วันศุกร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2561

ไปโรงพยาบาลประสาท



.......19 มกราคม 2561 คุณยายจะไปพบหมอที่ สถาบันประสาท วิทยา กรุงเทพ ฯเพราะมีอาการปวดที่ปลายประสาท ก็ถามว่าทำไมอยู่ดี ๆ ก็จะไปโรงพยาบาลประสาทไม่ได้บ้าซักหน่อย เลยโดนซะชุดใหญ่ บ้ากับโรคประสาทมันไม่เกี่ยวกันนะ ทุกคนต่างก็มีประสาทกันทั้งนั้น ถ้าไม่มีประสาทมันก็ไม่มีความรู้สึก เข้าใจไหม....ประสาทน่ะอายุมากขึ้นมันก็เสื่อมได้ เจ็บปวดได้ หมอที่เชียวชาญทางโรคประสาทเขาจะแนะนำและให้การรักษาได้ อืมหายง่วงไปเลย ก็ขอโทษยายแล้วกัน จะไปเป็นเพื่อนอยู่แล้วน่าก็ตกลงคุยเรื่องเดินทางดีกว่า
......ไปกรุงเทพฯ ไม่เอารถไปนะ เพราะรู้สึกเบื่อ ๆ ขับรถเข้าไปกรุงเทพฯ โดยเฉพาะแถวรามานี่ ไปสาย ๆหาที่จอดรถยากมาก ยายเห็นด้วยตกลงไปรถตู้กันตื่นตีสี่ พร้อมก็ตีห้า ลูกสาวเอารถคันใหญ่ไปส่งที่สถานีขนส่งฉะเชิงเทรา คิวรถตู้ที่จะไปกันจอดที่นั่น ไปถึงมีรถออกพอดี เรียกให้รอเขาบอกรถเต็มให้ไปคิวถัดมา ครู่เดียวรถคิวถัดมาก็วิ่งมาจอดและให้ผู้โดยสารขึ้น รอไม่ถึงสิบนาที เต็มทุกที่นั่ง ก็ออกปลายทางคือ มีนบุรี เคยไปสองสาม ครั้ง ก็เลยหลับเพราะตื่นเช้าเกินไป ปล่อยให้รถพาไป มาตื่นก็เข้า เขตมีนบุรีแล้ว ถนนรามคำแหง เลี้ยวขวาไปมีนบุรี ไม่นานก็จอดให้ลง บอกหมดระยะแล้วลงได้ อ้อค่าโดยสารช่วงนี้สี่สิบบาท
.......เดินต่อไม่ถึง 50 เมตรก็เป็นสถานีรถตู้มีนบุรี ไปอนุสาวรีย์ชัย กับสวนจตุจักร รถจอดอยู่คนละฟากทางเข้าสถานี ขวามือไปที่จตุจักร ซ้ายมือไปอนุสาวรีย์ ผู้โดยสารไปอนุสาวรีย์เข้าแถวน่ารักดี พอรถมาจอดก็เดินขึ้นรถ 12 ที่นั่ง เต็มก็ออก รอคิวถัดไปไม่ถึงสิบนาทีมาแล้ว ไม่มีกระเป๋าเก็บค่าโดยสารนะ เขาใช้กล่องอัตโนมัติแทน เป็นกล่องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ส่งให้ต่อ ๆ กัน คนละสามสิบบาท ครบแล้วคืนมาให้คนขับ ครบ360 ก็ใช้ได้ เคยชม ญี่ปุ่นหยอดตู้เก็บเงินบนรถเมล์ เจอของไทยเจ๋งกว่า ช่วยให้คนมีวินัยดีมาก ๆ เลย ช่วงจากมีนบุรีไปอนุสาวรีย์ ไม่รู้วิ่งถนนอะไรบ้าง จำไม่ได้ ไม่เหมือนเราขับเอง ก็เลิกสนใจ เปิดโทรศัพท์มือถือดูเนวิเกเตอร์แทน แรกบอกประมาณ 81 กิโลเมตร ทิ้งช่วงเวลาจากหกโมงครึ่งถึงเจ็ดโมงครึ่ง ดูใหม่เหลือ 30 กิโลเมตร สังเกตรถติดตลอดมาถึงอนุสาวรีย์ก็สองโมงเศษแล้ว
.......เดินออกจากท่ารถก็เห็นอนุสาวรีย์ชัย ฯ จะไปรถแท็กซี่เรียกยากโบกหลายคัน มันไม่จอดรับ แหมแต่งตัวสวยยังกะคุณนายทำไมไม่จอดรับนะ...ก็เลยบอก ว่าอย่าไปเรียกรถที่เขาไม่ได้เปิดไฟป้าย"ว่าง" เพราะแสดงว่ามีผู้โดยสารแล้ว ไม่นานรถมีไฟว่าง วิ่งมาโบกทีเดียวได้เลย คนขับอายุห้าสิบเศษยายสัมภาษณ์เอง เราฟังก็รู้สำเนียงบ้านเฮา ก็ไม่อยากคุยด้วยกลัวเขาจะรู้ว่าบ้านเดียวกัน เดี๋ยวจะเรื่องยาว ไปไม่ถึง 500 เมตรเองก็ถึงทางเข้าสถาบันแล้ว ให้แกเลือกจอดตามสบาย จอดไหนเราก็ลงที่นั่นแหละ47 บาท ค่าแท็กซี่ เราลงตรงหน้าโรงอาหารพอดี กำลังหิว ยายอุทานดีใจนึกว่าอะไร ที่แท้วันนี้มีตลาดนัด พ่อค้าแม่ค้าขายของตรึม ลิ่วจะไปตรวจตลาด แหมยายสองโมงเศษหิวมากแล้วกินก่อนน่ายายค่อยมาเดินตรวจทีหลัง
