วันพุธที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2559

อัตตชีวประวัติ1




ชีวิตในช่วงปฐมวัย 1-17 ปี 
...........บ้านแก ตำบลกมลาไสย อำเภอกมลาเสย จังหวัดกาฬสินธุ์ แค่เริ่มประโยคแรกก็มีปัญหาแล้ว ทำไมชื่อบ้านแก ชื่อบ้านฉันไม่ดีกว่าเหรอ ตำบลกมลาไสยนี่มันแปลว่าอะไร อ้าวจังหวัดกาฬสินธุ์อีก ภูมิลำเนาของคุณนี่มีแต่ต้องแปล มีแต่ต้องถาม มิน่าคุณถึงเป็นคนที่ปัญหามาก มันมาจากบ้านเกิดคุณนี่เอง ความจริงผมไม่เคยสงสัยหรอก แต่เพื่อนเรียนสมัยอยู่มัธยม มันซักก็เลยได้คิด แหมมันน่าสงสัย จริง ๆ ยิ่งวันสอบสัมภาษณ์เข้าเรียน ม.4 เจอครูภาษาไทยแกถามชื่อเธอ ขุนทอง ศรีประจง มันแปลว่าอะไร จะบ้าตายมันตอบไม่ได้น่ะซี
........ขุนนี่แปลว่า เลี้ยง แบบขุนหมู ไง ทองก็ทองคำนั่นแหละ แต่พอเข้าคู่กัน ไม่ได้แปลว่า เลี้ยงทองคำนะเออ แต่แปลว่า คนที่สะสมสิ่งที่ดีงามแบบทองคำนั่นแหละ ก็คือสะสมความดีงามไว้มาก ๆนั่นเอง เฮ้อ โล่งไป ศรี ก็คือศิริมงคล ประจงก็คือ บรรจง เพียรแต่งมงคลให้ดีงาม โห กว่าจะได้ความหมาย พ่อแกทำไมตั้งชื่อนามสกุลลึกลับขนาดนี้ แปลได้ก็สบายใจนะ แต่นั้น มาไม่มีใครถามอีกเลยไม่คุ้มเลยกว่าจะหาคำแปลได้
...........บ้านแกล่ะ ถามผู้เฒ่าผู้แก่แล้ว หมู่บ้านเราตามทุ่งนามีต้นสะแก เยอะมาก มองไปทางไหนเป็นดงเลย เลยตั้งชื่อว่า บ้านดงแก บ้านต้นแก ที่สุดก็เป็น บ้านแก ต้นแกนี่ที่นากระผมก็เยอะนะ มีทั้งเป็นพุ่มไม้เตี้ย ๆ กบเขียดชอบโดดไปหลบให้พวกเราไปไล่จับกันสนุกมาก มีต้นขนาดใหญ่มดแดงชอบไปทำรัง เวลาพี่ชายทำก้อยปลา เขาจะถือชามไปต้นสะแก เด็ดรัง มดแดงมาเคาะ ๆ ใส่เนื้อปลากระดี่ที่สับละเอียด ได้มดแดงพอจะออกสีขาว ๆ ค่อยไปทำต่อจนได้ก้อยปลากระเดิด ก็ปลากระดี่นั่นแหละ แต่เราเรียกปลากระเดิด หน้าแล้งต้นสะแกใหญ่ รังมดแดงก็รังใหญ่ ไข่เต็มรัง แม่กับพี่สาวชวนกันไปแหย่ เอาไข่มด แดงมาทำกับข้าว เคยสังเกตเหมือนกัน รังเดิมนั่นแหละ แหย่แล้วแหย่อีก สรุปว่าบ้านแก ได้ชื่อมาจากต้นแก
ไม่ใช่บ้านแกบ้านฉันหรอก
..........ตำบลกมลาไสย (กม มะ ลา สัย) ไปหาคำแปลมาจนได้แหละ กมลา กับ อาไสย กมลา กมล ก็ดอกบัวไง หรือจะแปลว่า หัวใจยังได้นะ แต่อย่าเลย เวลาผสมกับอีกคำจะแปลยาก อาไสย ก็คือแหล่ง   ที่อยู่ ผสมกันก็หมายถึง แหล่งที่มีดอกบัวอยู่ นั่นเอง คือมีบึง ห้วย หนอง ที่มีดอกบัว อันนี้ไม่ทราบว่าหมายถึงหนองไหน ในพื้นที่อำเภอนี้มีบึงหลายแห่ง ก็คงหมายถึงหนอง บึงที่อยู่ใกล้ตัวอำเภอนั่นแหละ เขาตั้งชื่อตำบลกมลาไสยตามชื่อหนองบึงที่มีดอกบัวเยอะ ๆนั่นเอง พอพัฒนาเป็นอำเภอ ก็ ไม่เปลี่ยน  นะ ยังใช้ชื่อเดิมอยู่ เลยสบายไป ไม่ต้องไปหาคำแปลอีก
..........จังหวัดกาฬสินธุ์ โห ทำไมชื่อมันแปลยากอย่างนี้ ดีนะที่เป็นผม คนขยันหาคำแปล ไปค้นมาจน  ได้แหละ ค้นจากไหน ก็พจนานุกรมไง กาฬ สินธุ กาฬ แปลว่าดำ สีดำ สินธุ ก็แปลว่าแม่น้ำ ชื่อไม่โก้  เลย จังหวัดแม่น้ำดำ แต่มันหมายถึงแม่น้ำปาว สายเอกของจังหวัดนี้นั่นเอง ที่เขาเรียกแม่น้ำดำเพราะ น้ำลึก ปลาชุม ยิ่งตอนสร้างเขื่อนลำปาวนี่ทำให้ลุ่มน้ำปาวเป็นพื้นที่เกษตร ที่ดีมาก ๆของจังหวัดทีเดียว
...........รู้จักภูมิลำเนาแล้ว เกิดได้ยัง  แหมมันไม่ได้ง่ายนักหรอก คนสำคัญจะเกิดมันต้องมีอะไรซักอย่างที่ชวนให้อยากเกิด บ้างซี คุณพ่อชื่อนายจำปา ศรีประจง เป็นคนบ้านแกนี่แหละ มีภรรยาชื่อนางจ้อน     ศรีประจง คนบ้านเดียวกัน แถมคุ้มเดียว กันซะด้วย ก่อนจะแต่งงานกันอันนี้ไม่ทราบ เกิดไม่ทัน เพราะตอนผมเกิด พ่อแม่มีลูกครึ่งโหลแล้ว  น.ส.หมา  น.ส.พุด  น.ส.สี  น.ส.ทุม น.ส.จัน....(ตายปีผมเกิด) นายบัวทอง แล้วก็ผม คนที่เจ็ด เหตุการณ์บ้านเมืองตอนนั้น ปี พ.ศ. 2487 ยังอยู่ในช่วง สงครามโลกครั้งที่สอง ปีถัดมาญี่ปุ่นถึงโดนระเบิดปรมาณู เรียกว่าสงครามยังไม่สงบ แถมเกิดโรคระบาดคือ ฝีดาษ ไม่มียา ตายเป็นเบือ คนป่วยจะเป็นแผลพุพองเหมือนถูกไฟลวก คนที่หายเป็นแผลเป็นเต็มหน้าเต็มตัว แต่ส่วนใหญ่ไม่รอด บ้านเรา โดนเข้าไปสองคนคือ พี่จัน กับ พี่บัวทอง เราเสียพี่จันไป พี่บัวทองรอด ใบหน้ามีแผลติดมา แม่เล่าว่ามันลำบากมาก ไหนจะกลัวที่เขารบกัน ไหนจะรบกับโรคภัย แม่ท้องเจ็ดเดือนแกก็คลอดก่อนกำหนดซะนี่ หนังท้องบางมากขนาดเห็นลำใส้ป็นขด ๆ เลยมึง ตัวเล็กมากนึกว่าเป็นลูกหลอด แต่มึงหายใจอยู่ กระดูกตรงร่องอกยังไม่ติดกันเลย ทุกคนทำใจไว้แล้วว่าถ้ามึงเจอ ฝีดาดอีกคน ตาย  ก่อนแน่ วันที่ 1 มิถุนายน 2487 นั่นแหละวันเกิดละ เดชะบุญนะ โรคฝีดาษเริ่มถอย เบาบางลงและสงบ ไป จนได้ พร้อมกับสงครามโลกครั้งที่สองก็สงบลงในอีก 2 ปีถัดมา ไม่อยากโม้ว่าเป็นเพราะเราเกิดมาโรคภัยก็เลยถอยไป สงครามก็พลอยสงบลงด้วย
.........ผมเป็นลูกที่กินนมแม่ 3 คน หลังผมเกิด ปีวอก 2487 ปีถัดมา พี่สาวคนที่สองก็คลอด ด.ญ.สุวรรณทา ปี 2488 คนนี้ปีระกา ถัดมาอีกปี พี่สาวคนโต คลอด ด.ญ.ทองมา ภูมิขันธ์ คนนี้ปี 2489 ตรงกับปีจอ 

