วันเสาร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2559

รู้ตัวมากกว่าลืมตัว ใช่รึเปล่า


"วันหนึ่งรู้สึกตัวกี่ครั้ง ลืมตัวกี่ครั้ง"
...........เปิดซีดีหลวงพ่อปราโมทย์ ปราโมชโช วัดสวนสันติธรรม ท่านบรรยายธรรมมะเข้าใจง่าย มีอยู่ประโยคหนึ่ง กระทบใจมาก ท่าถามคนนั่งฟังเทศน์ว่า วันหนึ่งรู้สึกตัวกี่ครั้ง ลืมตัวกี่ครั้ง ฟังผิวเผินก็ไม่มีอะไร แค่ขำ ๆ แต่ความจริง นี่คือหลักปฏิบัติธรรมที่สำคัญที่สุด พุทธศาสนิกชน มาศึกษาดูซิว่ารู้สึกตัว ลืมตัว มันสำคัญอย่างไร ดูความหมายด้านถ้อยคำภาษา
          พจนานุกรมไทย ฉับบราชบัณฑิต ฯ ให้ความหมายไว้ว่า ก. รู้สึกตัว เช่น โดนล้วงกระเป๋าโดยไม่รู้ตัว รู้มาก่อน เช่น ได้รับแต่งตั้งโดยไม่รู้ตัว รู้เนื้อรู้ตัว ก็ว่า รู้ล่วงหน้าว่าจะมีเหตุดีหรือร้ายแก่ตัวเช่น ผู้ร้ายรู้ตัวว่าจะถูกจับเลยชิงหนีไปเสียก่อน รู้ว่าใครเป็นผู้ทำเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เช่น รู้ตัวคนส่งบัตรสนเท่ห์ รู้ตัวคนส่งดอกไม้มาอวยพรวันเกิด. 
           พจนานุกรมแปล ไทย-ไทย อ.เปลื้อง ณ นคร   ก. รู้ทัน, รู้เรื่องของตัว.
............นอกจากคำแปลดังกล่าว ยังมีคำอื่น ๆ ที่หมายความคล้าย ๆ กัน เช่น รู้เนื้อรู้ตัว ตกใจ บังเอิญ รู้สึก สะกิดใจ นึกได้ ไหวตัว
...........ความหมายในแง่ถ้อยคำภาษา คล้ายกับคำที่พระท่านเทศน์ แต่ที่พระเทศน์ไม่ได้ตีความมากมายอย่างนั่น ท่านพูดถึงตัว รู้ และ ลืม คงไม่มีคนไม่รู้จักตัว และทุกคนน่าจะเข้าใจว่า รู้ตัว ลืมตัว ต่างกันอย่างไร กระผมจะลองหยิบ คำที่พระท่านถามมาศึกษาดู ตัว ก็คือตัวของเรานี่แหละ มีคนละ 1 ตัว แม้บางคนจะได้รับฉายาแปลก ๆ เช่น สองหัว หัวงู แต่ก็มีตัวเดียว นั่นเอง ตัวนี้และที่เราใช้มันมาตั้งแต่เกิด ตัวทารก ตัวเด็ก ตัวหนุ่ม ตัวผู้ใหญ่ ตัวแก่เฒ่า มีตัวเดียวเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพ ของธรรมชาติ ลองเอารูปทารก กับรูปปัจจุบันมาเทียบกันดู ไม่ใช่เราดูแล้วไม่แน่ใจหรอกว่าเป็นตัวเดียวกัน มันเปลี่ยนไป