.......ขึ้นไปบนอาคารโรงอาหาร คุ้นเคยดีมาทานหลายครั้งแล้ว คุณจ้อให้ตั๋วคนละ100 ไปแลกเกาเหลาเลือดหมูเจ้าเก่า ชุดละ 40 บาท นั่งก่อนยาย ครู่หนึ่งยายเอามาอีกชุด สงสัยนึกไม่ออกจะกินอะไร เลยมาลงเกาเหลาเหมือนกัน น้ำเปล่าอีกสองขวด ครบแล้วอาหารเช้า ความจริงโรงอาหารเขามีสิบกว่าร้าน อาหารตามสั่ง ก๋วยเตี๋ยว ข้าวราดแกง ร้านอาหารอีกสาน(ส้มตำ แกงอ่อม ลาบ ไก่ย่าง) ยังเช้าอยู่เลยเว้นไว้ก่อน เสร็จทานอาหารก็เกือบสามโมง เพื่อนยาย คุณ จ้อ เดินมาหาบอกว่าเตรียมการรับการตรวจไว้ให้ได้คิวที่สอง โหสุดยอด แต่ไม่แปลกใจนะ เพราะเขาเคยเป็นพยาบาลทำงานอยู่ที่นี่ แถมยังเป็นคนใจดีชอบบริการเพื่อนฝูง ขอบคุณมากจริง ๆ
.......ขึ้นไปตึกตรวจคนไข้ ก็เหมือนโรงพยาบาลทั่วๆไป ให้วัดน้ำหนัก ความดัน ปรากฏว่าความดันยายสูงไปหน่อย ต้องรอวัดอีกรอบ จึงค่อยได้เข้าพบหมอ เห็นนานเลยลงไปเข้าห้องน้ำ เดินเล่นไปมามีโทรศัพท์บอกว่ายายกำลัง รอรับยาหน้าห้อง 13 ก็เลยรีบขึ้นไปชั้นสอง ครู่เดียวยายก็ได้ยาเมื่อสี่โมงเศษ มีเวลาตรวจการตลาดนัดเต็มที่ ก็เชิญกันตามสบาย ชอบชอปทั้งคู่หอบหิ้วกันเต็มมือ ออกไปรอแทกซี่หน้า รามา นานมากกว่าจะเรียกได้ เพราะไปแค่อนุสาวรีย์ ใกล้เที่ยงด้วย คนเรียกเยอะด้วย คนขับบอกว่าช่วงเวลานี้ผู้โดยสารเยอะ ใกล้ ๆ ไม่อยากรับกัน ค่าแทกซี่เท่าขามา 47 บาท พวกเราไปลงรถหน้าศูนย์การค้าเซ็นจูรี
........ช่วงพักเที่ยงคนเยอะร้านอาหารอร่อย ไม่แพง นักเรียนนักศึกษาชอบมาทานกันเขาบอก ท่าจะจริง คุณจ้อนำทางไปร้านก๋วยเตี๋ยว คนแน่นมากคงจะอร่อย คนรับแขกหน้าตาคุ้น ๆ สำเนียงบ้านเฮา คุยไปคุยมาจำได้ ภรรยาเขาเป็นกลุ่มเพื่อนยายนักเรียนพยาบาล พปก.จันทบุรีนั่นเอง เมนูก๋วยเตียวเรือของแท้สูตรดั้งเดิม สมัยไปเดินซื้อหนังสือริมคลองหลอด ใกล้ศาลพระแม่ธรณี จะมีร้านก๋วยเตี๋ยวชามละ 5 บาท อร่อยมาก ไปทีไรซัดสองชามประจำ หลังจากนั้นปิดตลาดนัดสนามหลวง ก๋วยเตียวเรือก็หายไปด้วย มาโผล่ที่อนุสาวรีย์ ได้ลองอีก รสเดียวกัน วันนี้ได้กินก่วยเตี๋ยวเรือรสแบบนั้นอีกก็อดคิดถึงความหลังไม่ได้ น่าเสียดายกินอิ่ม ไม่เก็บตังค์ซะนี่ ก็ได้แต่ขอบพระคุณมาก ๆครับ ไปอีกจะแอบไปอุดหนุน เมนูราคา 16 บาทชามเล็ก 30 ชามใหญ่
........อิ่มอร่อยก็ออกมาเจอแผงขายเสื้อผ้าราคาไม่แพง120 150 200 250 ป้ายที่ปิดไว้สองคนเดินตรวจใหญ่เลย ไปเจอกางเกงยักษ์ เอว 48-50 นิ้ว โคนขา 40 เซ็นต์ ยายเลือกมาหลายตัว คงเอาไปฝากลูกหลานที่เขาใช้ขนาดพิเศษพวกนี้ได้ของชอบแล้วก็ออกมา คุณจ้อนำมาส่งถึงท่ารถตู้ไปมีนบุรี ขึ้นรถแล้วก็ลากลับ ขอบพระคุณมากนะครับมากรุงเทพ ฯทีไรก็รบกวนทุกที ไปทรวงอกก็เจอ มาทางสถานบันประสาทก็เจอน้ำใจไมตรีเหลือล้นจริง ๆ
.......ออกจากอนุสาวรีย์ชัย ฯ รถวิ่งทางเดิม อ้อ..ถนนสาย 304 มาลงมีนบุรี ถามหาท่ารถไปฉะเชิงเทรา เข้าชี้ไปแถวคนยืนข้างถนน เข้าใจแล้วตอนเช้าก็เห็นที่ท่ารถตู้ที่จะไปอนุสาวรีย์ อยู่ฟากทางฝั่งโน้น ขากลับเขาให้ผู้โดยสารยืนรอที่ ฟุตบาท เข้าแถวกันนึกว่าซื้อของกิน กลายเป็นผู้โดยสารประมาณ 15 คน ถามหารถไปฉะเชิงเทรา เขาบอกให้ไปต่อท้ายแถวได้เลย ถามพ่อหนุ่มที่ยืนแถวอยู่ เขาบอกจะไปแปดริ้วเออ ใช่แน่ ไม่นานก็มีนายท่าเดินมานับ 12 คน บอกให้เดินตามเขาไป เห็นพาเลี้ยวขวาลับหายไป สักห้านาที นายท่ามานับอีก 12 คน มีคนเพิ่มแต่เมื่อไรไม่รู้ พาไปส่งรถ... เราถึงขนส่งฉะเชิงเทรา ห้าโมงเศษ ต่อสามล้อตุ๊ก ๆ ถึงบ้านเกือบหกโมง เหนื่อยเอาการ ยายขอหลับ แต่เราไม่เคยหลับหัวค่ำ เลยมานั่งเขียนบันทึกจนเมื่อยมือ จบแล้วครับ

