเจ้า
             การลอยกระทงบูชารอยพระพุทธบาทริมฝั่งแม่น้ำ นัมมทานที มีเรื่องเล่าว่าพระพุทธเจ้าเสด็จไปแสดงธรรมเทศนาโปรดพญานาคที่เมืองบาดาล ตอนเสด็จกลับขึ้นฝั่งที่แม่น้ำนัมมทานที พญานาคทูลขออนุสสรณเจดีย์ จึงประทับพระบาทไว้ที่ริมฝั่ง ทำให้พญานาคและชาวพุทธ ใช้เป็น อนุสรณ์เจดีย์ การจุดโคมไฟลอยกระทงบูชาเพื่อระลึกถึงเหตุการณ์ครั้งนั้น เพราะเกิดอยู่ริ่มฝั่งแม่น้ำ ก็ดูสมเหตุผลดี เจตนาที่แท้จริงก็คือบูชาพระพุทธเจ้า
             การลอยกระทงเพื่อบูชาพระอุปคุตตเถระ เล่าว่าพระเถระรูปนี้เป็นพระอรหันต์ มีอภิญญาสูงสามารถเอาชนะหมู่มารได้ปกติท่านจำพรรษาอยู่ที่มหาสมุทร เมื่อมีงานสำคัญ ๆ ที่อาจมีมารมาผจญ ก็จะนิมนต์ท่านมาปราบ เมื่อพระเถระมาหมู่มารรู้จักฤทธิ์เดชท่านดีก็จะะหลบหน้าหายไป งานก็สงบเรียบร้อย ความเชื่อเช่นนี้ยังมีมาจนถึงปัจจุบัน เช่นเวลาชาวบ้านจัดงานมหาชาติหรือบุญพระเวสส์ จะมีการตั้งศาลพระอุปคุตต์ มีการจัดขบวนแห่ไปเชิญมาจากท่าน้ำ เสร็จงานก็แห่ไปส่งที่เดิม  การจุดโคมไฟลอยกระทงบูชาพระอุปคุตตเถระ ก็คงเพราะเชื่อถืออย่างนั้น เชื่อว่าพระเถระมีคุณทำให้เกิดความสงบ จึงบูชาคุณท่าน
            ตำนานลอยกระทงต่าง ๆตามที่กล่าวขานมา ก็คงมีเหตุมีผลดังที่ได้นำเสนอไว้ ส่วนจะเชื่อตำนานไหนก็ตามใจตัวเราเองครับ เพราะแต่ละตำนานต่างก็ทำให้มีงานลอยกระทงได้ทำให้เรามีโอกาสไปร่วมงานรื่นเริง ได้ทำบุญ ได้พบญาติ ได้พบเพื่อนบ้าน ยิ่งหนุ่มสาวไม่ต้องห่วง งานนี้พลาดไม่ได้ บางคู่เขาใช้กระทงเสี่ยงทายว่าจะได้เป็นเนื้อคู่กันหรือเปล่า ลืมบูชาเทพเจ้าลืมบูชาพระรัตนตรัยไปเลยก็มี นอกจากนี้ยังได้ชมมหรสพต่าง ๆมากมาย
 จะไปลอยกระทง
          วันที่ 8 พฤศจิกายน 2546 ตรงกับวันเพ็ญเดือนสิบสอง น้ำนองตลิ่งหรือไม่ไม่สำคัญ แต่พวกเราจะชวนกันไปลอยกระทงครับ  ตอนเช้าวันนี้เป็นวันพระคงต้องหาโอกาสทำบุญตักบาตร รักษาศีลห้าและฟังเทศน์ ให้ครบ บุญกิริยาวัตถุ 3 คือทาน ศีล และภาวนา อย่าเพิ่งประท้วงล่ะว่า ภาวนาต้องไปนั่งหลับตา ทำสมาธิเท่านั้น ชาวพุทธเราทำบุญเพื่อ กำจัดกิเลส ได้แก่โลภะ โทสะ และ โมหะ ให้เบาบางลง พระท่านสอนให้ใช้ ทาน ศีล และภาวนา นี่แหละเป็นตัวกำจัด ทานมาก ๆ โลภะ จะลดลงเรื่อย ๆ ถือศีลเคร่งครัด โทสะจะน้อยลง ภาวนาคือฝึกอบรมมาก ๆ จะได้ฉลาด เมื่อฉลาด โมหะคือความหลงผิด จะได้เบาบาง
ลงไป โมหะไม่ใช่โมโหนะครับ อย่าสับสนกัน ที่เราเรียกโมโหนั่นคือ โทสะ ส่วน แบบที่นั่งลูบคลำเปลือกต้นได้หาหวยนั่นแหละโมหะตัวจริง  ถ้ามีปัญญา มีความฉลาด โมหะจึงเบาบางลง  แต่ถ้าต้องการตัดให้เด็ดขาดกันไปเลย ต้องพึ่งสมาธิวิปัสสนาครับ
                หลังจากทำบุญแล้วก็คงเตรียมกระทงไปลอยกันตอนเย็น ปัจจุบันครูที่โรงเรียนเขาสอนเด็กทำกระทงกันสวย ๆทั้งนั้นจึงไม่ค่อยมีปัญหาทำกระทงไม่เป็น  มีข้อสงสัยว่าในกระทงจะใส่อะไรลงไปบ้าง คำตอบก็คือเราบูชาอะไรก็ใส่เครื่องบูชาสำหรับผู้ที่เราบูชาลงไปนั่นเอง  พรหมหรือเทพก็ดี พระรัตนตรัยก็ดี มีดอกไม้ธูปเทียนก็พอแล้ว  ไม่ต้องใส่กับข้าวคาวหวาน ยิ่งเงินทองยิ่งไม่ต้องใส่เพราะหล่นลงไปในน้ำแล้วจมหายไปเลย และยังเป็นสาเหตุให้กระทงเราพังง่ายขึ้น เพราะถ้าเด็ก ๆ เห็น เขาจะจดๆจ้องๆไล่จับกระทงเราเพื่อเอาสตางค์แน่นอน
                การแต่งตัวสวยงามตามประเพณีไทยเหมาะสำหรับเที่ยวงานลอยกระทง เพราะคนมากถ้าเขามีพิธีร่วมกันจะไปร่วมกับเขาก็ได้ ถ้าไม่ร่วมพิธีก็ชวนกันไปลอยกระทงได้ที่ท่าน้ำที่เห็นเหมาะสม ก่อนวางกระทงก็อธิษฐานกันหน่อย ว่าเรานำกระทงมาลอยวันนี้เพื่อบูชาอะไร  มีอธิษฐานจิตว่าอย่างไรบ้าง ว่าดัง ๆ หรือ นึกในใจก็ได้ เสร็จแล้วปล่อยกระทงไป ยืนดู กระทงลอยจากฝั่งไปแล้วก็กลับไปชมมหรสพ พอสมควรแก่เวลาก็กลับ
                มีคนเคยถามเหมือนกันว่า ลอยกระทงมีคำกล่าวเป็นภาษาบาลีแบบสังฆทานไหม แล้วคำอธิษฐานล่ะ ว่าอย่างไรจึงจะถูกจะควร  ได้ยินแล้วก็ขำเหมือนกันว่า เราคงไม่มีคำตอบจะให้ จากตำนานเล่าขานก็รู้แล้วว่าเขาบูชาเทพกันมาก่อน แล้วเราปรับปรุงเป็นการบูชาพระรัตนตรัย จะเกณฑ์ให้มีขั้นตอนพิธีกรรมก็เคยเห็นครับ ทางวัดเป็นคนจัดงาน มีพระเป็นประธานเขานำไหว้พระสวดมนต์อย่างย่อ รับศีล แล้วกล่าวคำบูชา ได้ฟังแล้วจำได้เป็นคำบูชาที่ดัดแปลงมาจากคำบูชาวันวิสาขบูชา วันมาฆบูชานั่นเอง เขา แก้คำบาลีให้เป็นการบูชารอยพระพุทธบาทแทน จบแล้วท่านประธานก็นำหน้าไปวางกระทงลงน้ำ สมาชิกก็ตามไปวางกระทงของตนเป็นจบพิธีลอยกระทงตามที่ถามมา
               คำอธิษฐาน เป็นเรื่องความปรารถนา ไม่มีใครยอมบอกกันหรอกครับ ยกเว้นหนุ่มสาวแค่ลูกตามองกันก็บอกได้แล้วว่าปรารถนาอะไร ส่วนกระผมอธิษฐานด้วยหลักการแบบชาวพุทธครับคือ แผ่เมตตาให้สรรพสัตว์จงอยู่เย็นเป็นสุข  แผ่กุศลให้เจ้ากรรมนายเวร ขอให้ทุกท่านสุขกายสุขใจอย่าได้มีภัยมีเวร แผ่กุศลให้ผู้มีพระคุณ ให้ญาติพี่น้อง อธิษฐานให้ญาติพี่น้อง และคนที่เรารักประสบโชคชัยกันถ้วนหน้า ก็ประมาณนี้ครับ ส่วนถ้ามีสาว ๆ ไปลอยกระทงด้วยจะอธิษฐานว่าอย่างไร  คงไม่ต้องบอก
เพราะทุกคนเก่งอยู่แล้ว
              โดยสรุปแล้วประเพณีลอยกระทงเป็นเรื่องสร้างสรรค์ ฝึกคนให้เป็นผู้กตัญญูรู้คุณธรรมชาติ รู้คุณผู้มีพระคุณ และเป็นโอกาสให้ประชาชนได้ร่วมกิจกรรมรื่นเริงกัน แต่ปัจจุบันน่าเป็นห่วงเพราะมีกิจกรรมบางอย่างเปลี่ยนไป กระทงกลายเป็นของราคาแพงทุ่มกันเป็นหมื่นเป็นแสน มีประกวดประชันกัน  มีการจุดประทัดจุดพลุไฟเสียงดังน่ารำคาญ สำหรับชาวสุราบานก็ถือโอกาสเมากัน เมาแล้วพักผ่อนไม่มีปัญหา แต่พวกเมาแล้วเกะกะระรานคนอื่นก็ไม่เข้าท่าหมือนกัน เรื่องเหล่านี้เองจะทำให้งาน
ลอยกระทงเสื่อมความนิยมลงไปได้ เพราะค่าใช้จ่ายแพงไปจัดบ่อย ๆ ก็ไม่ไหว จัดแล้วหนวกหูรำคาญ ลอยที่ริมน้ำข้างบ้านสบายใจกว่า นาน ๆ เข้างานลอยกระทงก็จะจืดชืด ไม่ยืนยาว ใช่ไหมขอรับ
.......ข้อความเก่าเอามาเก็บ
-------------------------
ขุนทอง ตรวจทาน 1/8/59