............รู้ตัว ที่หลวงพ่อพูดก็คือ ระลึกได้ว่า นี่ตัวเรานะ รู้สึกได้ว่าตัวทำอะไรอยู่ ยืน เดิน นั่ง นอน เคลื่อนไหวอิริยาบท ทำงาน ฯลฯ รู้ตัวนี่มีรายละเอียดมาก เพราะตัวแต่ละคนมีอาการแตกต่างกัน การรู้ตัวตามแนวหลวงพ่อพูดเป็นการรู้ตัว โดยอาศัย"สติสัมปขัญญะ" มีกันทุกคนแหละ ไม่ต้องสงสัยว่า สติคือความสามารถในการระรึกรู้ อ้อนี่ตัวเราเอง กำลังทำ อะไรอยู่ สติช่วยให้จำได้ สัมปชัญญะ ความรู้สึกตัว ต้องมาพร้อมสติถึงจะมีค่ามาก ช่วยให้รู้สึกตัว และเป็นปัจจุบัน ตัวอย่าง ตัว นั่งบนเก้าอี้ สติระรึกรู้ว่า ตัวกำลังนั่ง สัมปชัญญะ รู้สึกได้ทันทีขณะนี้กำลังนั่งเฉย ๆ เขียนหนังสือ สติระรึกรู้ จะเขียนหนังสือ สัมปชัญญะรู้สึกได้เลยกำลังหยิบกระดาษปากกา สติรู้กำลังนึกเรื่องจะเขียนสัมปปชัญญะรู้สึกได้กำลังจรด ปากกาเขียนไปตามที่นึกไว้ ตัวกำลังนั่งหน้ารถ สติระรึกรู้ได้ว่ากำลังนั่งที่คนขับ สัมปชัญญะรู้สึกตัวว่ากำลังจะขับรถ สติ สัมปปชัญญะจะช่วยกำกับการทำงานขับรถให้ทำได้ถูกต้องไม่ผิดพลาด เพราะ รู้ตัวตลอดเวลา เมื่อใดขาดสติสัมปชัญญะ ก็คือขับรถแบบคน ไม่รู้ตัว อันตรายมากนะ
...........ลืมตัวก็คือสติสัมปชัญญะออกไปที่อื่น แล้วแต่ใจจะชักจูงไป ทำงานอยู่ดี ๆ คิดถึงลูกเมีย เบรกไม่อยู่ สติแวบไป แล้ว ลูกร้องไหม เมียยุ่งหรือเปล่า กำลังลืมตัว ดึงกลับมาด่วน ก็ทำงานต่อไปได้ ลืมตัวบางครั้งก็ทำให้งานชะงักได้ เพราะ สติสัมปชัญญะไม่ว่าง คนที่ไม่ฝึกควบคุมสติสัมปชัญญะ จะทำให้สติหลุดไปข้างนอกง่าย เป็นผลเสียต่อเราเอง พระท่าน จึงสอนพุทธศาสนิกชน ให้หมั่นฝึกให้สติตั้งมั่น ควรแก่การงาน สติที่ฝึกดีแล้วจะเกิดคุณประโยชน์มากมายแก่เราเอง จะคิด จะพูด จะทำการงาน ก็ไม่ค่อยเผลอ ไม่ค่อยพลาด สติที่เข้มแข็งคือพื้นฐานของวิปัสสนา มรรคผลนิพพานนั่นเอง ที่ท่านชักชวนให้ฝึกสติปัฎฐาน ก็คือฝึกควบคุมสติสัมปชัญญะให้อยู่กับตัว ให้รู้สึกตัว ไม่ปล่อยให้สติหลุดไปที่อื่น เพราะนั่น
คือการลืมตัว ไม่เป็นประโยชน์อาจเกิดโทษได้ด้วย
........สรุปว่าวันหนึ่ง ๆ เรามีสติรู้ตัวเสมอ เมื่อเรารู้จักตัวเอง เมื่อเราทำงานที่ตั้งใจทำ ส่วนลืมตัวเกิดบ่อยมาก ทุกครั้งที่เผลอ สติหลุดไปหาเรื่องอื่นที่มิใช่ตัวเรา ท่านเรียกว่า การลืมตัว มันเกิดบ่อยมากจนนับครั้งไม่ถ้วน ท่านให้กำลังใจว่า คนที่รุ้ตัว น้อย ลืมตัวมาก คือปุถุชนคนธรรมดา คนที่รู้สึกตัวตลอดเวลา ลืมตัวน้อยหรือไม่มีเลย คือพระอรหันต์ โห สติ นี่ไม่ใช่ ธรรมดาจริง ๆ มาสนใจฝึกสติกันเถอะ

วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2559

วงศาคณาญาติ





                                                        นายจำปา ศรีประจง (24... - 2516)

วงศาคณาญาติ
                                                                                                                    โดย ขุนทอง ศรีประจง
------------------
                ผมเกิด 1 มิถุนายน 2487 เป็นคนบ้านแก ตำบลกมลาไสย อำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์
พ่อชื่อนายจำปา ศรีประจง แม่ชื่อนางจ้อน ศรีประจง มีพี่น้อง 6 คน มีใครบ้างเดี๋ยวค่อยบอกแล้วกัน มีคำถามว่า นายจำปา ศรีประจงนี่ เป็นลูกใคร มีพี่น้องไหม ยังไม่ได้ตรวจสอบเลย ยังมีใครรู้จักมาก กว่าผมรึเปล่า เคยไปพบพ่อของแกตอนป่วยมากแล้วและเป็นวันสุดท้ายที่เห็นคนชื่อปู่เสียชีวิต ผมเป็น เด็กเสื้อผ้าไม่ใส่ ยืนดูปู่อาการโคม่า จำได้ติดตา แกมองมาที่ผม ปากขมุบขมิบ ตาค่อย ๆ ปิดลง คนอื่นร้องไห้ แต่ผมดูเฉย ๆ พ่อกับแม่ช่วยคนอื่นอาบน้ำอุ่นให้ เช็ดตัว ทาแป้ง ใส่เสื้อผ้ากลับหน้า กลับหลัง แล้วก็ให้นอนกลางบ้าน หันหัวไปทางตะวันตก เอาฝ้ายมัดมือมัดเท้า จับมือพนมไว้แล้วเอา ผ้าไหมมาคลุมไว้ที่เขาเรียก ดอยศพ นั่นแหละที่จำได้ พ่อของแกคือ ปู่ ชื่อจริงไม่ทราบ เคยยินชื่อ ป่อง และ หมู ที่แม่บอก แต่ไม่รู้ชื่อใคร นายจำปา เป็นคนบ้านแกนี่เอง
..........ถามหาพี่น้องพ่อ ไม่ค่อยรู้จักนะ คนที่ไปมาหาสู่กันบ่อย เรียก อา จำได้คือ อาอุ้ย อาเซียงวัง อาอ่อนเต้ มีที่นาอยู่ใกล้กัน น่าจะได้มรดกจากพ่อแม่มา ผมเด็กมากเลยไม่ได้รู้รายละเอียดมากนัก พวก ลูกหลานอาแต่ละคนก็มีนะ แต่จำชื่อไม่ได้ ที่จำได้คือ อาอ่อนเต้ มีลูก สาม คน หญิงสอง ชาย 1 ลูกสาวคือ นางบุญ คนนี้ได้สามีเป็นช่างทอง ที่นายบัวทองไปเป็นศิษย์เอกของพี่เขา แล้วก็ นาย ไสว และนางสาวไก ผมไปบ้านอาบ่อย ทางผ่านไปนาไปสวน แถมของกินเยอะ เลยจำได้ 
.........นายจำปาศรีประจง แต่งงานกับนางจ้อน ศรีประจง ญาติฝ่ายแม่ คุ้นเคยมากกว่าฝ่ายพ่อแม่จ้อน
เห็นว่ามีพี่น้องหลายคน คนโตเป็นผู้ชาย อยู่ทางดงแม่เผด คนรองเป็นหญิงชื่อ ป้าเหลา ยุพานิช คนที่สาม ป้าเสา ....... คนที่สี่คือนางจ้อน ศรีประจง ป้าเสาอยู่บ้านแก สามีชื่อลุงน้อยขาโหยก แกตั้งชื่อลูกจำง่ายดี นางอ่อน นางพร นางสอน นางพัด นายดี ผมชอบไปเล่นบ้านป้าเสา ลุงแก ไปดงกลับมาได้เนื้อเก้ง ค่าง ไก่ป่า ป้าเสาแกจะแอบแบ่งให้หลานชายเสมอ อร่อยมาก เวลามีบุญ พระเวส บุญบั้งไฟ ขนมบ้านป้าอร่อยมาก บ้านตัวเองก็มีนะ แต่บ้านป้าทำอร่อย เพราะแบบนี้เองพวก พี่ ๆถึงคุ้นเคยกับผมมาก กลับไปเยี่ยมพี่สอน แกร้องไห้บอกว่า กูคิดว่าจะไม่ได้เห็นมึงอีก อีอ่อนอีพร มันตายแล้ว...เราก็พลอยน้ำตาซึมไปด้วย อ้อวันนี่ ปี 2559 พี่สอนก็จากไปแล้วเหมือนกัน
.........ป้าเหลา ยุพานิช แกย้ายมาอยู่บ้านหนองลุมพุก อำเภอโนนสัง จังหวัดอุดรธานี อย่าทักนะ ว่าจังหวัดหนองบัวลำภู เขียนอุดรน่ะถูกแล้ว พ่อจำปาแม่จ้อน ย้ายมาอยู่บ้านหนองลุมพุก คงเพราะ มีป้าเหลาอยู่ก่อนแล้วนี่เอง ป้าแกมีลูกหลายคน ลูกชายคนโต ชื่อทอง ยุพาณิชครอบครัวอยู่บ้านโนน เสถียร ภรรยาชื่อป้าศรี (ลูกชายชื่อนายเกด นางสาวดี นางสาวจี ) คนที่สองชื่อ นางไค สามีชื่อนายที ศรีวิบูลย์ มีลูกสามคนคือ (นายประไพ นายสมัย นายวันดี) คนที่สามชื่อ นายมี ยุพานิช ภรรยาชื่อเงิน อยู่บ้านหนองสะแบงมีลูกหลายคน แต่ไม่รู้จัก คนที่ 4 นาง นาง วิวิธชัย สามีชื่อ พุทธ วิวิธชัย มี บุตรหลายคน จำชื่อไม่ได้ คนที่ 5 นายบุญน้อย ยุพานิช ภรรยาชื่อ บุญมี ยุพานิช มีลูกหลายคน จำ ชื่อไม่ได้