วันจันทร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2561

ระลึกถึงพระคุณคร


......เรามี พระราชบัญญัติครู พุทธศักราช 2488 เป็น พรบ.ครูฉบับแรก ซึ่งได้มีการประกาศใน
ราชกิจจานุเบกษาวันที่  16 มกราคม 2488 สมัยจอมพล ป.พิบูลย์สงครามเป็นนายกรัฐมนตรี
เคยปราศัยต่อสภาครูตอนว่าว่าควรมีวันสำคัญสำหรับครูให้คนทั่วไปได้ระลึกถึงพระคุณของครู
สภาครูเห็นด้วยและได้เลือกวันประกาศใช้ ในราชกิจจานุเบกษา คือ  16  มกราคม   2488
 และเลือก 16 มกราคม เป็นวันครู กระผมจำได้ดี เพราะผมเกิดก่อน 1 ปี 2487 ปีถัดมา ก็มี
 พรบ.ครู  พอมาถึง 16 มกราคม ปี 2561 นี้อยากเขียนถึงครูบ้าง
......คุณครูคู่แรกของกระผมคือพ่อและแม่ แม่สอนหนักมากตั้งแต่แรกเกิดเลย สอนการกินการ
ดื่ม ขับถ่ายสอนการเดินไปมา สอนพูดจา กิริยามรรยาท การอยู่ร่วมกันในสังคมครอบครัว เพื่อน
บ้าน ญาติพี่น้อง สอนมากจริง ๆ กระทั่งมีครอบครัวก็ยังไม่เลิกสอน ส่วนพ่อจะสอนหนักไปทาง
การทำการงานทำสวน ทำไร่ ทำนาสอนการทำมาหากิน สอนวิชาช่างฝีมือ ยังจำภาพสมัยวิ่งตาม
พ่อไปสวนผัก แย่งจอบกับพวกพี่ ๆ ขุดแปลงผักไปไร่ฝ้าย แย่งกันเก็บหญ้าที่คราดมันหลุดจาก
ก้อนดินไถก่อนจะหยอดเมล็ดฝ้าย ข้าวโพด พ่อสอนด้วยการให้ลงลุยในแปลงงาน ไม่ได้ห้าม แต่
จะดุเอาเมื่อเล่นปาก้อนดินใส่กัน ก็มันซนนี่ครับ สรุปว่าเราได้ ความรู้จากครูคู่นี้มากมาย จะนำ
มาบรรยายก็คงไม่รู้จบ
......ครูกลุ่มถัดมาเป็นพี่สาวพี่ชาย นายบัวทอง ศรีประจง เกิดปีมะโรง ผมปีมะวอก พี่ทุม หอม
จันทร์ ปีมะขาล พี่ชายแกอวดปีมะโรง เทวดางูใหญ่เชียวนะ เราก็อยากเกิดปีมะบ้าง เขาเลย
บอกเอาใจว่าปีมะของแกน่ะมันมะวอก พี่สาวก็เป็นมะขาลไป สองคนนี่เขาเรียนเก่งทั้งคู่ ลายมือ
สวย ผม 5 ขวบ ใกล้เกณฑ์บังคับเข้าเรียน(6ปี) เขาบอกควรฝึกอ่านเขียนไว้ก่อน ไปเรียนจะได้
ทันเพื่อน เขามีกระดานชนวน ดินสอปูน ดินสอหิน ให้ฝึกเขียนและอ่าน สนใจมากที่ได้เขียน
กระดาน เขียนทีละตัวแล้วก็อ่านชื่อมันให้เขาฟัง ไปๆมาๆ จำได้เขียนได้ ตอนอายุ 5 ขวบเอง
........คุณครูประถม ชื่อ บุญชู เป็นเพื่อนพ่อ มาเยี่ยมบ้านบ่อย เพราะที่บ้านขายเหล้า วันหนึ่งมา
เจอพวกเราสอนอ่านเขียนกันก็ชอบใจ ให้ลองอ่านเขียนให้ดู แกชอบใจบอกว่ามันอ่านเขียนได้ดี
กว่าพวกเกณฑ์ไปเรียนซะอีก เอาไปฝากเรียนได้แล้ว นั่นเองสาเหตุที่เข้าเรียนก่อนเกณฑ์ 1 ปี
ครูให้เป็นผู้นำเพื่อนอ่านเขียน กลายเป็นฮีโร่ของห้องไปเลย ผลการเรียนดีมากแต่ปีแรกเรื่อยมา
จนจบ ป. 4 ครูทุกคนชอบเพราะสอนง่าย ได้ที่ 1 ยืนตลอดทุกครั้งที่มีการสอบ อ้อวิชาที่คะแนน
แย่มากคือวาดเขียน คะแนนไม่เคยเกินครึ่ง จาก 10 คะแนน
........ครูมัธยมต้น มีครูประจำชั้น 1 คน ชื่อบุญล้อม ดุมาก เจ้าระเบียบ รักความสะอาด มีครูสอน
รายวิชาแปลกดี ตอนเรียนประถมครูประจำชั้นแกสอนได้ทุกวิชา ครูบุญถมสอนคณิตศาสตร์ ครู
เกษมสอนอังกฤษ ครูใหญ่สอนสังคม ครูเพ็ญสอนสุขศึกษา โรงเรียนราษฏร์ อยู่ที่อำเภอห่างบ้าน
7 กม. สนุกที่ได้ไปเรียน แต่ไม่สนใจเรียนนัก เลยไม่ค่อยคุ้นเคยกับครู คุ้นเคยกับเพื่อน ๆมาก
กว่า แต่ผลการเรียนยังดีอยู่นะ ที่ 1 ทำได้ประจำ แสดงว่าครูสอนดีมาก เอาแต่เล่นยังสอบได้
คะแนนสูง ๆ ชอบเล่นจริง ๆ นะ เดินไปเรียน มีเพื่อนอีกสอง วันหยุดทำหมากจิ้งล้อกัน เอาท่อน
ไม้มาเลื่อยทำเป็นล้อรถ เจาะรูใส่เพลาแกนกลาง ไม้ไผ่ผ่าคีบเป็นตะเกียบ ด้ามยาวพาดบ่า ไสให้