คิดถึงคนตายแล้ว

คิดถึงคนตายแล้ว
-------------------- 

....... ตอนมีชีวิตอยู่อาจรู้สึกเฉย ๆ แต่พอเขาตายจากไปถึงรู้สึกว่าคิดถึงคนตาย มาก บางทีก็เคยเห็นนะ 
แช่งให้ตายทุกวันแต่พอเขาตายจริง ก็ร้องไห้ แต่เชื่อไหมว่า ไม่นานก็ลืมสนิท มันเป็นธรรมชาติของคน 
ทุกคนแหละ ดังนั้นหลายชนชาติเขาจึงมีประเพณีทำให้นึกถึงคนตาย อย่างน้อยปีละหนก็ยังดี วันตรุษ 
ไงครับ ตรุษจีนนี่สุดยอดเลย มีพิธีทำให้นึกถึงผู้ตายอย่างพิเศษจริง ๆ ไหว้บรรพบุรุษ ทำทุกบ้านเลย 
ตรุษไทยมีไหม มีเหมือนกันครับ แต่พี่ไทยรักสนุกเลยสนใจสาดน้ำจนติดอันดับโลก ไม่ค่อยสนใจพิธี นึกถึงคนตาย อย่าปล่อยให้เลือนหายไปนะครับ เสียดาย 
....... พิธีไหว้บรรพบุรุษของไทยนิยมทำที่วัดครับ เพราะเรามักนำอัฐิปู่ย่าตาทวดไปบรรจุสถูปไว้ที่วัด 
เลยถือโอกาสไปทำบุญชักธาตุช่วงสงกรานต์ คนที่ย้ายมาจากต่างถิ่น หรือคนไม่มีสถูปอัฐิบรรพบุรุษ 
ก็ไปทำบุญอุทิศให้แก่บรรพบุรุษโดยนำสิ่งของไปถวายทาน ที่วัดอุทิศบุญกุศลให้บรรพบุรุษได้ 
เช่นกัน การทำบุญชักธาตุ ทำอย่างไรครับ 
.........1. เตรียมของฝากผู้ตาย ส่วนมากเป็นของกิน เสื้อผ้า เอาใหม่ ๆ บรรพบุรุษเรามีเยอะมาก จัดตาม 
กำลังอาจเป็นชุดผู้ชาย 1 ชุดผู้หญิง 1 ของถวายพระ 4 รูป ดอกไม้ธูปเทียน ด้ายสายสิญจน์ 
.........2 . ออกไปวัดดูให้รู้แน่ชัดว่า สถูปอยู่ตรงไหน ทำความสะอาดให้ดี รวมทั้งบริเวณรอบ ๆ ด้วย 
เพราะส่วนมากไม่เคยโผล่่ไปดูเลย หญ้าขึ้นรก แถมมีรอยขีดเขียนเลอะเทอะ บางทีอาจต้องให้ช่าง 
ไปทาสีใหม่ เตรียมให้เรียบร้อยก่อน 
........3. เตรียมเก้าอี้ 4 ตัว ให้พระนั่ง เอาโถอัฐิออกมาสรงน้ำอบน้ำหอมให้เรียบร้อย เปิดฝาทิ้งไว้ให้แห้ง 
จุดธูปคนละดอก ปักรอบ ๆ สถูป แล้วไปนิมนต์พระมาทำพิธี ถวายขันดอกไม้และสายสิญจน์ พระจะสวด 
บังสุกุลถวายจตุปัจจัย รับพร เป็นเสร็จพิธีชักธาตุ (บางวัดให้ทำเต็มพิธี สวดมนต์ไหว้พระ รับ ศีล 
ค่อยสวดบังสุกุล ก็อนุวรรตตามหลวงพ่อท่านครับ) 
........4. ช่วงรับพรคือช่วงอุทิศบุญกุศลให้บรรพบุรุษรวมทั้งญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปทั้งหมด ตั้งจิตอธิษฐาน ให้ทุกคนทั้งที่รู้จัก ไม่รูจัก อุทิศให้ถ้วนหน้า ขอให้ทุกท่านได้รับส่วนบุญและประสบความร่วมเย็นเป็น สุขตลอดไป
........5. สำหรับการแสดงความเคารพญาติ ผู้ใหญ่ มีพิธีรดน้ำดำหัวซึ่งนิยมทำกันช่วงสงกรานต์ เหมือนกัน 
เอาไว้เล่าอีกต่างหากแล้วกัน  จึงกล่าวได้ว่าประเพณีไทยว่าด้วยการแสดงความเคารพผู้ใหญ่ ไม่ใช่ธรรมดา เพราะแสดงความเคารพเลย ไปจนถึงบรรพบุรุษทีเดียว อย่าลืมสอนลูกหลานล่ะครับ อ้อสอนด้วยวิธีปฏิบัติให้ดู ไม่ต้องอธิบายแต่ เข้าใจง่าย และจำได้ดีทีเดียว ผมเอามาเล่าก็จำจากที่เคยเห็นผู้ใหญ่เขาทำนั่นเอง