ยังไม่ได้ออกเรือนทั้งคู่ เลยมีเด็ก อ่อนสามคน เลี้ยงกันมั่วไปหมด เพราะเหตุการณ์โรคระบาดแม่ไม่    ว่าง ดูคนเจ็บสองคน พี่สาวเลยเป็นผู้ช่วยโดยปริยาย มิน่า สองคนนี้ถึงรักผมมาก ผมก็คิดถึงเขานะ ไปเยี่ยมบ่อย เอาของไปให้ เอาเงินใสมือให้ใช้ เพราะเขามีพระคุณเหมือนแม่เรา คนหนึ่งเลยแหละ วันนี้     ที่เขียนชีวประวัตินี่ คนโตแกเสียชีวิตไปแล้ว ก็เสียใจเป็นธรรมดา แต่พี่แกเกิดก่อน อายุมากกว่าคนอื่น ถือว่า    ไปในเวลาอายุมากแล้ว
..........พี่ทุม พี่บัวทอง สองฮีโร่ของผม สองคนนี่อายุห่างผมไม่มาก พี่ทุม 7 ปี พี่บัวทอง 4 ปี ตอนผมอายุ 5 ขวบ สองคนนี่บอกเราว่า  แกใกล้จะเข้าเรียนแล้วนะ มาจะสอนหนังสือให้ พี่ทุมแกจบ ป.4 มาสามปีแล้ว ส่วนพี่บัวทองอยู่ ป. 4 เขาจับเราสอนให้เขียน ก - ฮ เลข 1 - 0 หัดเขียนหัดอ่าน ความจริงพี่เขาเล่นเป็นครู หานักเรียนไม่ได้เลยจับน้องมาเรียนหนังสือ อุปกรณ์อย่างดีนะ กระดานชนวนแบบหน้ากระจกลื่น ๆ ปากกาแบบหินปูนเส้นใหญ่ แบบหินชะนวนเส้นเล็ก มีหมดแหละ นักเรียนชอบเรียนด้วยครูเลยสอนเก่ง แป๊บเดียวเขียนได้อ่านได้ แล้วก็เกิดเรื่องสำคัญขึ้น วันหนึ่งครูบุญชู ไสยวรรณ ครูโรงเรียนบ้านแกนั่น
แหละแกเป็นเพื่อนพ่อ ตอนนี้พ่อไปเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน มีเหล้าขาวขายที่บ้านด้วย ครูแกเลยแวะมาเยี่ยมเรื่อย พ่อก็เลี้ยง เหล้าแกบ่อย ขากลับแกก็ซื้อพกกลับไปบ้าน หลายวันก็มาอีก บังเอิญวันที่แกมาพบครูทุมครูบัวทองสอนหนังสือนักเรียนเข้า เห็นนักเรียนเขียนอ่านได้ยังกะพวกเข้าเรียนป.1 แล้ว เลยขอให้พ่อนำไปฝากเรียนชั้นเตรียม เห็นไหมผมเรียนเตรียมตั้งแต่ ห้าขวบเอง ป.เตรียมน่ะ ไม่ใช่เตรียมอุดมศึกษาหรอก พี่สองคนนี่แหละ มีส่วนทำให้ผมเป็นเด็กเรียนเก่งที่สุดในโรงเรียน ผมถึงเรียกสองคน  นี้ว่าฮีโร่ของผม ไม่ผิดหรอก
..........วัยเรียนวัยเล่น ผมอายุ 5 ขวบเข้าเรียนชั้น ป. 1 ก่อนเกณฑ์ 1 ปี พี่คนถัดจากผม 10 ขวบ แกอยู่ ป.4 พี่ทุมก็เป็นสาว คนทำงานในบ้านมีเยอะแยะ ผมก็เป็นเด็กที่ไม่มีใครอยากใช้ ตัวเล็กไป เลยถูกปล่อยให้เล่นหัวบ้านท้ายบ้านรู้จักหมด ลูกชาย ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน นิสัยดีไม่เกเร เพื่อน ๆก็ยินดีให้เล่นด้วย เลิกเรียนกลับมาถึงบ้านโยนกระเป๋าเสื้อผ้าแล้วใส่กางเกงหูรูด เสื้อไม่ต้องวิ่งปรู๊ดหาเพื่อนเล่นที่ลานวัด บางทีติดพันจนทุ่มสองทุ่มแม่มาตามเลยกลายเป็นเด็กที่รู้จักการเล่นค่อนข้างมาก หมากหนอน หัวกะโหลก วิ่งเปี้ยว ลิงชิงหลัก โค้งตีนเกวียน รีรีข้าวสาร งูกิน หาง ไม้หิงอี่ วิ่งขาโถกเถก เป่ายาง ยิงยางโยนหมาก แต้ หมากข่า ลูกข่าง ม้าหลังโปก มอญซ่อนผ้า เตะบอล ตีคลี ฯลฯ รู้ละเอียดด้วยนะ สมัยไปเรียนปริญญาตรี ที่ มศว. มหาสารคาม เขามีคอร์สวรรณกรรมพื้นบ้านอีสาน ได้เกรด A บวก รับประกันได้ว่ารู้จักจริง
……………ด้านการเรียน ระดับประถมก่อนแล้วกัน เพราะวีกรรมการเรียนของผมมันมีทุกระดับ มกราคม-มีนาคม 2494 ช่วง นี้เทอมปลายปีการศึกษา 2493 พ่อนำผมไปฝากเรียน ป.เตรียม เพื่อต้นปีการศึกษา 2494 จะได้เข้าเรียน ป. 1 ได้เลย เพราะมีครูสอนพิเศษให้ที่บ้าน วันแรกก็ดังเป็นพลุระเบิด อ่านหนังสือ บนกระดานที่ครูบุญชูแกเขียนสอนเด็กใหม่ อ่านได้หมด จนครูให้นำอ่านหน้าชั้นเรียน เวลาครูไม่อยู่ มีหน้าที่พาเพื่ออ่าน จนกว่าครูจะมา เลยกลายเป็นเด็กรักการเรียนหนังสือตั้งแต่นั้น มา สอบได้ที่ 1 ปี    ละ 3 ครั้ง เพราะระบบ 3 เทอม ปีจบ ป.4 มีคะแนนสูงสุดในอำเภอกมลาไสย มีสิทธิ์รับทุนเรียนต่อใน ระดับมัธยม 6 ปี    ตัว ประโยคเขาใช้ข้อสอบกลางของจังหวัด คะแนนเลยเอาไปเทียบกันได้
.......ด้านการเล่น ยังเป็นเด็กที่มีเพื่อนเล่นทั่วทุกคุ้มบ้านเหมือนเดิม ทางบ้านก็ปล่อย ไม่ใช้งานอะไร  หาบน้ำก็ไม่เก่ง ตำข้าว ก็ตื่นไม่ทันเขา ได้งานอย่างเดียวคือหาหลัวไม้ไผ่มาให้พี่สาวลงข่วงเข็นฝ้าย   กอไผ่อยู่หน้าบ้านเอง ไปช่วยเขาหอบมากองไว้ แล้วก็รีบไปเล่น การเล่นพัฒนาไปมากจากการเล่นสนุก ๆ ไปเป็นการเล่นแบบไล่ล่า หัดทำอุปกรณ์หน้าไม้ พลุหรือไม้ซาง หาล่ากบเขียด ยิงนกตกปลา มีรุ่นพี่ที่อายุมากกว่าเป็นหัวหน้า ได้เรียนรู้ วิธีวางเบ็ดปลา วางเบ็ดกบ วิธียิงนกกินหมากไม้ วิธี ดักหนูนา รู้สึกตื่นเต้นกว่าเล่นที่ลานวัด ก็คงบอกได้ว่า เก่งทั้งเรียนหนังสือ และเก่งการเล่น ไม่เก่งอย่างเดียวคือช่วยงานบ้าน ลูกคนเล็ก ใคร ๆ ก็รัก ไม่อยากใช้งาน ก็เป็นจุดอ่อนได้เหมือนกัน
........ปี 2498 จุดเปลี่ยนของชีวิต บ้านแกขาดแคลนไม้ฟืนเป็นอย่างมาก ไม่มีป่า มีแต่ต้นไม้ในนาของใครของมัน กิ่งไม้ หักลงอย่าไปเอาของเขา นาเขาเขาก็หวง มีเรื่องกันบ่อย ทำนาเจอหัวตอขุดเอามาตากไว้บนคันนา แล้วก็ขนไปเก็บที่บ้านไว้ทำฟืน หนักหนาขนาดนั้นแหละ พ่อแม่ยินข่าวป้าเหลา พี่สาวแม่อยู่บ้านหนองลุมพุก มีแต่ป่าไม้เต็งรัง เป็นดงทึบ ได้ยินก็ตาลุกกัน อยากไปอยู่ถิ่นที่ป่ามันเยอะบ้าง ก็ไปสำรวจดู พ่อซื้อที่นา 2 แปลง แลบ้านพร้อมที่ดิน 1 หลัง แล้วกลับมาบอกจะอพยพไป อยู่กับป้าเหลา มีผู้สนใจไปอยู่บ้านใหม่ 2 ครอบครัวคือ คุณอาเจริญ ภูมิชัยโชติ เหมารถหกล้อคันหนึ่งไปส่งที่บ้านหนองลุมพุก ตำบลหนองเรือ อำเภอโนนสัง จังหวัดอุดรธานี(ขณะนั้น) ผมรอสอบไล่ ป.4 ไม่ได้ไปด้วย ต้องย้าย ไปอยู่บ้านพี่สาวคนโต รู้สึก ใจหวิว ๆนะ เพราะเป็นลูกติดแม่ แต่พี่สาวก็ดูแลดี สอบไล่เสร็จผลสอบได้ที่ 1 และคะแนนสูงสุดในอำเภอ มีสิทธิ์รับทุนเรียน ต่อระดบมัธยมศึกษา 6 ปี อันนี้เขาเรียกว่าบุญมีแต่กรรมบัง ใครจะแยกจากพ่อแม่ได้ เล่นอพยพไปกันหมด ตอนพ่อกลับมารับครูก็พยายามมาต่อรองขอให้รับทุน  พ่อไม่ตกลง แต่แกรับปากจะให้เรียนต่อจนจบ ม.6