มันวิ่งคนก็วิ่งตาม กระเป๋ามัดห้อยด้ามไว้ วิ่งห้อจากบ้านไปเรียน 7 กม. สนุก เหนื่อยไหม ไม่ทัน
เหนื่อยหรอก ผ่านป่า ดงผักหวาน ดงจ๊กจั่น มดแดง อีลอก ดอกกะเจียว สนุกจนแทบจะไปเรียน
ไม่ทัน แต่ขากลับนี่มืดค่ำกว่าจะถึงบ้าน โดนเอ็ดทุกวัน
........ครูมัธยมปลาย ได้เรียนที่เกษตรชัยภูมิ 3 ปี ปี 2501-2503 จบ มีนาคม 2504 เป็นนักเรียน
ประจำ ชายล้วน ที่พักฟรี อาหารสามมื้อฟรี เห็นว่าเพื่อให้คนไปเรียน จบแล้วจะได้ไปสอบบรรจุเป็น
เกษตรตำบล ขาดมาก ครูจะเป็นทั้งครูสอนวิชาในห้องเรียน และเป็นครูฝึกปฏิบัติงานภาคสนาม
นักเรียนต้องทำงานภาคสนามเช้า เย็น เว้นวันอาทิตย์ แต่ยังมีพวกอยู่เวรทำงานประเภทเลี้ยงเป็ด
ไก่ หมู วัว ควายและปลา ครูประจวบสอนอังกฤษและคุมหอพัก ครูใหม่พักกับนักเรียน ครูอากาศ
สอนคณิตศาสตร์ อนุญาติให้ส่งสมุดแบบฝึกหัด ล่วงหน้าได้เป็นเทอม ปกติมี แบบฝึกละ 10-12
ข้อ ครูให้เลือกทำ 5 ข้อ แต่เราทำหมดทุกข้อ ครูเรียกไปพบเลยบอกครูชอบแก้โจทย์คณิตศาสตร์
มีเล่มหนึ่งทำเสร็จล่วงหน้าไปก่อนครูสอน ครูให้เอาไปส่งจะดูให้  ครูบุญล้อมสอนพละ คนนี้แหละ
จับเราไปเข้าค่ายฝึกซ้อมและให้เล่นกีฬากรีฑามากมายหลายประเภท ที่ดังมากก็ฟุตบอล กัปตัน
รุ่นกลาง ผู้ช่วยกัปตันรุ่นใหญ่ ครูสอนเกษตรมากมายหลายท่าน จดจำได้ดีครับ จับจอบฟันดิน
เพื่อปลูกปอแก้ว ปลูกข้าวโพด ท่ามกลางแดดจ้า ลงลุยน้ำร่องสวนลอกผักตบชวา ได้ปลาเต็มถัง
เด็ดใบกระถินไปตากแห้งไก่มันชอบ กิจกรรมเยอะแยะจริง ๆ
........ครูชาวบ้านได้เรียนรู้วิชาชีพต่าง ๆมากมาย ทำกี่กระตุกทำเครื่องจักสาน ถักทอทำแห สวิง
สะดุ้งหรือยกยอ ตาข่ายดักนก สานหวด มวย กระติ๊บ ตะกร้า ครุ กระด้ง ลอบ ไซ ทำไถ คราด ครู
กลุ่มนี้มีทั้งญาติพี่น้องในครอบครัว ในตระกูล และเพื่อนบ้าน สนใจช่างไหนก็ไปหาขอให้แนะนำ
ส่วนมากตกลงยินดีสอนให้ เว้นแต่ไม่ว่าง คนชอบเรียนอย่างกระผมมีโอกาสไม่พลาดหรอก
.........ครูพระ ผมไปบวชอยู่ 7 พรรษา ได้รับการสอน แนะนำ มากมายจากอุปัชฌาย์อาจารย์ จาก
เพื่อนที่มีความรู้ประสบการณ์มากกว่าเรา ไปอยู่ไหนก็มีครูอาจารย์มากมาย ได้เรียนนักธรรมตรี
โท เอก ได้เรียนบาลี ประโยค 1-2 -3 และ 4 ได้เรียนเทศน์หกกษัตริย์  เทศน์ปุจฉาวิสัชนา มีครูที่
เคารพนับถือไม่น้อยเช่นกัน
.........ครูสอนงาน เอาเฉพาะงานราชการแล้วกัน ได้เรียนการปฏิบัติหน้าที่ครูในโรงเรียน เป็นครู
ผู้สอนหน้าที่ครูพิเศษที่จำเป็น เรียนทำงานธุรการ เรียนทำงานห้องสมุด เรียนทำงานแนะแนว เรียน
ทำงานวัดผลประเมินผล เรียนทำงานนิเทศน์ เรียนทำงานวิจัย ทุกงานที่เรียนทำได้ด้วย สอนคนอื่น
ได้ด้วย แบบว่าคนมีครูจริง ๆ
.........ครูออนไลน์ เกษียณแล้วแต่กระผมหยุดเรียนไม่ได้ ชอบศึกษาหาความรู้ มีข้อสงสัยใคร่รู้เรื่อง
ใด ๆถามครูออนไลน์ได้ตลอดเวลา พระไตรปิฏกออนไลน์ก็มี พจนานกรม ปทานุกรม ออนไลน์มี
ให้เราใช้ ก็เป็นเหมือนครูแหละครับ ครูจริง ๆเรายังไม่กล้าถามบ่อยแบบนี้ ตอนนี้พึ่งครูออนไลน์
มากครับ
.........เขียนถึงครูยาวแล้ว แต่ไม่ครบหรอก พวกครูพักลักจำยังมีอักมาก อย่างไรก็ดี โอกาสวันครู
เวียนมาถึง ได้แต่ตั้งใจขอศีลขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยอำนวยพรให้ครู มีความสุขความเจริญ ก้าวหน้า
ในชีวิตราชการ  เกษียณแล้วก็ขอให้เป็นครูที่ดีของสังคม ชุมชนตลอดไป แม้ล่วงลับไปแล้วก็ขอ
ให้ครูมีภพภูมิที่ดีงาม สมเกียรติของครูผู้สร้างคนนับเป็นบุญกุศลที่มากด้วยคุณค่ามหาศาล สาธุ