ข้อเขียนเดิมเอามารวมไว้
เขียนโดย Sritong Sriprajong ที่ 06:28
ขุนทอง ตรวจทาน 1/8/59

จับกบจับเขียด

เล่าเรื่องทำบาป 
.................เล่าเรื่องทำบาปให้ฟังบ้างซิตา แม่บ้านล้อเล่น เห็นเราเป็นคนชอบคุยแต่เรื่องทำบุญ 
เลยแกล้งถาม แต่เรากลับคิดไปอีกทางว่า ทำไมไม่เอาเรื่องทำบาปมาเล่าให้ลูกหลานฟังบ้าง 
คงน่าสนใจกว่า  เล่าเรื่องทำบุญซึ่งมีคนเล่ามากแล้ว พอคิดเท่านั้นแหละ เรื่องทำบาปมันไหลเข้า
มาจนล้นสมอง ยังกะน้ำป่าไหลหลาก คิดเรื่องบาปง่ายกว่าคิดเรื่องบุญน่ะยาย....เอาบาปตัวเล็ก ๆ
ก่อนแล้วกัน  เรื่องจับกบจับเขียด  แล้วกัน
................. เมื่อตอนเด็ก ๆ ผมขอบทำอะไร ๆ แบบเด็กผู้หญิง เพราะมันสนุกดี ได้ออกไปเล่นตาม 
ท้องนาป่าดงเพื่อหากินตามวิถีชาวบ้าน ขณะเด็กผู้ชายชอบเล่นสนุกตามสนาม ลานวัด แม้แต่กลาง 
ถนน เพราะช่วงนั้นไม่มีรถวิ่งเกะกะหรอก อย่างเก่งก็ล้อเกวียน ถนนกลางบ้านก็ทรายล้วน ๆ สนุกกัน 
เล่นบ่อย ๆก็เบื่อ แอบไปเล่นกับพี่สาว ที่เขาไปหากิน หยิบสวิงเก่า ๆ มาชุนพอใช้ได้แล้ววิ่งตามเขา
ไป ช่วยถือครุ ชะลอมพระร่วงนั่นแหละ สานด้วยตอกไม้ไผ่ รูปร่างคล้ายตะกร้า เอาชันยาให้ทั่ว ปกติ
ใช้ แทนครุสังกะสี เพราะสมัยนั่นไม่มีขาย ไปถึงทุ่งนาบางแห่งมีน้ำขัง ก็ลงไปตัก ช้อน หา อีฮวก ลูก
กบเขียด ฝนตกใหม่ ๆ กบเขียดออกมาร้องวางไข่ ไม่นานก็มีอีฮวกให้หามากินกัน อันนี้เรียกว่าจับกบเขียดเหมือนกัน จับแต่ตัวเป็นอีฮวกเลยแหละ เห็นไหมผมไม่ใช่คนทำบาปธรรมดา ๆนะ แบบผู้หญิง
เขา ผมยังทำเป็นเลย ............... ไม่นานกบเขียดก็ตัวโต ทุ่งนาก็ปักดำกันไป ผมเป็นเด็กดื้อตาใส 
แม่ หรือพี่สาว บอกกล่าวอะไร ไม่เคยเถียง แต่ไม่ค่อยทำตาม คราวหนึ่งไปนากับแม่ ส่งข้าวพ่อกับ
พี่ ๆ อยู่ประมาณ ป. 3 ครับ เราก็ชอบ เดินเล่นตามทุ่งนา แม่บอกเอ็งอย่าไปเล่นไกลนะ ครับไม่ไกล
 แต่แค่ไหนล่ะไม่ไกล แม่่ไม่บอก เลยเดิน ตามคันนา กบเขียดมันโดดลงน้ำจ๋อมแจ๋ม เราค่อย ๆ ย่อง
เดินสอดส่องดู บางทีเห็นมันซ่อนอยู่ใต้ใบไม้ สบายตูแหละ งมจับเอาได้ หักขา ร้อยด้วยเครือไม้ถือ
เดินไปเขียดตัวโต ๆก็เยอะ กบขนาดสองนิ้ว ก็มี กบตัวโตจับไม่เคยได้ มันฉลาดกว่าเรา เดินไปเดินมา อ้าวนาใครวะ มองไปอีกทาง พี่สาวเดินลิ่ว ๆ มา 
............... "ไอ้........แม่บอกไม่่ให้มาไกล ไม่เคยจำ" แน่นอนคำด่าพี่ ๆ ก็ไม่จำเหมือนกัน ยกพวงกบ
เขียด ให้ดู เงียบไปเลย แถมมาถามเราอีกว่า "มึงทำได้ไง เยอะแยะ"ต้องสาธิตให้ดู และเพลินไป
หน่อย ไม่นาน พี่ชายก็มาตามอีกคน กลับถึงกระท่อมนา พี่สาวก็ทำอ่อมกบเขียดให้กิน แทนที่จะกินส้มตำอย่างเดียว อร่อยมาก สังเกตได้มันเกลี้ยงถ้วยแต่ ส้มตำยังเหลืออยู่เลย พี่สาวแอบกระซิบว่าวันหลังมึงไปอีกนะ เอาเยอะ ๆ เห็นไหม เก่งทำบาปมาแต่เล็กเลยนะ คนสนับสนุนก็มี 
.................... หน้าแล้งลำห้วยแห้งดินแตกระแหง ชาวบ้านเขาหากบเขียดกันด้วยวิธีเอาเสียมงัดดิน
โคลน ที่มันแห้งจับกันเป็นแผ่นและมีรอยแยก ยังกะอิฐบลอคนั่นแหละ เขียดตัวเล็ก ๆ ซ่อนอยู่ตาม