............บ้านใหม่ หนองลุมพุก เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ประมาณ 40 ครอบครัว ประกอบด้วยพวกอพยพสองกลุ่ม กลุ่มใหญ่มากจาก สุรินทร์ ศรีสะเกษ อีกกลุ่มจากร้อยเอ็ดกาฬสินธุ์ ผู้ใหญ่บ้านเป็นคนสุรินทร์ มีวัดชื่อวัดอัมพวัน หลวงปู่อายุเกือบปีร้อยเป็นเจ้าอาวาส หลวงปู่อินทร์ จากสุริทนร์เป็นผู้ช่วย นอกนั้นก็เป็นพระบวชช่วงเข้าพรรษา ออกพรรษาก็สึก ไม่มีโรงเรียน ต้องเดินไปกิโลครึ่ง โรงเรียนบ้านหนองกุงคำไฮ เด็ก ๆ ไปเรียนที่นั่น ใกล้วัดมีหนองน้ำชื่อหนองลุมพุก มีต้นลุมพุกขึ้นริมขอบสระ 1 ต้น ชื่อ หมู่บ้านไปจากหนองน้ำนี่เอง ตรงกลางเขาขุดสระเก็บน้ำไว้ใช้บริโภคกันทั้งหมู่บ้าน หนุ่มสาวเย็น ๆลงมาที่หนองน้ำกัน มอง เห็นๆ รอบ ๆสระน้ำมีคนมาอาบน้ำกันเยอะ สาว ๆ หาบน้ำไปให้หนุ่มอาบ หนุ่มก็อาบมันกลางแจ้งนั่นแหละ สาวก็ยืนดู เขารู้ เห็นหมดแหละกล้ามหรือก้างแค่ไหน ส่วนสาวเขาหาบไปอาบที่บ้าน คนเฒ่าคนแก่ก็อาบที่บ้าน น้ำดื่ม หน้าฝนก็รองน้ำฝนไว้ หน้าแล้งก็มองหาบ่อที่ไหนน้ำอร่อย ก็ไปหาบมาใส่ตุ่มไว้ดื่ม บ่อที่น้ำใสเฉย ๆ ไม่อร่อยไม่เอา นี่แหละทำไมเป็นนิ่วกันมาก เพราะชอบน้ำอร่อยนี่เอง ต้องไปเข้าคิวกันเพื่อหาน้ำดื่ม ไปก่อนได้ก่อนมาทีหลังก็รอคิว หลายชั่วโมงกว่าจะได้ หน้าแล้งน้ำไหลซึม ช้ามาก แต่เห็นหนุ่มสาวเขาชอบไปรอคิวตักน้ำดื่มกัน
........รอบ ๆ หมู่บ้านเป็นป่าเต็งรัง ลักษณะเป็นป่าเสื่อมโทรม แต่ก็มีต้นไม้ขึ้นประปราย ช่วงที่ผมมาเป็นช่วงจั๊กจั่นออกพอดี เพื่อนใหม่เขาพาไปจับจั๊กจั่นไม่เคยเห็น เดินหาจับเอาจริง ๆ ได้บ้างไม่ได้บ้างมันบินหนีก่อน กลับมาบ้านพ่อหัวเราะ บอกเขาใช้ยางตังก็คือกาวเหนียวยางไม้ผสมน้ำมันยางอุ่นไฟให้ผสมกันดีแล้วเหนียว ติดปีกจั๊กจั้นไปไม่รอด หัดทำยางตังได้ก็ไปลอง จับง่ายหน่อย เห็นต้นไม้มีรอยคนเอาไม้เคาะ ถามเพื่อนเขาบอกพวกหาบ่าง เสียงคนเคาะมันนึกว่าคนจะโค่นต้นไม้ บ่างที่ หลบในโพรงจะออกบินไปต้นอื่น โดนเขาไล่จับไม่ยาก แปลกดีไม่เคยเห็น วันหลังมีพลุไม้ซาง ลองเคาะดู ใช่จริง ๆ ถ้ามีบ่าง
มันรีบออกจากโพรงบินหนี เราก็ตามยิงเอา เพื่อบ้านหลายคนรู้ว่าเรามาอยู่ใหม่ หลายคนอัธยาศัยดีมาชวนไปเที่ยวเดินป่า กว่าโรงเรียนจะเปิดว่างอยู่สองเดือน ได้ประสบการณ์มากมายทีเดียว
........เก็บผักหวานบ้านแกไม่รู้จักหรอก ไม่มีป่าได้กินแกงผักหวานอร่อยมาก สาวข้างบ้านเขาชวนไปเก็บผักหวาน ไปแต่เช้า เดินไกลซักสองกิโลเมตร เป็นป่าทึบ มีรอยคนเดินยังกะทางพระเดินจงกรม เขาบอกทางคนเดินไปต้นผักหวาน ขำดีตามรอยไป เจอต้นผักหวานทุกที มียอดมากบ้างน้อยบ้าง จนสายได้ผักหวานพอแกง สาวมาดูตะกร้าเรา เขาแบ่งให้บอกว่ามันน้อยไป ไม่พอแกงหรอก น้ำใจคนบ้านนอกเหลือเกินจริง ๆ จากนั้นก็ไปหาไข่มดแดงกัน มดแดงแถวนี้อยู่ต่ำ ไม่ต้องใช้ไม้ยาว ๆ เขาเดิน ไปหักเอารังมันมาเคาะใส่ตะกร้า ทิ้งให้มันไต่ออก ไม้ยาว ๆ มาหิ้วไปที่ใหม่ สามรังพอแกง อีกนั่นแหละเขาแบ่งให้ แกงผักหวาน ต้องใส่ไข่มดแดงถึงจะอร่อย สาวบอก กลับมาบ้านพี่สาวแย่งไปจัดการ แห่มาถามสนุกไหม ก็ดีนะความรู้ใหม่
........ไปขุดอึ่งอ่าง เพื่อนบ้านเขามาชวนพี่สาวสองคนคือพี่พุดพี่สีดาไปขุดอึ่งที่ภูเก้า ขอไปกะเขาอยากดูอึ่งเป็นตัวแบบไหน ที่บ้านแกไม่เคยเห็นหรอก สองสามวันก่อนเขาเอาต้มส้มอึ่งอ่างใส่ใบผักติ้วมาให้ถ้วยหนึ่ง ลองซดน้ำดูอร่อยนะ พอเขาจะไปขุดอึ่งจึงขอไปด้วย เด็กผู้ชายมันบอกให้เอาบั้งตังไปด้วย เดินไป ภูเก้าประมาณห้ากิโลเมตร ปีนเขาอีก ครึ่งชั่วโมง ถึงไหล่เขา ป่าไผ่เพ็ก พื้นเป็นทราย มีร่องรอยคนขุดกระจุยกระจาย เขาบอกพวกขุดอึ่งอ่าง มันมุดอยู่ในทราย ลองขุดดูนะ ไม่ค่อยเจอ แต่ พวกผู้หญิงเจอ  บ่อย เรานานมากกว่าจะได้ตัวหนึ่งดีใจมาก เห็นรูมันต้องขุดตามใจเย็น ๆ ลึกซักศอกก็ตามเจอ ผมขุด  ได้สามตัว เองก็ต้องหยุด เพราะจั๊กจั่นมันร้องระงมดงเลย เพื่อนมันมาบอกไปตัดไม้โจดมาทำคันไม้    ไปติดจั๊กจั่นกัน ปล่อยพวกพี่ ๆ เขา ขุดหาอึ่งอ่างกันต่อ ตอนเที่ยงเลยได้กินก้อยจั๊กจั่นใส่มะม่วงดิบ เดือนเมษายนมะม่วงลูกเล็กอยู่ใส่ก้อยพอดี อาหารเที่ยงเลย ไม่ต้องรบกวนอึ่งอ่าง อ้อบริเวณใกล้กันเป็นป่าต้นติ้ว หรือแต้ว ที่แมงจี่นูนชอบกินใบอ่อน อิ่มแล้วก็ทิ้งตัวมุดอยู่ใช้ต้นนั่นแหละ ชาวบ้านเขารู้ชวนไปขุดหา ตัวขนาดนิ้วมือ ได้ซักยี่สิบตัวก็พอทำกับข้าวแล้ว วิธีการเหมือนขุดหาอึ่งอ่างเลย แต่ขุดตื้นกว่า เห็นว่าวิธีการแบบเดียว กัน เลยเอามาเขียนต่อไว้ซะเลย
.........ไปคล้องกะปอม เคยฟังคนแก่เล่าเล่าเรื่องที่พรานป่าเขาไปคล้องช้างที่ดงแม่เผด สนุกมาก พอ ได้ยินคล้องกะปอมก็ถามเขาว่าเหมือนคล้องช้างไหม เขาหัวเราะบอกว่าง่ายกว่า ไปหาเชือกป่านมา    ฟั่นเชือกเส้นเล็ก ๆ 2 เกลียวยาวสักคืบเศษ ทำเป็นบ่วงรูดได้ผูกติดปลายไม้เรียว ไม้ยาวสักเมตรครึ่ง   ถ่างบ่วงให้กางไว้ แล้วค่อย ๆ ยื่นปลายไม้ไปหากะปอม คล้องคอ ให้ได้แล้วกระตุก เชือกรัดคอกระปอมให้เราจับเอาไว้ เขาสาธิตให้ดู ไม่น่าจะยาก ป่าไม้แถบใกล้ผืนนามีกะปอมเยอะมาก พอสาย ๆ แดดแก่  มันเริ่มออกแล้ว พอเราเดินผ่านไปวิ่งขึ้นต้นไม้ สูงซักเมตรก็หยุดคำนับเรา มรรยาทดีจริง ๆ ยื่นบ่วงไปคล้อง คอมีแหงนดูเชือกอีก โดนกระตุกบ่วงรัดคอไม่พลาดซักตัว วันแรกได้เกือบยี่สิบตัว เอามาบ้านพี่สาวเอาไปจัดการเอง วันหลัง มีกระปอมแดดเดียวย่างให้กิน 