วันเสาร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2561

สังสาระ-ภพภูมิ




...........มีคนสนใจถามเรื่องภพภูมิตามคติชาวพุทธที่เชื่อกันว่ามีอยู่ มันมีอะไรบ้าง ถามยังกะเราไปท่องเที่ยวมา ถึงจะเคยไป ก็จำไม่ได้หรอกว่าไปไหนมาบ้าง พอบอกได้ชัด ๆ มีแค่ สองภพเองคือ มนุษย์ กับ เดรัจฉาน นอกนั้นไม่รู้จริง ๆ อยากรู้ก็จะลองหาความรู้จากตำรับ ตำรา เช่นตำนานพระสุเมรุจักรวาลของศาสนาพราหมณ์ แม้ชาวพุทธก็มีความเชื่อคล้าย ๆกัน พอดีไปพบรูปเขาพระสุเมรุ ที่เขียนตามความเชื่อเรื่องจักรวาล เห็นว่าช่วยให้เข้าใจเรื่องภพภูมิ ต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น จึงของคัดลอกมาแสดงไว้ด้วย สำหรับภพภูมิต่าง ๆ จากสูงสุด ไปหาต่ำสุด ได้แก่......
อรูปพรหม 4 ชั้นชื่ออะไรบ้าง (สำหรับผู้มีคุณธรรมระดับ อรูปฌาน)
ชั้นที่ 20 เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ
ชั้นที่ 19 อากิญจัญญายตนภูมิ
ชั้นที่ 18 วิญญาณัญจายตนภูมิ
ชั้นที่ 17 อากาสานัญจายตนภูมิ
รูปพรหม 16 ชั้นชื่ออะไรบ้าง
ชั้นที่ 16 อกนิฏฐสุทธาวาสภูมิ
ชั้นที่ 15 สุทัสสีสุทธาวาสภูมิ
ชั้นที่ 14 สุทัสสาสุทธาวาสภูมิ
ชั้นที่ 13 อตัปปาสุทธาวาสภูมิ
ชั้นที่ 12 อวิหาสุทธาวาสภูมิ
ชั้นที่ 11 อสัญญีสัตตาภูมิ
ชั้นที่ 10 เวหัปผลาภูมิ
ชั้นที่ 9 สุภกิณหาภูมิ
ชั้นที่ 8 อัปปมาณสุภาภูมิ
ชั้นที่ 7 ปริตตสุภาภูมิ
ชั้นที่ 6 อาภัสราภูมิ
ชั้นที่ 5 อัปปมาณาภาภูมิ
ชั้นที่ 4 ปริตรตาภาภูมิ
ชั้นที่ 3 มหาพรหมาภูมิ
ชั้นที่ 2 พรหมปุโรหิตาภูมิ
ชั้นที่ 1 พรหมปาริสัชชาภูมิ
ฉกามาพจรสวรรค์ 6 ชั้น
...6..ปรนิมมิตตวสวตีภูมิ สวรรค์ชั้นที่ 6
...5..นิมมานรติภูมิ สวรรค์ชั้นที่ 5
...4..ดุสิตาภูมิ สวรรค์ชั้นที่ 4
...3.ยามาภูมิ สวรรค์ชั่นที่ 3
...2..ดาวดึงส์สวรรค์ชั้นที่ 2

....05..วิถีโคจรดวงอาทิตย์และดาวนพเคราะห์
....1.จาตุมมหาราชิกาสวรรค์  (สวรรค์ชั้นนี้ เขาลงไว้ต่ำกว่าวงโคจรของสุริยะ)
....04.กลุ่มเขาสัตตบริภัณฑ์
....03. มนุสสภูมิ-ชมพูทวีป(มีดิรัจฉานภูมิซ้อนอยู่ด้วย)
....02. มหานทีสีทันดรสมุทร
....01..นรกใหญ่ 8 ขุม (ขาดไป 2 ภพภูมิคือ เปรตและอสุรกาย เล่าว่าเป็นสองภพที่ซ้อนอยู่กับมนุษย์ภพ เหมือนเดรัจฉานภพ ที่มีตัวอย่างเปรตญาติพระเจ้าพิมพ์พิสารเป็นต้น)
.......3.1..สัญชีวนรก (มีโลกียนรกบริวาร 4 ทิศ ทิศละ 10 รวม 40 ขุมนรก)
.......3.2..กาฬสุตตมหานรก (มีโลกียนรกบริวาร 4 ทิศ ทิศละ 10 รวม 40 ขุมนรก)
.......3.3..สังฆาฏมหานรก (มีโลกียนรกบริวาร 4 ทิศ ทิศละ 10 รวม 40 ขุมนรก)
.......3.4..โรรุวมหานรก (มีโลกียนรกบริวาร 4 ทิศ ทิศละ 10 รวม 40 ขุมนรก)
.......3.5..มหาโรรุวมหานรก (มีโลกียนรกบริวาร 4 ทิศ ทิศละ 10 รวม 40 ขุมนรก)
.......3.6..ตาปนะมหานรก (มีโลกียนรกบริวาร 4 ทิศ ทิศละ 10 รวม 40 ขุมนรก)
.......3.7..มหาตาปนะมหานรก (มีโลกียนรกบริวาร 4 ทิศ ทิศละ 10 รวม 40 ขุมนรก)
.......3.8..อเวจีมหานรก (มีโลกียนรกบริวาร 4 ทิศ ทิศละ 10 รวม 40 ขุมนรก)

....2. กลุ่มเขาตรีกูฏ หรือภูเขาสามยอด ล้อมที่ฐานเขาพระสุเมรุ
....1. ล่างสุดเป็นรูปปลาอานนท์ มีกำแพงจักรวาลวางบนหลังปลา

------------------------------ 
........การท่องเที่ยวไปในสังสารวัฎฏะของสรรพสัตว์ จะวนเวียนในภพภูมิต่าง ๆ โดยอาศัยกุศลกรรม  และอกุศลกรรมเป็นปัจจัยนำพาไป หลังจากสิ้นอายุที่อยู่ในภพถูมินั้น ๆ เช่นอยู่ในมนุษยภูมิ อายุขัยประมาณ 120 ปี ตายลง บาปบุญก็จะนำไปสู่ภพภูมิอื่น สมมติไปอยู่ที่ นรกชั้น สัญชีวะ จนดับ ชีพ บาปบุญที่มีก็ส่งผลให้สังสาระ ไปภพภูมิอื่นอีก อาจท่องอยู่ในนรกขุมอื่น ๆ อีกก็ได้มีมากมายมีอีกถึง 320 ขุม ท่องไป กันจนจำไม่ได้เลยทีเดียว ส่วนมนุษยภูมิ มีเดรัจฉานภูมิซ่อนอยู่ด้วย จาก นั้นก็ไปภพภูมิที่สูงขึ้นตามเหตุปัจจัยที่มี ตั้งแต่สวรรค์ชั้นที่ 1-6 สูงขึ้นก็รูปพรหม 16 ชั้น และ อรูปพรหมอีก 4 ชั้น ที่สุดแล้ว