..........กลับมาหานายจำปา และ นางจ้อน ศรีประจง อยู่บ้านแกจนถึง ปี 2498 ผมจบชั้น ป. 4 มี คะแนนอันดับ 1 ของอำเภอกมลาไสย มีสิทธิรับทุนเรียนมัธยม 6 ปี พ่อย้ายมาอยู่บ้านหนองลุมพุก ปีนั้นแหละ ครูมาทักท้วงพ่อว่าน่าจะให้รับทุนและเรียนที่กมลาไสย พ่อรับปากจะให้เรียนต่อ ส่งเสียเอง จนจบ ม. 6 ผมนั่งฟังอยู่และจำได้ ครูฝากสมุดปกแข็งให้ 1 โหล สำหรับใช้เมื่อเรียนมัธยม น้ำใจครู ห่วงจะไม่ได้เรียนต่อ ผมมีพี่น้องหลายคน ขอแยกมาเขียนถึงทีละคนแล้วกัน
.........คนที่ 1 นาง หมา ศรีประจง ชื่อนี้จริง ๆ แม้ต่อมาจะเปลี่ยนให้เป็นมาลาบ้าง บุญมาบ้าง แต่เรา ยังเรียกป้าหมาอยู่ดี เป็นเคล็ดเลี้ยงลูกคนแรก ชื่อแบบนี้เลี้ยงง่าย ชาวบ้านเขาเชื่ออย่างนั้น ลูกคนแรก ของแกเกิดหลังผม 2 ปี ยังไม่ได้ออกเรือน เลยได้ดูแลผมช่วยแม่จ้อนด้วย แกรักผมราวกับลูกชายแก สามีป้าชื่อนายบุญ ภูมิขันธ์ มีลูกด้วยกันหลายคน นางทองมา ภูมิขันธ์ นายพรมมา ภูมิขันธ์ นางอ่อนสา....
นางบัวลา...............จ่าสิบเอกสมัย ภูมิขันธ์...) ถึงวันนี้ 2559 ป้าหมา ลุงบุญ เสียชีวิตแล้ว 
.........คนที่ 2 นางพุด ศรีประจง คนนี้มีลูกสาวเกิดหลังผมปีเดียว เกิดก่อนลูกป้าหมา 1 ปี บ้านเราเลย
มีเด็กอ่อน 3 คน ผม ลูกป้าพุดและลูกป้าหมา เลยเลี้ยงกันแบบห้องเรียนบริบาล สามีป้าแกชื่อ นาย
บุญเพ็ง มีลูกด้วยกันคือ น.ส.สุวันทา ศรีประจง แม่กับพ่อ เลิกกัน เลยใช้นามสกุล ตาจำปา ศรีประจง
ป้าพุดอยู่กับพ่อแม่มาตลอด ย้ายบ้านก็มาด้วย จนพ่อแม่จากไป ป้าเฝ้าบ้านอยู่กับลูกหลาน ..........คนที่ 3 นางสีดา ศรีชาติ คนนี้ผิวขาว ผ่าเหล่าอยู่คนเดียว นิสัยคล้ายพ่อจำปาคือหากินเก่ง ผมเคย หิ้วครุให้แกไปหากบเขียดบ่อย ได้วิชาหากินจากแกเยอะเหมือนกัน สามีแกคนบ้านเดียวกันคือ นายเคน ศรีชาติ มีลูกด้วยกันหลายคน (นายบุญมี นาย.........................) ถึงปีนี้ เสียไปแล้วทั้งป้า และสามี
..........คนที่ 4 นาง ทุม หอมจันทร์ เกิดก่อนผม 8 ปี แกจบ ป. 4 ใหม่ ขณะที่ผม 5 ขวบ กำลัง จะไปเรียนเตรียม พี่ทุมกับพี่บ้วทอง สองคนเขาติวเข้ม จนอ่านออกเขียนได้ก่อน เข้าเตรียม ป. 1 เป็นผลให้กลายเป็นเด็กเก่งในชั้น สอบได้ที่ 1 ทุกครั้งที่มีการสอบ จนติดเป็นนิสัย มัธยม 6 ปี ก็ยึด แชมป์ไม่เคยพลาด ขอบคุณนะสองคนนี่ที่ทำให้ผมมีนิสัยแบบนี้ สามีพี่ทุมคือนาย มี หอมจันทร์ คน บ้านโนนสัง มีลูกด้วยกันหลายคน จำชื่อได้ สมจิต หอมจันทร์ เห็นว่าติดดาบมานานแล้ว ทิ้งเมื่อไรก็ เป็นหมวดทันที ที่จำได้เพราะบวชเณร ไปอยู่กับผมจนจบ ม. 6 การศึกษาผู้ใหญ่ ค่อยสอบนักเรียน ตำรวจได้ อีกหลายคนจำได้แต่ชื่อเช่น หน่อม หนอง หนุ่ย.............(หาชื่อจริงให้ด้วยดิ) ปีนี้ 2559 พี่เขยลุงมี หอมจันทร์ จากไปหลายปีแล้ว ป้าทุมเป็นโสดอยู่บ้านหนองกองเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร เฝ้าบ้านอยู่ลำพัง สู้ ๆ
.........คนที่ 5 นายบัวทอง ศรีประจง เกิดปีมะโรง ผมปีวอก คู่ปรับกัน แกอวดผมว่าแกเป็นพวกเทวดาผมเป็นพวกลิง ก็ขำ ๆ นะ บ้านเรามีตำราพรหมชาติเล่มใหญ่ เอามาเปิดดู ผมดูก็เป็นนะ ปีมะโรง งูใหญ่แหมจะมาเทียบลิงได้ไง คล่องว่องไว ไปมาบนยอดไม้ แต่ไม่เถียงหรอกเพราะตัวเล็กกว่า พี่บัวทองเป็นคน
ฉลาดมาก   ถ้าได้เรียนต่อเก่งกว่าผมแน่นอน แกสนใจอะไรจะมุ่งมันศึกษาและทำจนได้ ทำให้แกมีฝีมือ