เข้าเรียนต่อระดับมัธยม
.............พ่อรักษาสัญญาที่เคยให้ไว้กับครูโรงเรียนบ้านแกส่งเสริมวิทยา ต้นเดือนพฤษภาคม 2498 ก็พาไปติดต่อเข้าเรียน ที่โรงเรียนโนนสังวิทยา อำเภอโนนสัง จังหวัดอุดรธานี เป็นโรงเรียนขนาดเล็ก ระดับชั้นละ 1 ห้องเรียน เพื่อนพ่อ คุณตาโส พาไปฝากให้พักบ้านเพื่อน เมื่อเปิดเรียนก็มาอาศัยบ้านผู้ใหญ่ กลม มีคุณยายเป็นผู้ดูแลบ้าน ลูกสาวลูกชายสามคนและมีพวก ลูกหลานอีกสองคน ไม่ค่อยสบายใจ    นักก็พยายามปรับตัวนะ ช่วยหาบน้ำมาใส่ตุ่ม ช่วยปัดกวาดและเช็ดถูบ้าน เช้าก็ไปเรียน เที่ยงก็กินข้าว   ที่โรงเรียน เย็นก็กลับบ้านพัก เครียดเหมือนกัน เราเป็นคนชอบเที่ยวเล่น แก้ไม่หาย แอบไปเดินเล่นตลาด ยืนดูเขาเล่นหมากฮอร์สจนมีความรู้วิธีเล่น สามารถเอาชนะผู้ใหญ่ได้ นักเล่นหมากกระดานรู้จักเด็กแก่แดดคนนี้ดี อยู่ในสภาพนี้สองเทอม ผลการเรียนดีมากไม่มีปัญหา เทอมที่สามเลยขอให้พ่อไปฝากเป็นเด็กวัดทุ่งสว่าง
............วัดทุ่งสว่างเป็นวัดธรรมยุติ มีป่าช้าสำหรับเผาศพอยู่ด้านหลังวัด กุฎิใหญ่มีสองหลัง นอกนั้นเป็นกุฎิไม่ไผ่สำหรับพระ ฝึกรมรมวิปัสสนา เลิกกิจกรรมใช้เป็นที่พักพระเณร แต่ละหลังมี 2 ห้องนอน พระอยู่ห้อง กันให้เด็กอีกห้อง มารู้ทีหลังว่าพระ ก็กลัวผีเหมือนกัน เลยรับเด็กมาอยู่ด้วย เด็กก็มีหน้าที่รับใช้พระที่กุฏิด้วย ทำความสะอาด ตักน้ำใส่ตุ่ม ซักจีวร จัดเตรียมบาตร จัดที่ฉัน เข้าเวรทำสะอาดศาลา ตั้งที่ฉัน จัดที่ทำวัตรสวดมนต์ มาอยู่วัดเป็นงานมากขึ้น ได้ทำงานใหม่ ๆ เทกระโถน ล้าง ห้องน้ำ ก็ดีทำงานเก่งมากขึ้น ได้เห็นพระที่ท่านถือธุดงค์ พอเห็นใครอวดว่าเป็นพระธุดงค์เลยขำ ๆ หลอกชาวบ้านซะมากกว่า
วัดนี้มีเด็กวัดร่วม 20 คน ช่วยกันทำงาน ได้รับใช้พระเถระ ก็เป็นประสบการณ์ที่ดีมาก ๆ
............วัดบ้านโนนสงเปือย เพื่อนบ้านเดียวกันเป็นเด็กวัดอยู่ที่นั่น เขาชวนย้ายไปอยู่ด้วยกัน ก็ตกลงไปอยู่ด้วย เจ้าอาวาส ท่านใจดี เด็กวัดก็ไม่ถึงสิบคน พระณรมีน้อย งานไม่หนัก เป็นวัดมหานิกาย ก็เคยอยู่วัดธรรมยุติงานหนัก มาเจอวัดงานไม่หนัก ก็เลยอยู่กันสบาย ๆ ช่วยทำกิจวัตร ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ได้เรียนรู้งานวัดมากขึ้น เป็นประโยชน์มากสำหรับการดำรงชีวิตใน เวลาต่อมา
............การศึกษาเล่าเรียนเป็นไปด้วยความราบรื่น สอบได้ที่ 1 เป็นปกติ เคยมีเทอม 1 สอบตก เพราะเจอข้อสอบจังหวัด ครู เอามาทดลองใช้ ตกทั้งห้อง ที่ 1 ก็เราเองได้ 49 % อีกนิดเดียวก็สอบได้ แต่ปลายปีสอบไล่ไม่มีปัญหาอะไร เมื่อจบ ม. 3 ครูที่สอนอยู่โรงเรียนประถมใกล้บ้าน จบมาจากเกษตรกรรมชัยภูมิ 3 คน บรรจุพร้อมกัน เห็นเราเรียนจบ ม. 3 เลยชวนไปสอบ เข้าเรียนที่ชัยภูมิ เขารับเด็กเขาเรียน ม. 4 เพิ่ม 1 ห้อง 40 คน เขาเล่าว่าเป็นโรงเรียนกินนอน มีหอพักให้อยู่ฟรี มีอาหารให้ สามมื้อ ค่าเทอมฟรี แต่เสื้อผ้า เครื่องเรียนต้องหาเอง พ่อฟังแล้วชอบเลยชวนเพื่อนอีกสองคนชื่อ เพิ่ม โสดาวัตร และอีกคน ชื่อพวง นามสกุลจำไม่ได้ มีสอบข้อเขียนและสัมภาษณ์ เพิ่มกับพวงเก่งแฮะสอบได้ที่ 18และ19 ส่วน เราสอบได้ลำดับที่ 39 รองบ๊วย นึกกังวลว่าคนเก่งจากหลายจังหวัดมาประชันกัน เราต้องตั้งใจให้มาก เป็นที่โหล่เขาไม่ค่อยดีแน่
...........กลางเดือนพฤษภาคม 2501 พ่อพาไปมอบตัว ซื้อเครื่องเขียนแบบเรียน ชุดทำงาน จอบ มีด ครุถัง เครื่องมือให้ครูเก็บ เข้าห้องพัสดุ มีหมายเลขติดไว้ของใครของใคร เวลาเบิกภารโรงจะจัดให้ พวกเราเด็กใหม่ โรงเรียนให้ไปอยู่วิทยาเขตบ้านเหล่า ที่นี่พวก ม.4 มีห้องพักหลังหนึ่ง และห้องเรียน 3 ห้อง โรงเรียนมีที่กว้างสำหรับทำไร่ปอ ไร่มัน ไร่ข้าวโพด รถไถก็มีนะ แต่เอาไว้ใช้สอนวิชาช่างยนต์ ให้เรียน เวลาเตรียมดินปลูกพืช ใช้เด็ก 40 คน จอบคนละเล่ม หน้าเดิน ดีที่ตอนคราดยอมใช้รถ คงกลัวเด็ก ทำไม่ดี ตอนปลูกไม่มีเครื่องหยอดเมล็ดหรอก เด็ก ๆช่วยกันหยอด ช่วยกันดายหญ้าพรวนดิน ใส่ปุ๋ย ดูแลกำจัดมดแมลง ดินดีมาก ปอแก้วยาวเฟื้อยเลย ตอนตัดปอก็สนุก เอาลงแช่ให้เปื่อยก็สนุก ไม่สนุกเฉพาะตอนลอกปอแก้ว มันเหม็นจับใจจริง ๆ วันปกติต้องเข้าเวรลอกปอแต่เช้า อาบน้ำแล้วเข้าเรียนยังมีกลิ่นปออยู่เลยเน่ากันเพราะมันเหม็นทุกคน ส่วนวันอาทิตย์ มีจ้าง มัดละห้าสิบสตางค์ ลอกเสร็จล้างสะอาดแล้วนำไปตาก ผมเคยไปทดลองได้วันละ 5 บาทเทียว นอกจากปอก็มีพวกมัน ข้าวโพด นี่คือกิจกรรมนักเรียนโรงเรียนเกษตรกรรมชยภูมิปีแรกทำ
...........พูดถึงการเรียนการสอน มีวิชาสามัญเลขคณิต ภาษาไทย ศีลธรรม วิทยาศาสตร์แยกเรียนเป็น สัตวศาสตร์ ชีววิทยา และพฤกษศาสตร์ แปลกมากเนื้อหาที่เรียน ตอนผมอ่านตำราวิชาชุด พ.ม. ในเวลาต่อมา ไม่ยากเหมือนที่เราเรียนเลย เทอมแรกผลการสอบ ผมได้ที่ 1 กลับคืนมาแล้ว เพื่อน ๆมันมองหน้า คนที่สอบเข้าได้ที่ 1 หล่นไปอยู่อันดับ 10 บวก เจ้าเพิ่ม เจ้าพวงเพื่อกัน จองที่เกินยี่สิบมาด่าเราอีกว่ามึงรู้ข้อสอบรึเปล่า ปีสองย้ายเข้ามาเรียนในเมือง เหมือนเดิมยึดที่ 1 ได้อีก เลยได้สัมญานามว่า "บักอ้อป่อง" มีคนขอวิชาอ้อป่องกันมาก แต่มันไม่มีจริง ๆ แต่เรารู้นะกว่าทำไมได้ที่ 1 ตลอด เพื่อน ๆ มันกินยาปอบปิ้น สมัยนี้ก็คือยาขยัน ยาบ้า นั่นแหละ อ่านหนังสือไม่หลับไม่นอน ท่องกันชิบหาย เราน่ะเหรอไม่เอายาวิเศษ 
อ่านอย่างเดียว ไม่เคยท่องจำ แต่ความสามารถในการอ่านของเราสูงมาก ไม่มีใครรู้หรอกว่าอ่านหนังสือเร็วมาก หนาซัก 500 หน้า ครึ่งวันจบแล้ว หนังสือเรียน 6 เล่มเอง อ่านสัปดาห์ละสองเที่ยว เลขคณิตทำแบบฝึกหัดจบทั้งเล่มตั้งแต่เทอมแรก ส่งให้ครูตรวจ ครูสงสัยว่าใช้กุญแจรึเปล่า ก็ทดสอบให้ออกไปเขียนกระดานตรวจการบ้านแทนครู แล้วเวลาสอบวิชาเลขได้ เต็มตลอด เพราะอย่างนี้เอง วิชาอื่น ๆ ก็เช่นกัน สมัยนั้นข้อสอบเป็นแบบอันตนัย ใครท่องมาผิดไปไม่เป็น แต่เราไม่เคยท่อง มันจำได้อัตโนมัติ คราวหนึ่งครูออกข้อสอบใช้คำผิด เขียนตอบทักครูไป ถูกเรียกไปพบโดนเขกหัวทีหนึ่ง แต่ได้เต็ม
...........การเล่นกีฬา ผมได้ชื่อเป็นเด็กชอบเล่นอันดับต้น ๆของโรงเรียน สงสัยติดนิสัยมาแต่ตอนเด็ก ๆ โรงเรียนกินนอน มีเวลาว่างมาก ห้องกีฬาต่าง ๆเปิดให้เล่นได้จนสองทุ่ม ถูกใจมากหมากฮอสเอยหมากรุกเอย ปิงปอง ตะกร้อ วอลเลย์บอล ฟุตบอล บาสเกตบอล มวย ใครชอบเล่นอะไร ครูพละแกสนับสนุน ให้เล่นเต็มที่ นักเรียนทั้งโรงเรียน 240 คนเอง เวลาคัด นักกีฬา มีไม่ถึง แปดสิบคน นอกนั้นไม่เล่น ขอเป็นกองเชียร์ ผมโดนเพื่อมันยุให้ลงคัดตัวแทบทุกอย่าง ติด ฟุตบอล วอลเลย์บอล ตะกร้อข้ามตาข่าย  วิ่ง 80 เมตร 100 เมตร 4 คูณ 80 เมตร กระโดดไกล หมากฮอส ปิงปอง ไม่รู้เพราะเพื่อนมันนัดกันให้