รอยแยก กระโดดออกมาให้ไล่จับกัน สนุกมากครับ เพราะผมเป็นเด็ก ไม่ใช่ตัวหลักในการจับเขียด 
พี่สาวเขา เป็นหัวหน้าทีม เราถือครุใส่น้ำสักขันหนึ่ง คอยเก็บเขียดที่พี่เขาส่งให้บ้าง ไล่จับเองบ้าง 
บางทีจับได้ ก็ลืมใส่ครุตัวเอง ดันเอาไปใส่ครุให้เพื่อนไป อ๋อเพื่อนนักเรียนหญิงหน้าตาน่ารักน่ะครับ 
เห็นไหม ผมคนมีน้ำใจนะเออ ใช่เก่งทำบาปอย่างเดียวซะเมื่อไรบ่อยเข้าก็เจอมะเหงกพี่สาวโป๊กหนึ่ง
 อ้อจำได้แล้ว ครุเราอยู่ทางนี้ ครับวิธีนี้เขาเรียก "ไปไง้เขียด" มากันทั้งคุ้มบ้าน สี่ห้าชุด พาน้อง ๆ มา
ด้วยช่วยถือครุ และฝึกวิธีจับเขียดนั่นเอง 
..................... แดดอ่อน ๆ ตอนบ่าย ต้อนควายไปกินน้ำ ผ่านตรงที่เคยมางัดดินหาเขียด ลองหาไม้มาพลิก ก้อนดินดู พบว่ามีเขียดกระโดดหนีหลายตัว ปล่อยควายนอนแช่น้ำแล้วไปเอาเสียมมาขุดเป็นหลุมเล็ก ๆ  ลึกสัก 30 เซ็น ปากกว้างคืบเดียว เอาฟางแห้งสุมปากหลุมไว้ แบบนี้น่าจะเย็นกว่าใต้ก้อนดิน 
เขียดต้อง ชอบและมาหลบแน่ กรรมจริง ๆ นอนเล่นที่กระท่อม พี่สาวมาด่า"....ไอ้ลูกใครวะ มันขุดหลุม
ที่ลำห้วย เอาฟาง ปิดไว้ กูตกหลุมขาแทบเคล็ด ไอ้......." อยากบอกเหมือนกัน แต่พี่แกยังถือไม้คาน
อยู่ เลยทำไม่รู้ไม่ชี้ ตอน เช้าพี่สาวมารดผักให้เรามาเป็นเพื่อน เลยแอบไปดูหลุมดินที่ขุดไว้ ใช่จริง ๆ เขียดไปหลบในหลุมก่อน แดดจะส่อง สิบกว่าหลุม ได้เขียดซักถ้วย ใหญ่ ๆ มี เขียดโม้ เขียดขาคำ 
เขียดบักแอ๋ กบตัวบิ๊ก ๆ สองตัว ไปถึงสวนพี่สาวรดน้ำเสร็จแล้ว เอาตะข้องให้ดู จึงรู้ว่าน้องชายคือคน
ขุดหลุมดักเขียด ตอนนี้ไม่ด่า แต่หันไปเด็ดผักจะทำห่อหมกกบเขียดให้กิน 
...................ตอนนั้นอยู่ ป. 4 พี่ชายมาชวนไปจับกบ ใช้ให้เราไปขุดใส้เดือนได้เยอะสัก 2 กะลามะพร้าว 
แกเอามาสับ ๆ ๆ ๆ ๆ แล้วใส่ไปใน แงบ ดูรูปร่างคล้ายตะข้อง ก้นเปิดปิดได้ ปากมีงา ใส่เหยื่อใส้เดือน
สับ ไว้ข้างใน เอาไปวางดักไว้ตามที่เปียกชื้นที่มีร่องรอยกบผ่านมาหากิน กบผ่านมาได้กลิ่นของโปรด
หาทาง มุดเข้าไปทางปากที่มีงานั่น เห็นเหยื่อก็กินเฉยเลย ตัวอื่นผ่านมาก็เข้าไปบ้าง เลยติดในแงบ 
ออกไม่ได้  วิธีนี้จับได้กบตัวโต ๆมากมาย วางแงบดักกบตามทุ่งนาเสร็จก็ประมาณ ทุ่มเศษ ๆ พี่ชายถือ
ไม้พาย ส่อง ตะเกียงตามคันนาเพื่อเดินกลับสักครู่แกหวดไม้พายตุ๊บทีหนึ่ง แล้วยื่นกบมาให้เราใส่
ตะข้อง กว่าจะถึง บ้านก็ได้ห้าหกตัว สำหรับการกู้แงบตอนเช้าพี่ชายไปคนเดียว เพราะขี้เกียจปลุกน้องชาย เห็นไหม ดักกบด้วยแงบก็ทำเป็นนะ 
................การจับกบเขียดยังไม่หมดครับ จับด้วยเบ็ด ยิงด้วยพลุ เป็นวิธีที่โหดไปหน่อย ขอเว้นวรรคแล้วกัน เอาเป็นว่าเคยทำมาหมดทุกวิธีนั่นแหละ สะสมมานานบาปกองโตพอสมควรเลยแหละ เจ้ากรรมนายเวร พวกนี้รึเปลาไม่รู้นะ ทำเอาเราปวดแข้งขาอยู่ประจำ ถ้าใช่ก็ขอโทษนะตอนนั้นเราตั้งใจทำมาหากิน ตามประสาคนบ้านนอกน่ะ ไม่รู้เรื่องบาปบุญนักหรอก ตอนนี้รู้แล้ว ทุกวันที่ทำบุญทำกุศล 
ไม่ลืมอุทิศส่วนบุญให้เจ้ากรรมนายเวรเสมอแหละ สาธุ
--------------------
ขุนทอง ตรวจทาน 1/8/59