รอบตัว แต่ละอย่างทำได้ดีระดับมืออาชีพ ช่างปืน แกมีใบอนุญาตทำปืนแก็ป ส่วนที่ไม่มีใบอนุญาตแอบ
ทำมีมากกว่าปืนแก๊ป ลูกซอง ปืนพก มีปัญหา วานแกดูให้ เรียบร้อย ซ่อมได้ ซ่อมนาฬิกาได้ทุกรุ่น ซ่อม
วิทยุ ทีวี เครื่องถ่ายเอกสาร เครื่องโรเนียว  เครื่องยนต์เล็ก มอเตอร์ไซด์  เปิดอู่ ได้สบาย ๆ  หรือช่างทอง
รูปพรรณทำสร้อยต่างหู กำไลข้อมือ ฝีมือปราณีตมาก เออจีบสาวก็เก่งนะ มีเมียสามคน  อ้อทีละคนนะ 

คนสุดท้ายนี่อายุอ่อนกว่าลูกสาวแก ลูกแกเกิดจากภรรยาคนที่ 1 มีคนเดียวชื่อนาย สัว ศรีประจง ภรรยา
คนที่ 2 เขามีลูกติดมา 3 คน มีกับแกอีก 4 คน ผมชวนแกมาสอบเป็นลูกจ้างประจำ จะได้มีเงินเดือน และ