ยอมแพ้หรือเราเก่งกว่า ไม่ทราบ แต่สงสัยจนทุกวันนี้แหละว่า อะไรจะชนะเขาไปหมด ผลเสียก็เกิดตามมา เทศกาลแข่งกีฬา ครูจับไปเข้าค่าย คุมอาหาร คุมการฝึกซ้อม เช้าวิ่งไปกลับสิบกิโลเมตร กลับมาลงสระน้ำว่ายสองรอบ พักไปทานอาหาร เข้าเรียน บ่ายซ้อม จนสองทุ่มได้พัก แทบหมดแรง เพื่อนมันชอบมาก ยุให้เราตั้งใจซ้อม ชักสงสัยแล้วพวกนี้อยากให้เราบ้าเล่นกีฬานี่เอง แต่พวกมันต้องผิดหวัง เพราะสอบได้ที่ 1 เหมือนเดิม ส่วนกีฬา ยิ่งเข้าค่ายยิ่งแข็งแรง เล่นได้คล่องตัวมากขึ้น ฟุตบอลต้องลงเล่นสองรุ่น รุ่นกลางเป็นกัปตัน รุ่นใหญ่เป็นผู้ช่วยกัปตัน พอได้เห็นลีลาการเล่น ครูพละหวงมาก เวลาเจ็บแข้ง
ขาเรียกหมอนวดชาวบ้านมาช่วย เวลาลงแข่งเฟอร์นิเจอร์เต็มสองแข้ง ยืดมาก ก็สมราคานะ ยิงได้แทบทุกนัด ปีอยู่ ม. 6 ได้รางวัลนักกีฬายอดเยี่ยมของจังหวัดชัยภูมิ ได้เสื้อสามารถ 1 ตัว
............วัยรุ่นแล้วรู้จักความรักหรือยัง ความจริงรู้จักความรักนานแล้วนะ แต่เป็นความรักของเด็ก ๆ อยากเห็นหน้า อยากอยู่ ใกล้ ๆ อยากพูดคุยด้วย เห็นเธอไปคุยกับคนอื่นก็น้อยใจ มันเกิดความรู้สึกนี้ตอนเรียนชั้น ป. 4 เองกระแดะไหมล่ะ สาวชั้น ป. 4 ด้วยกันนั่นแหละ รูปร่างหน้าตา น่ารัก พูดจากดี เพื่อน ๆชายหญิงชอบ เราก็ชอบด้วย เวลาไปทำกิจกรรมนอกห้องเรียน ก็อยากร่วมกลุ่มกับเธอ มาวิเคราะห์ดูทีหลัง ใช่เลยเราหลงรักผู้หญิงคนนี้เข้าให้แล้ว เธอชื่อสายพิน ดีที่เราย้ายไปอยู่ที่อื่น เลย ไม่ได้ติดตามข่าวหลังจบ ป. 4 เคยถามทราบว่าย้ายไปอยู่ต่างอำเภอ ไม่ได้เรียนต่อ ช่วงที่กำลังเป็นคนดังของเกษตรกรรม
นี่แหละมีเพื่อมากระซิบว่า มีสาว ๆอยากรู้จักเขาเรียนโรงเรียนประจำจังหวัด เป็นคนคอนสวรรค์ ชักคันคะเยอเหมือนกัน ก็ ดีใจนะที่มีสาว ๆ อยากรู้จัก เขานัดให้มาพบกันก็ได้พูดคุยกัน ขอบคุณที่เขามีน้ำใจ แต่ปีสุดท้ายแล้วไม่รู้จะตกทางไหน ถ้าขาดการติดต่อกันก็ขอโทษ คุยกันประมาณนี้ จากนั้นก็จบ ม. 6 แล้วกลับบ้าน อ้อจบ ม. 6 คนสอบได้คะแนนอันดับ 1-3 เขามีโควต้าเรียนที่แม่โจ้ ที่บางพระ แต่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเอง พ่อบอกไม่มีเงินให้เรียนหรอก ก็เลยจบแค่ ม. 6 ครับ เมื่อ เดือน มีนาคม 2504
..............จบ ม. 6 กันแล้ว เพื่อน ๆ อายุ 18 ปี บริบูรณ์กันทุกคน เขาไปสอบบรรจุเป็นข้าราชการกัน มีทั้งเจ้าหน้าที่เกษตร อำเภอ แถมมีครู ม. 6 ด้วย แต่เราเพิ่ง 17 ย่าง พออายุครบ 18 ปี เขายกเลิกไม่รับ ม. 6 เลื่อนไปรับระดับอนุปริญญา แทนซวยไหมล่ะชีวิตตอนปฐมวัย โลดแล่นมาดี ๆ ก็สะดุดกึกเอาตรงนี้เอง 
วิถีชีวิตช่วงวัยรุ่น 2504-2510
..............เป็นช่วงเวลาที่สอนให้รู้จักชีวิตดีขึ้น ที่ผ่านมาเป็นแบบโลกสวยทุกอย่างดูดีไปหมด ตอนนี้ได้กลับเข้ามาสู่โลกแห่ง ความเป็นจริง ได้รับรู้ความยากลำบากของครอบครัวที่ส่งเสียให้เล่าเรียนจนจบ ม.6 จนเป็นหนี้สินหลายพันบาท ต้องขายควาย ขายหมู ใช้หนี้ จนลดลงเหลือไม่กี่ร้อยบาท พ่อแม่ไม่ได้โกรธเรานะ ยังรักเสมอต้นเสมอปลาย ต่างจากสังคมรอบข้างที่เคยชื่นชม ว่าเป็นเด็กคนเดียวในหมู่บ้านที่ได้เรียนต่อ จบแล้วมันคงได้เป็นเจ้าเป็นนาย พอได้เห็นเราตกงานกลับมาอยู่บ้านเฉย ๆ แนวคิด คงเปลี่ยนไปกลายเป็นเสียงเยาะเย้ยถากถาง เวลาจะด่าลูกหลานยังแกล้งให้เราได้ยินว่า เรียนไปก็เท่านั้น เสียควายเสียหมู ไม่ได้ ประโยชน์อะไร แถมพวกที่กำลังส่งลูกไปเรียนก็ถอดใจ ให้ลูกออกก็หลายคน เสียใจนะแต่ที่เขาพูดก็เป็นเรื่องจริง ไม่กล้าไปโกรธ เขาหรอก ขนาดพี่เขยเราก็ยังเป็นกะเขาด้วย ก็เลยได้คิดใหม่จะช้วยพ่อแม่ทำไร่ทำนาเพราะแกแก่มากแล้ว ไว้มีช่องทางค่อย คิดกันใหม่
..............ไปขึ้นทะเบียนทหารกองเกินแล้ว มีเพื่อนพวกหนุ่ม ๆ หลายคนมาชวนไปทำงานหาเงิน ซื้อของมาเดินเร่ขายตาม หมู่บ้าน ก็ดีนะขายสินค้าหมดเงินก็หด เพราะต้องกินต้องจ่าย แต่รายได้มีกำไรน้อย ทำอยู่เดือนเศษก็ต้องเลิก พี่ชายนายบัวทอง ไปเรียนช่างทำทองรูปพรรณมา แกชวนไปฝึกฝีมือช่างกับแก แรก ๆ ฝึกทำครุถังจากปี๊บน้ำมันก๊าด ทำกระบวยตักน้ำสังกะสี พอทำให้ แกก็ให้หัดทำเครื่องประดับด้วยทองเหลือง ทำแหวนแบบง่าย ๆ แหวนหัวโต ๆ แหวนใส่หัวพลอย รีดทองเหลืองทำสร้อย พอทำได้บ้างก็พาออกตระเวณรับจ้างไปตามหมู่บ้านต่าง ๆ ส่วนมากก็พักที่วัด อาศัยข้าวก้นบาตรหลวงพ่อ เรามันเด็กวัดเก่านี่เลย เข้าหาพระท่าน ช่วยปัดกวาดเช็ดถูศาลาโรงฉัน ห้องน้ำสกปรกก็ทำให้ พระฉันเสร็จก็ให้เณรมาตามไปรับเอาอาหารมากินกัน พี่ชายลงไปตั้งเครื่องมือทำสร้อยแหวน ครุถัง สีกาล้อมดูแกทำงาน เราก็ลงไปเปลี่ยนแกมาทานข้าว และทำงานที่แกทำค้างต่อ ไม่นานพี่ชายก็ลงมาก็สนุกไปอีกแบบทำอยู่เดือนเศษก็เลิก เพราะงานละเอียดต้องใจเย็น ๆ ไม่ถูกโฉลกกัน เพื่อนคุ้มบ้านเดียวกัน ชวนไปเลื่อยไม่รับจ้าง เขาให้วันละยี่สิบห้าบาท ไม้ในนาเขาตัดลงจะซ่อมบ้าน ก็เอานะ เล่นกันแต่เช้าดึงเลื่อยกันไปมา ๆ จน
เที่ยงก็พักทานข้าวกัน กว่าจะเลิกก็เย็น ทำอยู่สิบวันก็หมดไม้ที่เขาให้เลื่อยแปรรูป
..............เพื่อนคนหนึ่งออกความเห็นว่าทำเครื่องจักสานขายได้นะ หวดนึ่งข้าวนี่ใบละห้าบาท กระติ๊บ ข้าว 10 บาท ก็ชวนกันไป ตัดไม้นกเขา ไม้บง บนภูเก้า เอามาจักตอกแล้วสานกัน พี่บัวทองอีกนั่นแหละมาสอนให้ สานได้เยอะเหมือนกัน แต่แจกซะมากกว่า ไม่เห็นใครขอซื้อเลย พ่อแกหัวเราะชอบใจบอกว่า ฝีมือยังไม่ดีพอ แจกเขาไปน่ะดีแล้ว ต้องฝึกมาก ๆเก่งแล้วค่อยคิดทำขาย เพื่อนก็เจอแบบเดียวกัน ความคิดจะหาบกระติ๊บข้าวและหวดมวยไปเร่ขายก็จบลงทั้งที่ยังไม่ได้ออกเดินทาง พับโครงการนี้ไว้อีก
.............เพือนกล่มเดิมมาชวนเข้าป่าหาตอไม้ประดู่ ไม้แดง ไม้มะค่า ไปค้างซักสามคืน มีข้าวสารอาหารแห้งไปด้วย มันบอกใกล้ ลงนากันแล้ว ต้องซ่อมคราดไถกัน ไปที่ภูเก้า เจอตอไม้ที่คนเขาโค่นลงจำนวนมาก ก็เลือกเอาที่มันมีรากสวย ๆ ตอไม่ใหญ่นัก จะขุดเอาไปทำหางไถ ที่มันโค้งงอสำหรับจับนั่นแหละ เลือกเอาตอที่มันมีพูรากสวย ๆ อย่างน้อย 2 พู ถึงจะคุ้ม ถ้าได้ 3 พูยิ่งดี ใช้มีดถางป่าออก เสียมขุดเซาะจนเห็นรากแก้ว ขวานตัดรากแก้วออก เหลือแต่พูรากที่เลือกจะเอาไปทำหางไถ ตัดปลายรากยาว พอเหมาะ แล้วผลักให้ตอมันล้มลง จากนั้นก็ขุดเซาะให้มันหลุดออกเป็นโครงหางไถ ใช้ขวานถากออกจนเบาพอจะแบกไปได้ อันนี้จะเอาไปตากให้แห้งก่อนค่อยตกแต่งให้เป็นหางไถ เพื่อนมันบอกมาสามวันต้องหาให้ได้ซักห้าอัน มันบอกแต่งสวย ๆแล้วขาย ได้อันละสามสิบห้าสิบเชียวนะมึง ก็เลยหากันไม่หยุดง่าย ๆ เพื่อมันได้สิบกว่าชิ้น เราได้หกชิ้นเอง เพื่อนคนหนึ่งมันกลับไปเอาล้อ มาบรรทุกกลับไปบ้าน คนเฒ่าในบ้านมาเห็นจองกันหมด เวลาตกแต่งพ่อลงมาช่วยอีกแรง เลยขายได้ทั้งหกอัน ได้เงินตั้งสองร้อย
ให้แม่ไป ต่อมาก็ไปหา ง่อนไถ แอก แม่คราด ฟันคราด สำหรับใช้เอง แต่ก็มีคนมาขอซื้อนะ เพราะเลือกไม้ดี ๆมาทำ สวยด้วย เพราะคนแต่งขั้นสุดท้ายคือพ่อ
............ช่วงลงนาก็คือช่วงเดือนพฤษภาคม คราดไถพร้อม เชือกนี่สำคัญ ไปตลาดเห็นเชือกป่านมะนิลาเส้นใหญ่ ๆ แพงไป ฟั่นเองดีกว่า ปอแก้วปลูกไว้เยอะแยะเอามาฟั่นเชือก เส้นเล็กสำหรับผูกวัวควาย สนตะพายให้มัน เส้นใหญ่ทำเชือกคร่าวลากคราด ไถ ทำเองทั้งนั้น หน้านาขอไปนอนที่นา พ่อบอกเองไปนอนได้ แต่ควายเอาไว้บ้าน เพราะเอ็งนอนดีเหลือเกิน แม่ปลุกยังไม่อยากตื่น เดี๋ยวคนมาจูงควายหนีหมด ก็จริงนอนขี้เซามาก หลานสาวมันต้อนควายมาส่งแต่เช้ามืดให้ไถนา แถมมันช่วยไถด้วย เก่งกว่าเรา 