วันเกิดทุกวัน

                                                     วันเกิดทุกวัน
.........................
...............ช่วงเดือนสองเดือนที่ผ่านมา เขียนอวยพระวันเกิดเพื่อนพ้องน้องพี่ไปกว่า 20 สำนวนจนแทบจะซ้ำความกันทีเดียว  ดีที่บันทึกไว้ทุกสำนวน เฟสบุ๊คมันดีนะ คอยเตือนว่าใครครบวาระวันเกิดบ้างเพื่อนหลายคนไม่เห็นเตือนวันเกิด ก็ไม่ได้เขียนคำอวยพรให้ ก็ขอโทษด้วย
...............ทีนี้ก็หันมานึกถึงตัวเองบ้างว่า จะฉลองวันเกิดแบบคนอื่นดีไหม คงไม่ไหวหรอกครับเพราะผมเกิดทุกวัน ใครคิดจะเขียนคำอวยพรคงต้องเขียนจนมือหงิก หรือไม่ก็เลิกเขียนกัน  ไปเลย ก็อาจสงสัยว่ากระผมเกิดทุกวัน จริงรึเปล่า  สัปดาห์หนึ่ง 7 วัน เกิดทุกวันเลยเหรอ  เดือน 30 วัน ปี 365 วัน ด้วยรึเปล่า เมื่อก่อนก็ไม่ได้มีความคิดบ้า ๆบอ ๆ แบบนี้หรอกครับ แต่ได้ฟังพระท่านเทศน์ให้ฟังเรื่องการเกิด ๆ ดับ ๆ ของสังขาร ถึงกับอึ้ง
............ท่านบอกสังขาร นามรูป ของเรามันแตกดับ ทุกลมหายใจ แค่เราภาวานา พุท...โธ มันดับไปแล้ว ยังดีที่สันตติ ยังสืบต่อได้อยู่ เลยยังมีนามและรูปของเรา นั่งภาวนาต่อไป วันหนึ่ง ๆมันเกิดดับ ๆ ไม่รู้กี่ร้อยกี่พันครั้ง เคยเถียงนะครับว่าไม่เห็นมันจะเกิดดับตรงไหน  นั่งสมาธิเบื่อก็มาขอดื่มน้ำชากับท่านอาจารย์นี่เอง ท่านเลยทดสอบให้ว่า  จำได้ไหมสมัยเด็ก รูปร่างหน้าตาเธอเป็นอย่างไร แหมถามกล้วย  ๆ  บรรยายภาพตอนอยู่ ป. 4 ให้ท่านฟัง  แล้วท่านถามต่อว่าวันนี้ เด็กคนนั้นอยู่ที่ไหน  ก็เรียนท่านไปว่าผมนั่งอยู่นี่ไงครับ อาจารย์ก็บอกว่าแน่ใจเหรอว่า คือคนนี้ เธอว่าเด็กคนนั้น ยังไม่รู้ภาษาอื่นนอกจากภาษาที่พูดคุยกับพ่อแม่  แต่เธอรู้ภาษาอังกฤษ รู้ภาษาบาลี ใช่คนเดียวกันจริงหรือ  ชักงงเหมือนกัน  เอาอีกข้อ เด็กคนนั้นยังไม่รู้จักอายใคร แก้ผ้าอาบน้ำในคลองได้  แต่เธอทำได้ไหมล่ะ  เฮ้ย...อี้ง  เอาอีก  เธอมีลูกสามคนแต่เด็กคนนั้นมีลูกกี่คนล่ะ  ?????  ยอมแพ้แหละอาจารย์
..............ท่านเฉลยให้ฟังว่า ถึงรูปนามจะแตกดับไป แต่สันตติความสืบเนื่องจะผุดเกิดมาแทนที่ทันทีจนเราไม่รู้สึกถึงการแตกดับของนามรูป ทุกเช้าที่เราตื่นมา แสดงว่าสันตติมันทำงานตามปกติ เมื่อใดมันทำงานไม่ได้ สันตติก็ขาด เราเรียกว่าตาย  ......โหอาจารย์พุทธศาสนามีสอนแบบนี้ด้วยเหรอ แบบนี้ผมก็เกิดทุกวันซิ  ก็ใช่อีกนั่นแหละ นี่คือที่มาของคำที่กระผมบอกว่าวันเกิดของกระผมคือทุกวัน วันไหนเกิดไม่ได้คือจบ ไม่มีนายขุนทอง อีกต่อไป เหลือแต่ชื่อ หลวงพ่อบอกว่าที่เราฝึกอบรมวิปัสสนา ก็เพื่อ
ให้เกิดสมาธิ มีสติแข็งกล้า เกิดปัญญาเห็นรูปนาม ตอนนั้นแหละจะนำไปสู่การเห็นอาการแตกดับ ของนามรูป และเห็นสันตติที่สืบต่อรูปนามเอาไว้ ที่ภาษาพระเรียก เห็นไตรลักษณ์ สันตติที่เห็นรูปนามเกิดดับ ๆ จากวิปัสสนาท่านเรียกสันตติภายในเห็นได้ด้วยวิปัสสนา
 ...............สาธุหลวงพ่อ ต่อไปนี้ผมไม่ต้องไปจำวันเกิดให้ยากแล้ว เพราะทุกวันคือวันเกิดขอให้ได้เกิดทุกวันต่อๆไปแล้วกัน   แล้ววันเกิดแบบคนอื่น ๆเขาล่ะมีไหม ก็มีเหมือนกันแหละครับ แต่ไม่แน่ใจว่าใช่หรือไม่ พ่อบอกว่าหลังเกิดซัก 2 อาทิตย์จึงไปแจ้งลุงผู้ใหญ่ ลุงบอกจะแจ้งอำเภอให้วันไปประชุม จดวันเดือนปีเกิดและชื่อใส่กระดาษให้อย่างดี แต่กว่าจะสิ้นเดือนถึงมีประชุมรับเงินเดือนกระดาษที่จดไว้ก็หายแล้ว  ชื่อ สิงทองก็กลายเป็น ขุนทองวันเดือนปีก็คงจะเพี้ยนเหมือนกัน แต่ตอนเด็ก ๆ ไม่สนใจวันเดือนปีเกิดหรอก เลยไม่ได้ถามพ่อแม่ว่า เกิดจริง ๆ วันไหน  ใช่วันปรากฏในใบเกิดไหม  แม่บอกไม่ใช่ แกเกิด"วันลับลึน "มึนครับ จนวันนี้ผมยังไม่ทราบว่ามันคือวันอะไร  ใครรู้จักบอกเอาบุญด้วย
-----------------
ขุนทอง ตรวจทาน 1/8/59

การละเล่นพื้นบ้าน ต่อ

การละเล่นพื้นบ้าน(ต่อ)
.....................
เล่นหมาก โค้งตีนเกวียน หรือ วงตีนเกวียน
                 เสียงเฮฮาที่ดังไกลมาก ของพวกหนุ่มสาวที่เล่นสงกรานต์กัน กลุ่มนี้คือพวกเล่นโค้งตีนเกวียน  หนุ่มสาวนั่งหันหน้าเข้ากัน เอาเท้ายันกัน  8-10  คน เลยทำให้เกิดเป็นวงกลมนิยมแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ชาย หญิง เท่า ๆ กัน เริ่มเล่น ฝ่ายชายลุกยืน มือจับข้อมือฝ่ายหญิงที่นั่งติดกันแบบผสานข้อมือ
ให้มั่น ฝ่ายหญิงสองเท้ายันกันไว้แน่น เมื่อจะเริ่มเล่น ฝ่ายหญิงจะโหนยกก้นขึ้นโดยเหนี่ยวแขนฝ่ายชายไว้ เมื่อสาวยกตัวได้แล้ว ชายก็จะเดินวนไปรอบ ๆ จนกว่า จะมีคนหลุดมือทำให้วงแตกล้มทับกันระเนระนาด เฮฮากัน ขนาดฝ่ายชายยังอุตส่าห์ล้มทับกับเขาด้วย อ่อนแอเหลือเกิน นะพ่อคุณ ฝายหญิงแพ้ ต่อไปเปลี่ยนฝ่ายชายนั่ง ฝ่ายหญิงยืน
                    พร้อมแล้วหมุนอีกรอบ  หมุนไปได้ไม่นานมีคนทำมือหลุด คราวนี้สาวถูกดึงล้มมากองกันแทบทั้งหมด เลยรู้กันว่าถูกแกล้ง แต่ไม่เห็นเขาโกรธนะ แค่ชี้หน้ากันว่าคนนั้นแกล้ง คนนี้แกล้ง แล้วก็เล่นกันต่อ มารู้ทีหลังว่าคนชอบ ๆกันทั้งนั้น บางหนุ่มล้มทับสาวไม่อยากลุก ยังมีเลย ผู้ใหญ่เจ้าเล่ห์ครับ  ไม่เหมือนวงเด็ก ๆ เขาเล่นเฮฮาสนุกกันเฉย ๆ