 ......การวนเวียนจะสิ้นสุดได้ยาก เพราะต่างมีเหตุปัจจัยคือกิเลสตัณหา เป็นตัวนำให้ไปเกิดในภพภูมิต่าง ๆ ถ้ากิเลสตัณหาฝ่ายไม่ดีได้แก่อกุศลแรงกว่า ก็ท่องไปในทุคติ เช่นนรก 328 ขุม ถ้าฝ่ายกุศลแรงกว่า ก็ไปฝ่ายสุคตินับแต่มนุษยภูมิขึ้นไป จนอรูปพรหม แล้ว เมื่อไรจะหยุดท่องสังสารวัฏฏะนี้ได้ ก็ต้องตามรอยพุทธองค์สิ พระองค์ค้นพบว่า มีเหตุปัจจัย ที่ทำให้เกิดหรือท่องไปไม่สิ้นสุดคือ สมุทัยอริยสัจ มี 3 ตัวคือ กามตัณหา ภวตัณหา และ วิภวตัณหา มีลักษณะคล้ายพีชในเมล็ดผลไม้ที่ทำให้เมล็ดงอกเป็นต้นพืชได้ ถ้าเมล็ดไม่มี พีช ก็งอกไม่ได้ หรือเหมือนเชื้อในฟองไข่ ที่ทำให้ไข่ฟักเป็นตัวสัตว์ได้ ถ้าตัณหา สามตัวนี้ ดับไป ก็ไม่มีการเกิดได้อีก เรียกนิโรธอริยสัจ 
.......การดับโดยได้นิโรธมีสองวิธีคือ ฟังธรรมเทศนาโดยพระผู้มี บารมีธรรมสูง เช่นพระพุทธเจ้า พระอรรคสาวกเป็นต้น อีกวิธีคือเจริญวิปัสสนา จนบรรลุอริยภูมิ ชั้นอรหัตตผล เรียกว่านิพพานดับตัณหาได้เช่นกัน การท่องสังสารวัฏฏะก็หยุด เพราะไม่มีตัวจะนำให้เกิด
.......ผมเขียนเรื่องนี้เพื่อแสดงให้เห็นว่าภพภูมิต่าง ๆที่พูดถึงกันมีอะไรบ้าน และอยากให้สังเกต ว่าไม่มีชื่อ นิพพาน ในสาระบบ เพราะนิพพานเป็นเรื่องเฉพาะตัว ท่านที่บำเพ็ญสมณธรรม ถ้าประเภทสมถะบรรลุฌานสมาบัติ ก็สามารถไปถึงพรหมภูมิต่าง ๆ ถ้ายังไม่หยุดบำเพ็ญก็มี การพัฒนาภูมิธรรมสูงขึ้น ท่านที่เข้าถึงอริยภูมิต่ำกว่าอรหันต์ จะไม่ไปอบายภูมิ จะไปยังสุคติชั้นต่าง ๆ เท่านั้น ส่วนอรหันต์ตัดเชื้อคือ 3 ตัณหาหมดสิ้นแล้ว เป็นเมล็ดที่เชื้อไม่สามารถเพาะให้งอกได้ เป็นไข่ไม่มีเชื้อ ฟักไม่เป็นตัวได้ ก็จบสังสารวัฏฏะ ของท่านไป 

.......มีคำถามตามมาว่า พระอริยบุคคล ที่ยังไม่บรรลุอรหันต์ ต้องท่องไปในสังสารวัฏฏะไหม  ครับท่าน ยังไม่บรรลุอริยสัจ ยังไม่นิโรธตัณหา 3 เด็ดขาด ก็มีสิทธิ์สังสาระในวัฏฏะได้เช่นกัน ไปตรวจสอบกับคุณสมบัติพระอริยบุคคล มีกล่าวไว้ว่า ท่านจะมีภาษี ดีกว่าคนทั่วไป แค่บรรลุโสดาบัน ท่านก็ปิดอบายภูมิ 4 ได้หมดแล้ว ที่ไปของท่านก็เป็นสุคติล้วน ๆ บางท่านนอกจากมีคุณธรรมอริยะแล้วยังมีภูมิธรรมสมถะ มีฌานสมาบัติ ก็เป็นปัจจัยให้ท่องไปพรหมภูมิได้
........นิพพานสายเถรวาทแบบบ้านเราดับตัณหา 3 ประการ ได้จึงเกิดนิโรธอริยสัจ เลยไม่มีภพภูมิให้ไปถึง ส่วนทางมหายานทราบว่า มีภพภูมิที่อยู่ของพระอรหันต์ พระโพธิสัตว์ ถึงจะมีบางท่านอ้างไปถวายภัตตาหารพระพุทธเจ้า ก็ทำให้ฮือฮาไปพักหนึ่งแล้วก็เงียบไป 
........หมายเหตุ ภาพประกอบได้จากกูเกิล เห็นว่าเข้ากับเนื้อหาเรื่องภพภูมิได้ดี เลยนำมาแทรกไว้ เป็นภาพพระสุเมรุ ที่พระอิศวรผู้สร้างโลกเนรมิตขึ้นมา วางอยู่บนหลังปลาอานนท์ ขอบจักรวาลลอยบนหลังปลา ภพภูมิต่าง ๆ ซ้อนกันอยู่เป็นชั้น ๆ จากต่ำไปหาสูงสุด