อีกเพราะเขาทำมานาน ที่นาไม่ถึงยี่สิบไร่หรอก ไถสิบกว่าวันก็เสร็จ ที่อยากนอนนา เพราะกลางคืนมันว่าง ได้ออกเดินป่าหาหนูนา หาบ่าง มีหมาคู่ใจตัวหนึ่งมันล่าเก่ง ออกเดินป่าเมื่อไรไม่เคยพลาด เจ้าเพื่อนกันนามันอยู่ติดกันนั่นแหละ เลยมีเรื่องออกเดินป่ากัน แทบทุกวัน เวลาไปก็แค่สะพายย่ามมีเสียมและขวาน ปืนแก๊ปด้วย คอยฟังเสียงหมามันเห่าาแล้วตามไป ถ้ามันขุดคุ้ยรูก็พวกหนู แต่บางครั้งก็งูนะ ไฟฉายต้องดี มีถ่านสำรองไปด้วย ถ้ามันมองบนต้นไม้ก็บ่าง นาน ๆถึงเจอพวกอีเหน นอนกลางนามันดีหลาย อย่างแบบนี้นั่นเอง
............บางคืนฝนตกทั้งคืน ลองออกเดินตามคันนา ได้กบเขียด บางทีก็ปลา ในที่สุดก็ติดชีวิตแบบชาวนา เอาไก่มาเลี้ยง มัน ออกลูกมาน่ารักทั้งนั้น แม่มาเยี่ยมบ่อยเพราะลูกชายไม่เข้าบ้าน แกมาทำกับข้าวให้กิน หนู บ่าง กบเขียด มีไม่ขาด แถมแกปลูก ผักสวนครัวที่จอมปลวกใกล้ๆ ให้ด้วย ต้องล้อมให้ดี ไก่มันชอบ พังพอนก็แอบมาเยี่ยมลูกไก่ กลางคืนเงียบสงบยินเสียงบ่าง นก แมงกลางคืนแทรกมาสบายใจดีมาก ๆ ถัดมาไม่นานกล้าก็งาม ถึงเวลาปักดำ เสร็จปักดำก็ยังไม่เข้าบ้าน เพื่อนมันชวนลงน้ำจับ
ปลาที่เขื่อนอุบลรัตน์ เขากักน้ำปีแรกปลาชุมมาก พ่อซื้อเรือแจวให้ลำหนึ่ง ซื้ออวนถี่อวนห่างรวมแล้วห้าหกผืน แต่ละผืนยาว 50 เมตร บ้าง 100 เมตรบ้าง น้ำเขื่อนห่างจากกระท่อมนา 3 กิโลเมตรเอง ถ้าน้ำขึ้นเต็มที่ก็ถึงเขตแดนที่นา วันแรกจำได้ดีปลาติดตาข่าย หรืออวนชนิดไม่อยากกู้เลย มันม้วนเป็นเส้นเชือกจมลงพื้น ปลาตายหมด ไม่มีปัญญาปลด หาบมากระท่อมหลานสาวมาส่งข้าว มาช่วยกันปลด แล้วให้มันหาบปลาไปส่งทางบ้าน ไม่ถามว่าเอาไปทำอะไร วันหลังเห็นหาบเกลือมาให้พร้อมกับปี๊บเปล่า ๆ สองใบ บอกว่าปลาเน่าเสียให้หมักเกลือ เกือบเดือนมั้งที่ลงน้ำจับปลา ปีบสองใบกลายเป็นสิบใบ กลิ่นหอมนะ แต่คนอื่นว่าเหม็น พอมัน เค็มได้ที่พี่สาวก็มาเอาไปปรุงแต่งเป็นปลาร้า สำหรับใช้เป็นของฝากไปแลกข้าวสาร เขาว่ามันดีกว่าขายปลาร้า ต่อมาเสร็จหน้านา เก็บเกี่ยวแล้วเข้าหน้าแล้ง เพื่อนมันบอกไปนอน ในเขื่อนจับปลากัน ก็เลยเลิกนอนกระท่อมนา พ่อแม่พี่สาวมาเก็บของกลับบ้าน
..........จะลงไปเขื่อนหาปลากันเตรียมอวนถี่ตาขนาดนิ้วหนึ่ง 3 เส้น อวนห่าง ตา 2.5 นิ้ว 4 เส้น ห่างมากขนาด 4 นิ้ว เส้นเดียว เบ็ดเบอร์ 1 2 3 อย่างละ 50 หลัง เบอร์ 15-18 อย่างละ 100 หลัง เบอร์เล็ก 20 เอา 200 หลัง เรือแต่งให้มีกระโจมกันแดดฝน มีแคร่สำหรับนอนในเรือ มุ้ง เครื่องครัว ปืนแก๊บ พลุไม้ซาง ฉมวก ไฟฉาย ตะเกียง เต็มเรือ ออกแต่เช้า จำได้สมัยน้ำยังไม่ท่วม บริเวณที่เรามาจอดพักเป็นหมู่บ้าน
กุดปลาเฒ่า ห่างกันสิบกิโลเมตร ตอนนี้น้ำท่วมมิดหมู่บ้าน มีเนินดินบางแห่งยังไม่ท่วม ได้พัก กันแถวนั้นเพื่อก่อไฟทำกับข้าว เวลานอนผูกเรือกันต้นไม้ ปักหลักไม้ไผ่ให้แน่น นอนในเรือ ยุงชุมมาก ๆ มุ้งอย่าเผลอไปถีบมัน ยุงจะเข้ามาหา เราจะออกวางเบ็ดกันตามสบาย ไม่มีคนแย่ง เหยื่อบนเนินใส้เดือนหนีน้ำท่วมเยอะมาก จิ้งหรีด เขียด มีให้จับ ไปทำเหยื่อมากมาย กลางวันปลากินเบ็ดปลดไม่ทัน วางได้ไม่เกินสองร้อย สำหรับเบ็ดชายฝั่ง เบ็ดน้ำลึกใช้เบอร์ 1 2 3 เอาแค่ 20 หลังพอ เหยื่อใช้ปลาหลด ปลาดุกที่ติดเบ็ดชายฝั่ง เบ็ดใหญ่ วางไว้รอบ ๆ กอสวะใหญ่ ที่เขาลือกันว่ามีจรเข้อาศัยอยู่ มีร่องรอย มันเดินเข้าออกด้วย กลัวเหมือนกัน แต่อยากวางเบ็ด บ่าย ๆ ก็ออหาที่กางอวน ไม้ไผ่ยาวสามเมตร ปักลงผูกดึงออกไปเป็นทางยาว ทุก 10 เมตรปักหลักช่วยดึงให้ตึง ปลาติดจะได้ไม่จมง่าย กว่าจะเสร็จก็จวนค่ำ พักผ่อน ก่อนออกไปเปลี่ยนเหยือเบ็ด
...........กลับที่พัก เพื่อนมันกางมุ้งกินปลาย่างกับเหล้าขาว มันร้องด่าทักทายว่า อ้ายห่าเขียวมึงทำไงปลาดุกปลาช่อนติดเบ็ดมึง เยอะ กูเอามาย่างห้าหกตัวนะ มากินด้วยกันซิ มันรู้ว่าเราไม่หวง พอนั่งเสร็จเพื่อนอีกคนยกหม้อแกงเป็นต้มยำปลาช่อนตัวโต ใส่ใบมะขามอ่อน ปลาเบ็ดเราอีกนั่นแหละ พวกมันมีเหล้าขาวติดมาด้วยคนละขวดสองขวด แต่เราไม่ขอบเลยไม่มี เขาให้กินก็ แค่จิบนิด ๆหน่อย ๆ กินอิ่มก็ขอตัวไปดูเบ็ด เพื่อนคนหนึ่งอาสาไปส่องไฟให้ รู้นะว่ามันอยากดูเราวางเบ็ดทำอย่างไรนั่นเอง คราว หลังมันเอาเบ็ดมาด้วย ไปดูเบ็ดเบอร์ใหญ่ ได้ปลากรายยักษ์ 3 ตัว ปลาเค้าขนาดสองกิโล ตัวหนึ่ง เพื่อนมันขอปลาเค้า อยากกิน ต้มยำและห่อหมก กินอิ่มมาหยก ๆ มันบอกกูจะทำกินเช้าโว้ย ขำ ๆมัน พอเช้าจริงมันไม่เอาแล้ว มันจะเอาตัวใหม่สดกว่า ก็ ตามใจพวกมัน เช้า ๆซักโมงถึงสองโมงเช้า มีเรือซื้อปลาเร่มาถามขอซื้อปลา ก็ขายปลากันจนหมด เหลือไว้เฉพาะที่จะทำกับ ข้าว และปลาเน่าเขาไม่ซื้อ บางวันก็ได้ร้อยสองร้อยบาทเชียวนะ ไม่เลวหรอก ปลาเน่าเสียก็ทำปลาเกลือใส่ปี๊บไว้จะเอากลับบ้าน ปลาช่อนตัวโต ๆ ผมทำปลาแดดเดียวไปฝากแม่ ชะโดเอาหัวให้เพื่อนมันต้ำยำ เนื้อทำปลาส้มฝากพ่อและพี่ชาย ไปห้าคืนหมด ข้าวสารต้องกลับบ้าน ตอนเช้าเหลือปลาไว้กลับบ้านไม่ขายหมด พักสองสามวันมาใหม่
..........เป็นหนุ่มแล้วมีแฟนรึเปล่า เห็นจะมีเรื่องนี้แหละที่ยังโง่ อยู่ที่หมู่บ้านตอนเย็น ๆยังมีสาว ๆเขาเข็นฝ้ายกันอยู่นะ แต่เขา ทำกันบนบ้าน มีหนุ่ม ๆ แวะเวียนไปเยี่ยมพูดคุยกัน เคยไปหลายบ้านนะ สาวรุ่นหน้าตาสวย ๆก็หลายคน แต่ปัญหาก็คือหนุ่ม ๆแย่ง กันจีบ เราก็ประเภทคุยไม่เก่ง สู้เขาไม่ได้ แถมโดนเบรคจากพ่อแม่สาวชอบมาคุยกับเราถามเรื่องเรียนหนังสือ เมื่อไรจะไปหา งานทำ เล่นเอาใจเหี่ยวเลย โดนจี้จุดอ่อนไงทำให้ไม่ค่อยอยากจีบลูกสาวใคร ความจริงเขาถามด้วยความห่วงใย เราคิดมากเอง
มารู้ทีหลังว่าหลายคนนะเขาอยากได้เราเป็นเขย เพราะเห็นเราขยันขันแข็งทำการงานเก่ง แต่นั่นแหละคนมันมีปมด้อยเลยไม่ มีพลังที่จะแสวงหา บางสาวโดนเพื่อเราไปยุเอาไว้ก็มี สรุปได้เลยว่าไม่มีแฟนเป็นตัวตนหรอก
..........สาวนาใกล้กันหน้าตาก็ธรรมดา แต่รูปร่างใหญ่แข็งแรง ช่วงฝนตกใหม่ ๆ ผมมาซ่อมคันนาแต่เช้า เห็นเธอมาซ่อมคันนาด้วย เหมือนกัน สาย ๆ พักเหนื่อยก็เลยแวะไปถามไถ่ รู้ว่าครอบครัวเธออาศัยเจ้าของนารับจ้างทำนา เพราะเป็นญาติกัน เดิมพ่อเธอทำ งานหนัก ๆ ตอนนี้เธอต้องลงมือช่วย ทั้งขุด  ดิน จับคันไถ ทำหลายปีจนชำนาญ เราก็ชมตามความจริงก็ทำให้รู้จักคุ้นเคยกัน แต่พ่อ แม่เราคิดไปไกลมากแล้ว เห็นเราสนิทกับเขาอยากได้เป็นสะใภ้แล้ว แม่ว่าถ้าแกได้เมียขยันแบบนี้ไม่มีอดตายหรอก ว่าไปโน่น เราก็ได้แต่ยิ้มไม่มีความเห็น ไม่ได้รังเกียจแต่คิดในใจว่าไม่มีงานทำจะเอาอะไรไปเลี้ยงลูกเมีย ปี 2510 พ่อแม่จึงร้องขอให้บวชสัก 1 พรรษา สึกมาค่อยมีครอบครัว ก็ตกลงบวชก็บวช
ขุนทอง ศรีประจง
1 ธันวาคม 2559
ช่วงอุปสมบท 2510 -2516