การเล่น งูกินหาง
                     การละเล่นอีกชนิดหนึ่งที่นิยมเล่นกันมากทั้งเด็กและผู้ใหญ่ คือเล่นงูกินหางสมัยก่อนแดดไม่ร้อนจัดเหมือนทุกวันนี้  เล่นกลางถนนในหมู่บ้านยังได้เลย  แต่ตรงไหนมีต้นฉำฉา ต้นมะม่วงคนก็ไปออเล่นกัน เพราะมีร่มเงา งูกินหางเล่นกันวงละ 7 -8 คน  หางจะได้ไม่ยาวเกินไป เลือกคนที่แข็งแรงออกมา 2 คน ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง  ถ้าได้คู่ที่ชอบพอกันอยู่ด้วยยิ่งดี เสี่ยงทายกันใครจะได้เล่นเป็นพ่องู แม่งู
แม่งูก็จะเป็นหัวแถว ให้สมาชิกเกาะเอวต่อ ๆกันไป  แม่งูจะคอยกันมิให้พ่องูแย่งจับลูกงูได้ง่าย ๆ
อีกคนเป็นพ่องู ทำหน้าที่ชวนร้องเพลงและพยายามแย่งจับลูกงู เริ่มเล่น พ่องูและแม่งู ยืนประจันหน้ากัน และเริ่มร้องเพลง
พ่องู "แม่งูเอ๋ยกินน้ำบ่อไหน"
แม่งู "กินน้ำบ่อโสกโยกไปโยกมา" พร้อมแสดงอาการส่ายตัวไปมา
พ่องู "แม่งูเอ๋ยกินน้ำบ่อไหน"
แม่งู "กินน้ำบ่อหินบินไปบินมา" พร้อมแสดงอาการบินไปบินมา
พ่องู "แม่งูเอ๋ยกินน้ำบ่อไหน"
แม่งู "กินน้ำบ่อทรายย้ายไปย้ายมา" พร้อมแสดงอาการส่ายตัวไปมา
พ่องู "กินหัวกินหางกินกลางตลอดตัว"
                เมื่อพ่องูกล่าวเสร็จพ่องูจะเริ่มไล่จับลูกงูที่กอดเอวแม่งูอยู่  ส่วนแม่งูก็ จะพยายามป้องกัน
ไม่ให้พ่องูไปแย่งลูกงูได้ เมื่อพ่องูจับลูกงูคนใดได้ลูกงูก็จะออกมายืนอยู่ต่างหากเพื่อรอเล่นรอบต่อไป ส่วนพ่องูจะพยายามแย่งลูกงูให้ได้หมดทุกตัวจึงจะถือว่าจบการเล่นรอบหนึ่ง เมื่อพ่องูจับลูกงูได้ทุกตัวแล้วก็จะเริ่มเล่นใหม่ โดยพ่องูคนเดิมจะกลับไปเป็นแม่งูในรอบต่อไป
                  สนุกตรงไหน ต้องถามพ่องูแม่งู เห็นบอกสนุกตรงได้แย่งลูกงูกัน  ลูกงูบอกสนุกตรงได้แกล้งให้พ่องูจับได้  เป็นกิจกรรมเสริมความสามัคคีที่ดีมากครับ จะเล่นสงกรานต์ในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ แล้ว นอกจากเล่นสาดน้ำแล้ว ยังมีการเล่นอื่น ๆอีกที่คนสมัยนี้ไม่ค่อยเล่นกัน เพราะมัวแต่ไปสาดน้ำ หรือตามดูพริตตี้โชว์กัน ขอนำเอา เรื่องราวสมัยก่อนมาเล่าสู่กันฟัง เพื่อไม่ให้มันเลือนหายไปจริง ๆ เสียดายน่ะครับ
 เกมไม้หิงอี่.
................การเล่นแบบนี้ อีสานเราเรียกว่า "ไม้หิง" ภาคใต้เรียกว่า "ไม้ขวิด" หรือ "ไม้อี้" ทางภาคกลางเรียก ไม้หึ่ง  อุปกรณ์การเล่นและกติกาการเล่นคล้าย ๆกัน  ตอนเรียนอยู่ ป. 2 ประมาณพ.ศ. 2495  เคยวิ่งเล่นไปรอบ ๆ หมู่บ้าน เพื่อดูว่าผู้ใหญ่เขาเล่นสงกรานต์กันอย่างไร ตรงไหน เสียงเฮฮาดังลั่นก็ตรงไปดู  รำวงนี่เยอะมาก ม้าหลังโปก งูกินหาง  รีรีข้าวสาร  เตะบอล  ตีคลี  ที่ชอบมากคือการเล่นไม้หิงอี่  ไปยืนดูหนุ่มสาวเขาเล่นจนลืมหิวข้าวไปเลย
...............อุปกรณ์  เขาใช้ไม้ไผ่ขนาดเท่าด้ามมีด ตัดเป็นท่อนยาวประมาณ 60-75 เซ็นติเมตร  ใช้เป็นไม้แม่หิงอี่  สวนตัวลูกก็ตัดสั้นหน่อยซัก  20 เซ็นติเมตร แค่นี้เล่นกันได้แล้ว สนามเล่น  เขาใช้ถนนกลางหมู่บ้าน กันไว้ ยาวสัก 300 เมตร ก็พอ จุดเริ่มต้น จะขุดหลุมเรียก"หลุมพอก" ขนาด 10 x 25 เซ็นติเมตร เซาะให้ลึกตรงกลางหลุมสำหรับสอดแม่ไม้ลงไปวัด ลูก ที่วางพาด  ปากหลุมไว้ แค่นี้ก็พร้อมที่จะเล่นกันแล้ว
                   กติกาการเล่น
.................. 1. แบ่งคนเล่นเป็น 2 ทีม  ทีมละ 3-5 คน
...................2. เสี่ยงทายว่าทีมไหนเล่นก่อน เรียกทีมรุก อีกทีมเป็นทีมรับ
.................. 3. เล่นทีละคน จนตาย ระหว่างเล่น แล้วเปลี่ยนคนต่อไปเล่น หรือเล่น จนจบเกม   แล้วค่อยสรุปคะแนน
...................4. เล่นครบทุกคนในทีม นับแต้มคนที่เล่นจบเกมด้วยการให้เดาะลูกนับแต้ม ใช้แต้มสำหรับจำนวนครั้งที่จะตีลูกเอาระยะทางปรับให้อีกฝ่ายวิ่ง