วันเสาร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2561

ไปนิพพานได้ จริงหรือ







------------------------
.......ชาวบ้านอย่างเราที่นับถือพุทธศาสนาเคยได้ยืนชื่อ นิพพานและเข้าใจ ว่าเป็นจุดหมายสูงสุดของการปฏิบัติธรรม ตราบใดที่ยังไม่บรรลุนิพพาน ก็ยังต้องเวียนว่าย ตายเกิดและสั่งสมบุญกุศลกันเรื่อยร่ำไป ดังนั้นเวลาทำบุญทำทานมักได้ยินคำปรารถนาว่า ขอให้ได้เข้าสู่พระนิพพาน ในอนาคตกาลโน้นเทอญ ฯ ได้ยินบ่อย ๆครับ มาลองศึกษาดูกันว่า พระนิพพานที่อยากไปให้ถึง เป็นอย่างไร
.......นิพพานโดยความหมายศัพท์ หมายถึงความดับสนิท แห่งตัณหา ได้แก่กามตัณหา ภวตัณหาและวิภวตัณหา สามตัณหานี้คือตัวสมุทัยในอริยสัจ 4 สมุทัยนี่เองท่านกล่าวว่าเป็นเหตุให้เกิดทุกขต่าง ในทุกขอริยสัจ เมื่อดับสมุทัยนี้ได้ท่านเรียกว่า นิโรธ ใน อริยสัจ 4 เมื่อนิโรธได้ท่านเรียกว่า ดับกิเลสที่เป็นสมุทัยได้ ก็คือเข้าถึงนิพพาน ดังนั้นนิโรธ จึงเป็นไวพจน์ของคำว่า นิพานนั่นเอง
.......มีคำอธิบายว่านิโรธคือการดับตัณหาที่เป็นสมุทัยอริยสัจ ทุกข์อริยสัจก็ดับด้วยได้แก่ ทุกข์คือ ชาติปิ ทุกขา ชะราปิ ทุกขา มะระณัมปิ ทุกขัง โสกะปะริเทวะทุกขะ โทมะนัสสุ ปายา สาปิ ทุกขา อัปปิเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข ปิเยหิ วิปปะโยโคทุกโข ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา เมื่อไปดูความหมายของนิพพานที่แปล ว่าดับ ดับอะไร ดับกิเลส ได้แก่ตัณหา 3 ดับทุกข์ ก็เป็นความหมายเดียวกันนั่นเองกับ นิโรธ อริยสัจ จากการวิเคราะห์ความหมายของคำว่านิโรธและคำว่านิพพาน แสดงว่าเกิดขึ้นในใจ ของผู้บรรลุอริยสัจนั่นเองไม่ใช่ภพภูมิที่จะต้องดำเนินไปหา หลังจากการตาย ไม่มีบุญกุศล ใดที่ท่านบอกว่านำไปสู่นิพพาน มีแต่บอกว่าทำบุญกุศลมาก ๆ จะได้ไปสุคติคือสวรรค์
บำเพ็ญฌานให้มั่นไว้จะได้ไปยังพรหมโลก ส่วนนิพพานท่านบอกว่าต้องปฏิบัติธรรมจน ได้บรรลุอรหันต์จึงจะเข้าถึงนิพพานขณะที่ยังไม่ตายนั่นแหละ
........นิพพานท่านจำแนกไว้ 2 ประการคือ สอุปาทิเสสนิพพาน คือนิพพานของผู้ที่ยัง มีขันธ์ห้าดำรงอยู่ คือยังมีชีวิตอยู่ กับ อนุปาทิเสสนิพพาน นิพพานของผู้ที่บรรลุนิพพาน มาก่อนแล้วตายไป โดยนัยนี้แสดงว่า พระอรหันต์ทั้งหลายเมื่อท่านบรรลุธรรมระดับสูงสุดชั้นนี้คือดับกิเลสหมดจดแล้ว เป็นพระอรหันต์ ท่านบรรลุสอุปาทิเสสนิพพานแล้วนั่นเอง ต่อมาเมื่อท่านมรณะภาพ เรียกว่าท่านเข้าถึงอนุปา    ทิเสสนิพพาน ดังนั้นการนิพพาน ต้อง นิพพานในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่ตายแล้วค่อยนิพพาน ถ้าตายแล้วค่อยนิพพาน ก็ แสดงว่านิพพานไม่แท้ เพราะยังมีไปต่อหลังจากตาย นิพพานดับตัวสมุทัยคือตัณหา 3 แล้ว ไม่มีเหตุปัจจัยจะทำให้ไปเกิดอีก อนุปาทิเสสนิพพาน ท่านเรียกอาการแตกดับของขันธ์ 5 ของท่านผู้บรรลุสอุปาทิเสสนิพพานมาก่อนแล้ว ไม่ใช่ตายแล้วค่อยไปอนุปาทิเสสนิพพาน แบบ มรณภาพ เรียกการตายของพระ ไม่ใช่พระตายแล้วไปมรณภาพ
.......ทำไมไปนิพพานไม่ได้ เพราะนิพพานไม่มีเหตุปัจจัยที่จะทำให้เกิดอีก กิเลสปัจจัย ตัวสำคัญ 3 อย่างคือกามตัณหา ภวตัณหา และวิภวตัณหา ดับหมดทุกตัวเมื่อปฏิบัติธรรม บรรลุนิโรธอริยสัจ หมดปัจจัยที่จะทำให้เกิด ท่านจึงเรียกว่านิพพาน ชาติปิทุกขา ทุกข์ตัวแรก ในทุกขอริยสัจก็ไม่เกิด ตัวอื่น ๆ  ก็ดับไปโดยปริยาย ดังนั้นการบรรลุนิพพานเป็นการบรรลุ ขณะยังไม่ตายนี่แหละ การตายขณะยังไม่บรรลุนิพพาน ก็เหมือนคนทั่วไป มีสุคติและทุคติ เป็นที่ไป ไม่มีนิพพานให้ไป เพราะนิพพานไม่ใช่ภพภูมิ แต่ถ้าภพหน้าเกิดในมนุสสภพและ มีพระพุทธศาสนา ถือว่าโชคดี มีโอกาสได้ปฏิบัติธรรม ก็อาจบรรลุนิพพานได้ 

........กระผมเขียนถึงนิพพานที่เป็นคุณธรรมสูงสุดของพุทธศาสนา เพราะเห็นพวกพ้อง ชวนกันไปนิพพานแบบไปสวรรค์ คือตายแล้วไปนิพพาน ก็อยากทักว่าแน่ใจว่าใช่หรือ ปกติพระท่านจะแนะนำว่า การทำบุญกุศลให้มากไว้ ขอให้เป็นปัจจัยให้มีโอกาสได้พบ พุทธศาสนาและได้ปฏิบัติธรรมจนบรรลุมรรคผลนิพพาน เคยทราบมาแค่นี้