สวัสดีปีใหม่ 2560





........ สวัสดีปีใหม่ 2560 วันนี้ยังปีวอกอยู่นะจนกว่าจะเถลิงศก ขึ้นศักราชใหม่ โน่น เมษายน 2560 ถึงจะ ปีระกาเต็มยศ เดือนนี้ สุดท้าย ปี พ.ศ. 2559 แบบฝรั่ง 1 มกราคม 2560 ถือเป็นปีใหม่ ไม่ทราบฝรั่งเขาเรียกชื่อปีอะไร เห็นเรียกกันแต่ NEW YEAR ทุกปี แบบพวกเราโก้กว่า เอาแบบไหนล่ะ ชวด ฉลู ขาล เถาะ มะโรง มะเส็ง มะเมีย มะแม วอก ระกา จอ กุล ครบ 12 ชื่อแล้วก็วนอีก ยังกะนาฬิกา เลยนับได้มากมาย ไม่ชอบแบบนี้เอาแบบสมัยปู่ทวดตาทวดก็ได้นะ เขาเรียกชื่อปีว่า ไจ้ เป้า ยี่ เม้า สี ไส้ สง้า มด สัน เฮ้า เส็ด ไค้ คล้าย ของไทยเหนือเนาะ ไจ้ ก็ตรงกับปีชวด เทียบต่อไปจน 12 ปีเช่นกัน ปีนี้เป็นปี วอก ก็ตรงกับชื่อ ปีสัน 2560 ปีถัดไปก็เป็นปี ระกา ตรงกับ ชื่อ ปี เฮ้า หรือ เร้า
..........ลาก่อนปี สัน คุณวอก ขอบคุณที่ให้ความสุขความทุกข์แก่ทุก สรรพสิ่งบนโลก คุณสัน ผ่านไปพร้อมกับดึงเอาวัยของเราไปด้วย 1 ขวบปี ดังคำพระที่ท่านว่า "อจฺเจนติ กาลา ตรยนฺติ รตฺติโย วโยคุณา อนุปุพฺพํ ชหนฺติ " ความว่า กาลย่อมล่วงไป ราตรีย่อมผ่านไป ชั้นแห่งวัยย่อมละลำดับไป
...........คำพูดของพระพุทธเจ้าสมัย 2500 ปีล่วงมาแล้ว ทำไมทันสมัยจัง คนสมัยใหม่ ที่อวดว่าการศึกษา
เจริญนัก กลับยังไม่ค่อยคิดกันเลย วันเวลาที่ผ่านมา เราทำอะไรผิดพลาดตั้งหลายอย่างนะ ปี เฮ้า ระกา
จะไม่ให้ผิดพลาดแบบนั้นอีก บางอย่างเราก็ทำได้ดีนะ ปีหน้าอยากให้ดีมาก ๆกว่าเดิม คิดแบบนี้ก็ดีนะจะ ได้ประโยชน์มาก
......พรปีใหม่ เป็นเรื่องที่คนชอบให้กัน ชอบรับเอาด้วย แต่ไม่เคยถาม กันเลยว่า ที่ให้พรคนอื่น มีพรแล้วหรือยัง แบบว่า มีเงินหรือยัง ที่คิดจะ ให้เงินลูกหลาน 5 5 5 ชอบสะกิดพวกให้พรคิดกันหน่อย ความสุข    ความเจริญ ให้กันดีนัก ทำตัวให้เกิดความสุขความเจริญด้วยล่ะ เวลา ให้พรจะดูมีพลังหน่อย ประเภทนอนแบบบนเตียงลุกไม่ขึ้นแล้วไปขอพร คงได้มาแต่ความหดหู่มากกว่าความสุขความเจริญ
.......แล้วปีนี้ล่ะ ตามีความสุขความเจริญพอจะแบ่งให้ลูกหลานบ้างไหม ก็มีไม่มาก ตามีความสุขจากได้เห็นลูกสาวลูกชาย มีการงานทำมั่นคง ทุกคน เงินเดือนมันมากกว่าตาแล้ว ก็มีความสุขระดับหนึ่งนะ  ส่วนความ เจริญนี่มีไม่มากหรอก เพราะ 72 ขวบแล้ว มันลดลง ๆ เรื่อย ๆ คือเจริญ น้อยลง แล้วยังมีความเจริญให้ลูกหลานไหม พอมีนะ อ่านข้อเขียนที่ตาเขียนก็รู้นะว่ามันกวนประสาทมากกว่าเก่า  ส่วนพวกร้อยกรอง โคลง ฉันท์ กาพย์กลอน มันทะลุไปถึงระดับไม่ต้องถามหาจินตนาการแล้ว เห็นเขาว่าร้อยแก้วร้อยกรอง มันยังเจริญรุดหน้าไปได้อยู่ นี่ไงมีความสุข มีความเจริญ ไม่มาก แต่ก็มี พอจะให้ศีลให้พรปีใหม่ได้ อยู่ คือตา ยังพอมีความสุขความเจริญอยู่บ้าง
.......พรคือความหวัง อยากให้คนที่เรารู้จัก มีความสุขความเจริญ ขณะเดียวกันก็อยากให้เขาไม่ทุกข์ยากลำบาก แล้วทำอย่างไรถึงจะเป็น ไปได้แบบพรที่เราคาดหวังล่ะ ก็เป็นพลังใจเท่านั้นเอง จะพรจากใครก็เป็น พลังใจเท่านั้น ความสุข ความเจริญ จะเกิดขึ้นจริง ถ้าคนที่รับพรมีปัจจัย พร้อมจะเกิดความสุขความเจริญ พรก็อาจเป็นจริงได้
......อยากให้ลูกหลานทุกคนมีความสุขความเจริญตลอดปีระกา และตลอดไป เอาแบบ ที่พระนิยมสวดก็ได้ เช่น (จากหนังสือสวดมนต์แปล ยกมาเลย )
อายุโท พะละโท ธีโร วัณณะโท ปะฏิภาณะโท ( ผู้มีปัญญา ให้อายุ ให้กำลัง ให้วรรณะ ให้ปฏิภาณ )
สุขัสสะ ทาตา เมธาวี สุขัง โส อะธิคัจฉะติ ( ผู้มีปัญญา ให้ความสุข ย่อมได้ประสพสุข )
อายุง ทัตวา พะลัง วัณณัง สุขัญจะ ปะฏิภาณะโท ( บุคคลผู้ให้อายุ พละ วรรณะ สุขะ แลปฏิภาณ )
ทีฆายุ ยะสะวา โหติ ยัตถะ ยัตถูปะปัชชะตีติ ฯ ( บังเกิดในที่ใดๆย่อมเป็นผู้มีอายุยืน มียศในที่นั้นๆ  )
.......พรที่อยากให้มีอะไรบ้างบอกแล้ว ทีนี้ถึงตาลูกหลานผู้รับพรบ้าง พรที่ให้ จะบังเกิดผลได้จริง สำหรับผู้อยู่เฉย ๆ ไม่ทำอะไร คงยากหน่อย พรพวกนี้จะ เกิดได้สำหรับคนที่มีคุณภาพกายและใจที่ดีงาม มีคุณธรรมศีลธรรมอันดี แบบนี้ พรเกิดได้ง่าย ทำอย่างไรล่ะถึงจะเป็นคนที่มีพรเกิดขึ้นได้ง่าย ยึดแนวปฏิบัติตาม หลักศาสนาซิ จดจำง่ายว่าต้องปฏิบัติอะไรบ้าง
.......1. พุทธศาสนิกชน ทุกประเภท ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา ต้อง ปฏิบัติศีลสิกขา ตามประเภทของตน เช่น 227 ข้อ 320 ข้อ 10 ข้อ หรือ 5 ข้อ แบบ ปฏิบัติตลอดชีวิต อยากหยุดก็ลาออก ถือ 227 ข้อ หนักมากไม่ไหว ลาสึกเสีย มา ถือ 5 ข้อ แบบอุบาสกอุบาสิกา เบื่อ 5 ข้อ ก็ลาออกเป็นคนไม่มีศาสนา หรือไป เข้ารีตศาสนาอื่น ศีลห้าเป็นคุณสมบัติขั้นต่ำสุดแล้ว
.......2. พุทธศานิกชนทุกประเภท ต้องหมั่นฝึกอบรม สมาธิ คือฝึกใจให้ตั้งมั่น ไม่เหลาะแหละโลเล ใจแบบมีสมาธินี่แหละที่ท่านอยากให้ศาสนิกชนทุกระดับ มีมากมีน้อยแล้วแต่ความสามารถ ถึงมีน้อยก็มีประโยชน์มากต่อการทำกิจการงาน มีมากก็สามารถอบรมถึงฌานสมาบัติได้ ท่านจึงระบุให้มี จิตตสิกขากันทุกคน
.......3. พุทธศาสนิกชนทุกระดับต้องขยันฝึก ปัญญาสิกขา คือศึกษาแล้วปฏิบัติ ให้เกิดปัญญา ปัญญาเป็นตัวขจัดความโง่งมงาย ท่านส่งเสริมให้ชาวพุทธฝึกปัญญา ให้มากไว้ ทั้งโลกียปัญญา และโลกุตตรปัญญา โลกียะปัญญา ฝึกอบรมให้มากไว้ สำหรับใช้ทำมาหากิน แบบเราให้ลูกหลานเรียนหนังสือนั่นแหละ ไม่เรียนก็ลำบาก ส่วนโลกุตตรปัญญา เอาไว้เดินไปสู่แดนอริยะภูมิอันนี้ต้องฝึกวิปัสสนาถึงจะเกิด
.......พูดถึงปีใหม่มาลง สิกขา 3 คือ สีลสิกขา จิตตสิกขาและปัญญาสิกขาจนได้ เพราะเชื่อว่าลูกหลานส่วนมากเป็นพุทธศาสนิกชน แต่หลักไตรสิกขานี่เป้นหลัก สากลใช้ได้กับคนทุกศาสนา คือเอาไปประยุกต์ใช้ได้ เช่นสีลสิกขา ศึกษาเรื่อง ศีลที่ศาสนากำหนดให้ปฏิบัติให้เข้าใจทุกข้อแล้วนำมาปฏิบัติให้ถูกต้อง ก็เป็น สีลสิกขาของเขา จิตสิกขา ฝึกอบรมตนเองให้เป็นคนมีใจมั่นคงตามแบบที่เขาสอน ฝึกแล้วใจเข้มแข็ง มั่นคง ก็เป็น จิตตสิกขาได้ ปัญญาสิกขาก็เช่นกัน โดยฉพาะ โลกียปัญญา จะศาสนาไหนก็เรียนกันได้หมด ปัญญาเอาไปทำมาหากินได้เช่นกัน ก็คงหยุดเขียนไว้แค่นี้ ยาวมากแล้วสำหรับพรปีใหม่ สวัสดีครับ
29-ธ.ค.-59