                   วิธีการเล่น ฝ่ายรุกเล่นก่อน ฝ่ายรับคอยรับลูก
................... ตาที่ 1 เล่นไม้ดีด หรือไม้งัด โดยพยามยามดีดลูกให้กระเด็นไปไกล ๆเท่าที่จะทำได้   ทีมรับจะยืนดักทางอยู่ว่าลูกจะถูกดีดไปทางไหน และช่วยกันรับมิให้ตกดิน ถ้ารับได้ คนเล่น ก็ตาย เปลี่ยนคนเล่น ถ้ารับไม่ได้ลูกตกดิน ก็เล่นต่อไป โดย คนดีดลูกวางแม่ไม้ พาดปากหลุม ไว้  จากจุดลูกตก ทีมรับจะทอยลูก โยนให้ถูกแม่ไม้หิงอี่ ถ้าแม่นโยนถูก ผู้เล่นตาย เปลี่ยนคนต่อไปเล่น ถ้ายังไม่ตายเล่นต่อ 
                    ตัวอย่าง ทีมรุก  5 คน เล่นตาที่ 1 ตายระหว่างการเล่น  2 คน เหลือเพียง  3 คน  เล่น ผ่าน ไปต่อ ตาที่ 2 )
................... ตาที่ 2  เรียกตาตี  จับปลายแม่ไม้กำให้แน่น วางลูกบนกำมือ เวลาจะตี โยนลูกขึ้น สูงสักศอก พอลูกร่วงลง ใช้ซ่นแม่ไม้หิง ตีให้ลูกกระเด็นไปทางฝ่ายรับ  ถ้าตีไม่เก่ง ฝ่ายรับ เขารับลูกได้ก็ตาย  ถ้าตีเก่งลูกข้ามหัวไปตกพื้น ได้เล่นต่อ โดยยืนหน้าปากหลุมพอก ถือแม่ไม้ คอยปัดลูกที่ฝ่ายรับ ทอยมา เป็นการป้องกันมิให้ลูกฝ่ายรับทอยมา ไถลมาใกล้ปากหลุม ได้ ระยะสั้นกว่า 1 แม่ไม้  ถือว่าตาย ออกจากการเล่น
                    .ตัวอย่าง มี 3 คน ผ่านมาเล่นตาที่ 2  ตาย ระหว่างเล่น 1 คน ต้องออกจากการเล่น  เล่นผ่านได้เพียง 2 คน ไปเล่นตาที่ 3
...................ตาที่ 3 กลับหลังตี  ผู้ตียืนหันหลังไปทางผู้รับ ผู้ตียกลูกขึ้นเหนือศีรษะด้วยมือซ้าย มือขวาจับแม่ไม้ตีให้ลูกลอยไปตกทางฝ่ายรับ  ถ้าฝ่ายรับ รับได้ก็ ตาย ถ้ารับไม่ได้ แล้วเอาแม่ไม้ วางขวางรางไว้ให้ฝ่ายรับทอย เหมือนเล่นตาที่ 1
                   ตัวอย่าง สองคนผ่านมาเล่น ตาที่ 3 และเล่นผ่านทั้งสองคน แสดงว่าทีมนี้มีคนถึงหลักชัยเพียง 2 คน มีสิทธิ์เดาะนับแต้มเพื่อตีลูกเอาระยะทาง ให้อีกฝ่ายวิ่งย้อนมาจุดเริ่มต้น
................... ตา นับแต้ม  ชนะการเล่น 2 คน ถือว่า ชนะ มีสิทธินับแต้มเพื่อใช้ในการ ตี ลูก โดยการเดาะลูก ให้กระดอนขึ้นจากการโยนครั้งเดียว เดาะได้กี่ครั้ง ก็นับไว้ เพื่อตีลูกเท่าจำนวนที่เดาะได้ เช่น เดาะ ได้ 2 ครั้งลูกร่วงลงดิน นับให้ 2 แต้ม อีกคนเดาะได้ 3 แต้ม ทีมนี้มีสิทธิ์ตีลูกเอาระยะทางให้ฝ่ายรับ วิ่ง 2 คน  2+3 ครั้ง
................... ตีเอาระยะทาง  คนที่ 1 เดาะได้ 2 แต้ม เริ่มตีจากหลุม ไปทางที่หมายตาไว้ ฝ่ายรับ ไปยืนดักทางคอยรับมิให้ลูกตกดิน รับได้ การตีครั้งนั้นไม่ได้ระยะทาง  ถ้าลูกตกดิน ฝ่ายรุกก็จะไปตีลูกครั้งต่อไปที่จุดลูกตก คนแรกหมดแต้ม คนที่สองมาตีต่อ จนหมดแต้ม 5 แต้ม ได้ ระยะทางที่จะปรับฝ่ายรุกให้วิ่งย้อนกลับไปที่หลุม ขณะวิ่งต้องออกเสียง "อี่ " ยาว ๆ  ขาดเสียงก็เปลี่ยนคนใหม่มาวิ่งต่อ  ถ้าวิ่งครบทุกคนแล้วยังไม่ถึงหลุม ฝ่ายรุก ปรับด้วยการตีลูก ย้อน 1 ครั้ง แล้วเริ่มวิ่งใหม่ จนกว่าจะวิ่งถึงหลุม เป็นอันจบเกม ต่อไปก็เปลี่ยนข้าง รับมาเป็นฝ่ายรุก
...................หมายเหตุ การเล่นไม้หิงอี่ หรือ ไม้หึ่ง นี้ มีเล่นทุกภาค อุปกรณ์เหมือนกัน แต่กติกาการเล่น อาจแตกต่างกันบ้าง ตาที่ 1 ตาที่ 2 คล้ายกัน บางถิ่น สรุปแต้มเดาะลูก  เมื่อจบตาที่ 2  บางถิ่นก็เล่นครบ 3 ตา   บางถิ่นถ้าฝ่ายรุกเล่นชนะ 1 หรือ 2 คน ให้สิทธิ์ ซ่อม คนที่เล่นไม่ผ่านแต่ละตา โดยให้คนที่เล่นชนะแล้ว ซ่อมให้ โดยซ่อมตั้งแต่ ตาที่ตาย  ไปจนครบ 3 ตา  ถือว่าซ่อมสำเร็จ คนที่ซ่อมให้มีสิทธิ์เดาะลูกนับแต้มได้  ถ้าซ่อมไปสำเร็จ ก็จบไปไม่ให้สิทธิ์อีก
-------------------
ขุนทอง ตรวจทาน 1/8/59