สัจจะที่พระพุทธเจ้าค้นพบ






.......ช่วงนี้เจอนักปฏิบัติธรรมบ่อย เจอหน้ากันก็อดสนทนาถึงการปฏิบัติมิได้ ผม ไม่ช่างพูดคุย เลยคุยไม่ทันเขา เอาแต่รับฟังแล้วนำมาคิด มีเวลาก็เขียนถึง เพื่อน ๆ ก็รู้หลังจากวางยาแล้วก็ติดตามว่าจะเกิดผลอะไร ตามมาดูเฟซ ดูเวบบลอก แล้วก็ นำไปนินทาเราทีหลังว่า กูนึกแล้วแกต้องเขียนอะไรให้พวกกูอ่านแน่ ครับก็ทราบ นะว่าโดนเพื่อนชอบวางยา เรื่องการปฏิบัติธรรม เรื่องคำสอนต่าง ๆของพุทธศาสนา
สองสามวันที่แล้วก็เจอเพื่อนบอกว่า เขารู้วิธีพบสัจจธรรมของพระพุทธเจ้า ได้ยินก็ รู้สึกทึ่งสิครับเลยถาม มันว่ารู้ได้ไง เขาบอกว่ารู้จากหนังสือคู่มือปฏิบัติธรรม อาจารย์ ก็ยืนยันเป็นวิธีที่จะพบสัจจะได้
.........เป็นการอบรมวิปัสสนา ทางวัดเขาจัดเข้าค่ายปฏิบัติสามวันเจ็ดวัน ให้ทำบุญ สวดมนต์ไหว้พระ ถือศีลแปด นั่งกรรมฐาน เดินจงกรม อาจารย์บอกเป็นแนวทางที่จะ ได้พบสัจจะจริง ก็ไม่ซักต่อ เพียงแค่นี้ก็เดาได้แล้วว่าเขาจะพูดถึงอะไร ก็เลยอยาก จะตามหาสัจจะที่เขาว่า มันเป็นอย่างไร สัจจะที่นักปฏิบัติธรรมอยากพบ อยากบรรลุ ถ้าเป็นแนวทางที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ มีตัวเดียวครับชื่อ อริยสัจจ 4 ประการนั่นแหละ ไม่ใช้สัจจอย่างอื่น มีคำขยายที่พระอรรถกถาจารย์ร้อยกรองไว้ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตร จะเห็นแนวทางอริยสัจจว่าคืออะไร
..........ทุกขอริยสัจจ ท่านบรรยายทุกข์ไว้ 11 ข้อ ดังบาลีว่า อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขัง อะริยะสัจจัง ชาติปิ ทุกขา ชะราปิ ทุกขา มะระณัมปิ ทุกขัง โสกะปะริเทวะ ทุกขะ โทมะนัสสุปายา สาปิ ทุกขา อัปปิเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข ปิเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา
..........สมุทัยอริยสัจ ท่านบันทึกไว้ว่า อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจัง ยายัง ตัณหา โปโนพภะวิกา นันทิราคะสะหะคะตา ตัตฺระตัตฺราภินันทินี เสยยะถีทัง กามะตัณหา ภะวะตัณหา วิภะวะตัณหา
..........ทุกขนิโรธอริยสัจจ บาลีว่า อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง โย ตัสสาเยวะ ตัณหายะ อะเสสะวิราคะนิโรโธ จาโค ปะฏินิสสัคโค มุตติ อะนาละโย 

..........มรรคอริยสัจ บาลีว่า อะริโย อัฏฐังคิโก มัคโค เสยยะถีทัง สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว สัมมาวายาโม สัมมาสะติ สัมมาสะมาธิ
...........อันนี้คืออริยสัจจ 4 ที่พระพุทธเจ้าค้นพบและตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใจความอริยสัจนี้เป็นคำสอนที่พระองค์ตรัสแก่ปัญจวัคคีย์ที่ป่าอิสิปัตนมิคทายวัน หลัง ตรัสรู้ไม่นาน สมัยโน้นเพียงฟังพระพุทธองค์เทศนา ก้สามารถบรรลุอริยสัจจ ได้ คน ที่บรรลุอริยสัจจได้จากการฟังเทศนามากมาย อัญญาโกญทัญญะคือคนแรก จากนั้นก็ มีคนฟังเทศนาแล้วบรรลุอริยสัจจสี่มากมาย
..........ปัจจุบันคนที่สามารถเทศนาให้ผู้ฟังบรรลุธรรม หาได้ยาก พระพุทธเจ้าได้ ประทานแนวปฏิบัติให้ เรียกว่า วิปัสสนา จึงมีพระภิกษุสมัยต่อมาสามารถบรรลุธรรม จากการปฏิบัติวิปัสสนามากมายเช่นกัน ถ้าสนใจวิปัสสนาเพื่อบรรลุสัจจธรรม ก็ลอง ปรึกษาพระอาจารย์ฝ่ายวิปัสนาธุระดู จะได้คำแนะนำที่ถูกต้อง ลำพังการอ่านคู่มือ อ่านตำรา อาจมีข้อผิดพลาดได้ พระอาจารย์ที่สามารถแนะนำเรื่องการปฏิบัติวิปัสสนา มีมากมาย ลองติดต่อสอบถามดู
..........การรู้อริสัจจ 4 มี 3 ระดับนะครับ อย่างกระผมรู้มาจากการศึกษาเล่าเรียน จากการอ่านเอกสารตำรา อ่านพระไตรปิฎก เป้นการเรียนรู้ระดับ ปริยัติ ส่วนท่านที่ไปฝึก ปฏิบัติธรรม แนวทางสติปัฏฐาน 4 ท่านกำลังศึกษาด้วยวิธี ปฏิบัติ หลังจากที่ท่าน ปฏิบัติจนเกิดรู้แจ้งแทงตลอดในอริยสัจ เรียกว่าท่านเกิดบรรลุ ปฏิเวธ ถือเป็นพระ อริยะได้แล้วอย่างน้อยก็พระโสดาบันแหละ
..........ก็ขอสรุปสิ่งที่เขียนถึงวันนี้คือ การรู้สัจจะของนักปฏิบัติธรรม หมายถึงอริยสัจ 4 ครับ ไม่ใช่สัจจะแบบชาวบ้านพูดกันทั่วไป ทุกข์ สมุทัย นิโรธและมรรค กระผมนำบาลี จากธัมมจักกัปปะวัตตนสูตรมาแสดงให้ดูแล้ว ปกติคนที่อ่านแล้วทราบความหมายมี ไม่น้อยหรแกครับ บวชเรียนมาบ้างก็เข้าใจได้ เลยไม่ลงคำแปลไว้ อ้อรู้อริยสัจมี 3 ระดับจริง ครับ ตรวจสอบให้ดีว่าบรรลุระดับไหนแล้ว จะได้บอกคนอื่นได้ถูกต้อง เดี๋ยว จะกลายเป็นพูดไม่จริงไป สวัสดีครับ