สวัสดิการบ้าง ก็อยู่มาจนเกษียณ ลุงบัวแกทำงานหนัก ทำงานขยัน ผู้บริหารรักมาก ผมเลยไม่ค่อยห่วง
แกเป็นฮีโร่สำหรับผมเลยแหละ เสียดายแกจากผมไปอีกแล้ว

........คนที่ 6 นายขุนทอง ศรีประจง ลูกชายคนเล็กของแม่จ้อน ศรีประจง เกิด ปี 2487 ปีวอก เดือนเจ็ด วัน

ลับลึน แกบอกผมเอง จนวันนี้ยังไม่ทราบว่า วันลับลึนคือวันอะไร มีแม่ลูกอ่อนสามคนคือ แม่ป้าพุดและป้าหมา อยู่บ้านเดียวกัน  ช่วยกันดูแลเด็กอ่อน เท่ากับมีแม่สามคน วันผมเกิด เป็นวัน ที่โรคห่าระบาด 
ช่วงปลาย ๆ แล้ว ผู้คนล้มตายแบบต้อง เผาศพกันเองหาคนช่วยยาก เห็นว่าคลอดก่อนกำหนด ได้ซัก

เจ็ดเดือนเอง หนังท้องบางเห็นใส้เป็นขด ๆ กระดูกซี่โครงยังไม่ติดกันสนิท มีแต่คนด่า มึงรีบเกิดมาทำห่า อะไร คนเขากำลังจะบ้ากันเพราะโรคห่าอยู่แล้ว แม่เล่าให้ฟัง ไม่ได้ยินเองหรอก แต่ดีนะเกิดไม่นานโรค
ห่า(ฝีดาษ)ก็สงบ แถมสงคราม โลกก็ยุติไปด้วย เพราะบุญบารมีแท้ ๆ ที่ไม่ต้องลำบาก 5 5 5 มันเกี่ยวกัน
ไหมนี่ ผมเป็นลูกคนโปรดของครอบครัว ได้รับ การดูแลอย่างดี ได้รับการศึกษาดีทั้งทางโลกและทาง
ธรรม เป็นเครื่องมือให้พ่อแม่ อวดคนอืนได้สบาย ๆ  อ้อมีภรรยา 2 คนนะ  คือ ครูกาญจนา ศรีประจง มีลูก
ด้วยกัน  3 คน (น.ส.ศศิธร ศรีประจง นายโฆษิต ศรีประจงและ  น.ส.สาวิตรี ศรีประจง) 
........6.1 นางสาวศศิธร ศรีประจง เป็นครูที่โรงเรียนศรีสงครามวิทยา วังสะพุง จังหวัดเลย ตำแหน่งครู
เชี่ยวชาญ พิเศษ จบปริญญาโท เอกภาษาอังกฤษ สามีชื่อ นาย สุเมธ เดชไทย มีลูก 2 คน (นางสาว 
ศิริกัญญาเดชไทย และนายนัทธพล เดชไทย)

........6.2 นายโฆษิต ศรีประจง วทบ. พืชไร่ ม.เกษตรศาสตร์ กำแพงแสน พนักงานบริษิทเอราวัณ เคมี
การเกษตร กรุงเทพฯ ยังโสด
........6.3 น.ส.สาวิตรี ศรีประจง วทบ. เทคโนโลยีสารสนเทศ ม.มหาสารคาม นักโปรแกรมเมอร์ บริษัท............กรุงเทพ ฯ นี่ก็ยังโสด
........ภรรยาคนที่ 2 นางสาวอรภา ณรงค์หนู พยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาลเมืองฉะเชิงเทรา มีบุตร
บุญธรรม 1 คน คือ น.ส.บุลธนี ณรงค์หนู จบ ศศ.บ. กราฟิคคอม จาก ม.รังสิต กรุงเทพ ฯ ทำงานเป็น
นักออกแบบอยู่ที่โรงงาน ย่านสุวินทวงศ์ ฉะเชิงเทรา 
.......สาธยายเรื่องวงศาคณาญาติ ได้แค่นี้แหละ ขาดข้อมูลอีกเยอะ ลูกหลานที่มีข้อมูล อยากแจ้ง 
ให้ผมทราบ ส่งได้ทางอีเมล mrkht2014@gmail.com ขอบคุณล่วงหน้าเด้อ 
  

                                                                ดูภาพแก้ง่วง
                                                                        

ภาพแบบนี้กะมีเด้อ