การละเล่นพื้นบ้าน

การละเล่นพื้นบ้าน
.........
                 การละเล่นพื้นบ้าน นับวันแต่ละเลือนหายไป เพราะบ้านเมืองเปลี่ยนไปการละเล่นก็มีแปลก ๆ ใหม่ ๆ เข้ามาแทน โดยเฉพาะไอที มันรุกเราจนตั้งตัวไม่ทันทำให้คนรุ่นใหม่ ลืมเรื่องราวหนหลังไปเกือบหมดสิ้น เหลือไว้เพียงตำนาน ที่คนแก่รุ่นปัจจุบันยังไม่มีปัญญาเล่าให้ลูกหลานฟัง เว้นแต่อยากรู้ก็ลองเสาะหาดูครับ  ตอนนี้ข้อมูลบนอินเตอร์เนตมีให้ค้นหาได้มากมาย แต่ก็ต้องดูให้ดี เพราะบางทีก็เจอข้อมูลที่ไม่แน่นพอ ขาดเหตุผล ขาดหลักฐาน เคยเห็นการเล่นของเด็ก ๆ สมัยก่อนหลายอย่างเช่น เป่ายาง  ซ่อนหา   หมากเก็บ  รีรีข้าวสาร  มอญซ่อนผ้า  กาฟักไข่  งูกินหาง ทอยเส้น ม้าก้านกล้วย  ชักว่าว เป่ากบ  โพงพาง  ตี่จับ  กระโดดเชือก  ชักคะเย่อ   ปริศนาคำทาย  รำวง ลูกช่วงหรือลูกโยน ไม้หึ่ง  
ตากระโดด(ตากะโหลก)เรือบก  สะบ้า  หมากข่าง  ขาโถกเถก  แข่งเรือ  โค้งตีนเกวียน เดินกะลา ตีเลี่ยน(จี้งล้อ) ดีดหลุมเม็ดมะขาม  หมากหาบ เสือกินหมู  ฯลฯ จะลองหยิบมาเล่าสู่กันฟัง พอเป็นตัวอย่าง ดังต่อไปนี้
         การเล่นเป่ายาง
         ยางรัดของ สมัยก่อนเป็นของเล่นที่ต้องสะสม ใช้เศษเหล็กไปแลกมา ใช้หมากงิ้วหรือนุ่นแลกกับพ่อค้า มียางก็เล่นกับเพื่อน ๆ ได้  เขาเล่นกันด้วยยางหลายอย่าง ง่ายหน่อยก็ เป่ายาง โดยนั่งประจันหน้ากัน เดิมพันตาละ เส้นเดียว อันนี้เป่าให้ยางวิ่งชนกัน ของใครทับยางของคู่ต่อสู้ได้ คนนั้นชนะได้เดิมพันไป ถ้าตาละหลายเส้น ก็กองรวมกันไว้ตรงกลาง  แล้วผัดกันเป่ายางตัวเก่งให้มันกระโดดทับกองยาง ทำได้ก่อนก็รับเอาไป เห็นง่าย ๆ แต่มันสนุกจนลืมกินข้าวเลยแหละ
        แข่งหมากจิ้งล้อ  กลิ้งล้อ  ตีนเลี่ยน (ล้อเลื่อน)
       การเล่นแบบนี้ต้องมี อุปกรณ์การเล่น ได้แก่ วงล้อกลม ๆ ทำจากท่อนไม้ งิ้ว เลื่อยหน้าตัดเหมือนทำเขียงไม้ หนาสักนิ้วถึงนิ้วครึ่ง จะได้วงล้อขนาดเส้น ผ่าศูนย์กลาง  6 - 10 นิ้ว กำลังดี  หรือจะใช้เศษไม้กระดานมาวาดวงกลม ตามขนาดที่ต้องการแล้วใช้มีดหรือเลื่อยฉลุ เจียนให้เป็นแผ่นกลม ๆ ก็ใช้ได้  แผ่นวงกลมที่ได้มาตรงกลางเจาะรูเล็ก ๆ สำหรับสอดเพลาที่ทำด้วยตาปู สอดมาจากคันไม้ไผ่ ที่ทำหน้าที่เหมือนตะเกียบจักรยาน สำหรับ คันทำจากไม้ไผ่ผ่าสองซีกปลายเจาะรูสอดเพลาตาปูลอดวงล้อไว้ตรงกลาง  ตอกลิ่มถ่างปลายไม่ให้หนีบวงล้อ ทดลองหมุนวงล้อดู ถ้าหมุนได้คล่องก็ใช้ได้  ด้ามจะทำที่จับไว้ด้วยเวลาใช้งานหมากจิ้งล้อ ใช้ปลายด้ามพาดบ่า สองมือจับแฮนด์ บังคับให้ล้อวิ่งตรง เลี้ยว ตามใจชอบ  การได้เปรียบอยู่ที่วงล้อ หมุนคล่องไม่ติดขัด  ผู้จัดทำต้องพยายามทำให้เพลาและรูที่สอด ไม่ฝืด หมุนได้คล่องตัว  (จิ้ง= กลิ้ง)
วิธีการเล่น
                 ๑.การเริ่มต้นผู้เล่นจะยืนเรียงกันโดยใช้ไม้ไผ่ด้านปลายวางไว้ที่บ่าแล้วจับให้แน่น
                 ๒.สัญญาณบอกเริ่มวิ่ง ผู้เล่นก็จะดันตีนเลี่ยนให้วิ่งออกไป เพื่อให้ถึงเส้นชัยซึ่งอาจจะเป็นระยะทาง  ๕๐ เมตร หรือ ๑๐๐ เมตร
                 ๓.การสิ้นสุดการเล่นใครถึงเส้นชัยก่อนเป็นผู้ชนะ

เล่น ขี่ไม้ขาโถกเถก
............... การละเล่นอีกอย่างที่กระผมชอบมาก คือเดินขาโถกเถก เห็นพวกพี่ ๆ เขาจับกลุ่มกันเดินไปรอบ ๆ หมู่บ้าน สาว ๆ เห็นร้องทักกันเจี้ยวจ๊าว ขอลองมั่ง  หนุ่ม ๆ ก็ตั้งใจสอนซะเหลือเกิน ให้สาวขึ้นยืนแล้วประคองพาเดิน ไม่กี่ก้าวก็ล้มแผละแล้วก็เฮฮากัน พวกขี่ไม้โถกเถก เขาพากันเดินไปที่สนามฟุตบอลที่อยู่ติดหมู่บ้านเพื่อวิ่งแข่งกันครับ
อุปกรณ์
..............นิยมใช้ไม้ไผ่ที่มีแขนงหนาแข็งแรงพอใช้เป็นที่เหยียบได้   ไม้ลำเล็ก ๆ  ขนาดโตเท่าด้ามมีด  ลิดแขนงเหลือไว้เหยียบด้วยฝ่าเท้าสัก 3-4 นิ้ว   ที่เหยียบสูงสัก 12 นิ้วสำหรับเด็ก ๆ สูงมากขึ้นสำหรับผู้ใหญ่  จากที่เหยียบ ต่อไปยาวสัก 4 ฟุต ไว้สำหรับจับเวลาเดิน ใช้ไม้คู่หนึ่ง  ใช้แทนรองเท้าได้เลยครับ
............ การใช้งานเหยียบขาซ้ายขวาบนแขนงไม้ขาโถกเถก พยายามทรงตัวไม่ให้ล้มแล้ว ค่อย ๆ ก้าวเดิน เหมือนหัดจักรยาน  จนรู้จังหวะยก ก้าว ลง ยังกะเดินจงกรม แรก ๆ หัดเดิน  ให้ชำนาญก่อน แล้วค่อยหัดวิ่ง เพราะเขาแข่งขันการวิ่งด้วยขาโถกเถกกัน 

วิธีการเล่นแข่งวิ่งไม้โถกเถก
................ จัดทีมแข่งโดยใช้กลุ่มอายุ หรือจัดกลุ่มเด็กชาย หนุุ่ม ๆ  เด็กหญิง สาว ๆ  ความสูงต่ำต่างกันไม่เกี่ยง เพราะต่ำคล่องตัวกว่า  สูงก้าวยาวกว่า แข่งกันได้ แข่งกันคราวละ 5 - 10 คนกติกา เหมือนการวิ่ง 80 เมตร เริ่มต้นจะขีดเส้นตรงให้ประจำที่  กรรมการให้สัญญาณ ไปได้ค่อยขึ้นขี่ไม้โถกเถก ออกเดินหรือวิ่งไปยังเส้นชัย ระยะทางประมาณ 30 เมตร ใครถึงก่อน โดยไม่ล้มคือผู้ชนะ ได้สิทธิ์ เขกหัวเข่าคนแพ้ แต่ละสนามมีการแข่งกันหลายสิบรุ่น ที่ สนุกมากคือสนามรุ่นผสม หนุ่มสาวเขาท้าทายกัน แต่เห็นสาวชนะทุกที  มารู้ทีหลังว่า หนุ่มมันอยากให้สาวตีเลยแกล้งแพ้ คนรุ่นโบราณก็ชีกอเป็นนะฮ้า  
-----------------
ข้อเขียนเดิม นำมาเก็บไว้ที่บลอก
ขุนทอง ตรวจทาน 1/8/59