         ส.ค.ส. 2560


@ สวัสดีปีใหม่ใกล้..................มาเยือน
ปีวอกลาลับเลือน.....................ห่างแล้ว
ขอบคุณอยู่ร่วมเรือน.................ปีหนึ่ง แลนา
มาใหม่ระกาแก้ว......................ไก่แก้วขับขาน 


@ คิดถึงมวลพี่น้อง.................มิตรสหาย
สุขร่วมทุกข์วุ่นวาย...................ร่วมต้าน
ดีใจมิตรมากมาย.....................ใจห่วง กันแฮ
ขอส่งพรจากบ้าน.....................ฝากให้ออนไลน์ 


@ จตุพรแรกอ้าง.....................อวยพร
อายุมั่นยืนวอน.........................เทพเอื้อ
พรรณผุดผ่องจันทร.................เทียมเท่า ผ่องแฮ
สุขะพละเกื้อ............................เพียบพร้อมพรหมอวย 


@ หวังใดพึงเสร็จได้................โดยธรรม
ลาภยศเกียรติบุญนำ.................ส่งให้
สรรเสริญสุขประจำ...................เกิดก่อ รวมแฮ
ไตรรัตน์อวยเสร็จได้.................สุขสร้างเกษมศรี 


@ เจริญวัยหายโศกเศร้า...........หมองมน
เจริญกิจรุ่งเรืองกล.....................เสกสร้าง
เจริญศรีส่งเผล็ดผล..................พูนสวัสดิ์ แลนา
เจริญเกียรติพิพัฒน์อ้าง.............ดั่งฟ้าประทาน 


@ อายุวัฒน์ว่าไว้......................จีรกาล
สิริวัฒน์พิมลมาน......................ผ่องแผ้ว
ธนวัฒน์ทรัพย์บาน....................พูนก่อ มวลแฮ
ยสวัฒน์ยิ่งแก้ว.........................ก่องแก้วทุกวัน 


@ วันอาทิตย์แจ่มจ้า................จรัสศรี
เสริมสง่าบารมี...........................แก่กล้า
การงานส่งเสร็จดี......................ลุล่วง การแฮ
กอบกิจการก้าวหน้า..................ยิ่งด้วยบุญญา 


@ วันจันทร์นวลแจ่มหน้า..........เทียมจันทร์
สุขส่งเกษมสันต์.......................ผ่องแผ้ว
กายใจอิ่มอนันต์.......................ทุกเมื่อ แลนา
พรหมเทพอวยให้แล้ว.............ลาภล้นอเนกนอง 


@ วันอังคารแก่กล้า..................ฤทธี
โดยเดชฤทธิ์พึงมี.....................เกิดได้
ทำการกิจใดดี..........................ลุล่วง แลนา
ผลที่หวังวาดไว้........................เสร็จด้วยฤทธา 


@ วันพุธคำพุทธให้..................ขจัดตัว บาปเฮย
สมสั่งบุญบานบัว......................ผ่องแผ้ว
ชะจิตขัดมนมัว..........................พึงผ่อง ใจนา
จิตจรัสกลแก้ว..........................ก่องแก้วพิมลมาน 


@ พฤหัสที่แท้.........................วันครู
พึงฉลาดปัญญาดู......................จรัสแจ้ง
จรัสแจ่มเชิดชู..........................เสริมสง่า แลนา
สง่าดังเทพแสร้ง.......................เสกให้ฉลาดเชาวน์ 


@ วันศุกร์เสริมสุขทั้ง................กายใจ
เคราะห์โศกหายห่างไป.............อย่าใกล้
สบสันติ์อิ่มเอมนัย.....................พรส่ง แลนา
วานเทพพรหมท่านได้................โอบเอื้ออำนวย 


@ วันเสาร์สัมฤทธิ์ถ้วน...............ทุกพร
สุขส่งสโมสร.............................สร่างเศร้า
โชคชัยที่วานวอน......................เทพช่วย อวยแฮ
โหตุทุกสิ่งเข้า..........................หลั่งเข้าทุกพร 


@ ขุนทองบันทึกไว้...................ปีสัน
มอบส่งพรถึงกัน.........................พี่น้อง
วารดูยี่สิบมัน.............................เกินอีก เก้านา
เดือนแน่ธันวาจ้อง......................ถูกแล้ววันเขียน 


--------------
29 ธันวาคม 2559 ปีสัน (วอก)


วันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2559

จันทร์ที่ 19 เข้าวัง


จันทร์ที่ 19 ธค.2559 



...........บันทึกเอาไว้ช่วยจำนับแต่พ่อหลวงจากไป ติดตามข่าวคราวตลอดมา เคยตั้งใจว่าจะหาโอกาสไปเคารพ พระบรมศพท่านบ้าง วันอาทิตย์ไปเยี่ยมลูกสาวที่ จตุโชติ สุขาภิบาล 5 เป็นไข้ไม่สบาย ปรากฏว่าหายดีแล้ว จะไปเที่ยวไหนดี ข่าวทีวีฉายภาพคนไปไหว้พระบรมศพพอดี เลยคิดออกว่านี่ไง ไหน ๆ มาใกล้แล้ว ลองไปดูจะยุ่ง ยากมากไหม ลูกสาวบอกไม่ให้ไปคนเดียว อากาศร้อนเดี๋ยวเป็นลม ตกลงจะไปกันเช้าวันจันทร์ วันอาทิตย์ก็หา ชุด มีเกือบครบแหละขาดกางเกงขายาวกับถุงเท้า ไปซื้อกลับมาก็ตรวจดู อ้าวกางเกงยังไม่ได้เย็บขา จะกลับไป ก็ค่ำมืดแล้ว เลยบอกลูกให้หาเข็มกับด้ายมาให้ ตัดขากางเกงออก เหลือแค่พับสองทบ รีดให้เรียบ เย็บติดพับแรก ให้ติดกันสองชั้น แค่สองตะเข็บก่อน รีดซ้ำให้เรียบ แล้วพับครั้งที่สอง คราวนี้เย็บ 4 จุดให้ติดแน่นก่อน ค่อยสอย ให้รอบ ลูกสาวนั่งมองด้วยความสงสัย นึกว่าเย็บแล้วจะกล้าใส่ไหม เราก็ไม่บอกนะว่า สมัยบวชเย็บสบงจีวรบ่อย ฝีมือไม่เลวหรอก
...........เช้าตื่นตีสี่ทานกาแฟแล้วก็พากันไปเอารถไปจอดที่ทำงานลูก แล้วต่อแทกซี่ไปสนามหลวง หกโมงครึ่ง ถึงรีบไปต่อแถว เดินเกือบครึ่งกิโลเมตรค่อยเห็นท้ายแถว อ้าวใกล้พิพิธภัณฑ์แสดงว่าแถวยาวมาก เจ้าหน้าที่ให้ รีบเดินไปเต้นเพื่อพักรอ มีเต้น ก - ซ เดินตามกันไปอ้อมมาทางศาลอาญา เลียบขอบสนามหลวงไปจนถึงมุม วัดพระแก้ว เอ ทำไมคนเดินสวนมาเยอะ ที่ไหนได้แถวดียวกับเรานี่เอง ตรงหน้าวัดพระแก้วคือตรงแถววนกลับ เลยศาลอาญามาหน่อยเขาให้เลี้ยวซ้ายเข้าเต้น แต่ยังไม่ใช่ที่นั่ง โห นี่ยืนและเดินสองชั่วโมงแล้ว รอนานเขาถึง บอกมีที่นั่งว่างที่เต้น ฉ เต้นขนาดใหญ่ แปดหลัง หลังละ 2 ช่วงเสา มีป้าย ฉ1...ฉ2 ไปจนสุดท้าย ฉ 16 เก้าอี้ วางให้นั่ง 3 แถว แถวละ 4 หน้ากระดานเรียง 4 เวลาเดินเข้าวังจะเรียกแถวขวา ฉ1.-16 ก่อน ตามด้วยแถวกลางและ แถวซ้าย หมดเต้น ฉ เลยนับดูมันคนเยอะไหม แต่ละช่วงเสา เขาตั้งเก้าอี้ให้นั่งได้ 10 แถว แถวละ 4-4-4 รวม 12 คน ช่วงเสาหนึ่ง ๆก็ 120 คน 16 ช่วงเสาเป็น 1920 คน เยอะเอาการ เพื่อนบอกเขาปล่อยรอบแรกถึง ช และ ซ แล้ว นี่สามโมงเช้าแล้วนะ 



ยังไม่ถึงเต้นคิว
..........คนที่ยังไม่เคยเข้า เล่าให้ฟังว่าเขาปล่อยที่ละประมาณ 100 คน ช่วงที่กิจกรรมบำเพ็ญกุศล มีข้าราชการ มาร่วมพิธี ลดลง แต่ก็อนุญาตให้เขาไปเคารพได้ มิน่าจนเกือบเทียง ถึงเรียกเต้น ก นั่งดูอยู่ว่าไม่นานคงถึงตาเรา ตอนแรกนั่งเงียบไม่สนใจใครหรอก แต่ผ่านไปจนห้าโมงเช้าแล้วชักสนใจคนนั่งใกล้กันบ้าง เราเป็นคนพูดมาก เลยมีเรื่องคุยได้ไม่หยุด ตั้งแต่ชุดดำที่ตลาดมันแพงเพราะใช้กันมากจริง ๆ ขนาดเด็กสามขวบเขายังแต่งชุดดำ ให้ น่ารักดี แต่ชุดเด็ก 3 ขวบนี่มันเดินไม่ได้นะ เด็กสาว มช.นั่งติดกัน งง ถามว่าทำไมล่ะตา รองเท้าสีดำเขายัง ใส่ให้ลูกนี่แสดงว่าเดินได้ ปล่าวหรอกหนู ไม่สังเกตหรือตอนเข้ามานั่ง เด็กมันขี่คอพ่อมา เดินที่ไหนเล่า ยายที่ นั่งข้างหน้าสำลักน้ำ หันมาถาม ตามาจากไหนคะ คงนึกว่าเราบ้านนอกล่ะสิ ชุดดำเหมือนกันดูออกได้อย่างไร
..........เลยยืดอกหน่อย ๆ บอกไปว่า ตามาจากวังทางอีสานเหนือ จะมาเข้าวังคารวะพระบรมศพเหมือนกันนี่ แหละ มองกันใหญ่ เห็นรอยยิ้มทุกคนไม่ใช่แบบชื่นชมนี่นา เลยยืนยันว่าเรื่องจริง ไม่ได้โม้ ตามาจาก วังสะพุง จังหวัดเลย อยู่วังสะพุงตั้งยี่สิบปีนะ ชาววังตัวจริงเลยแหละ หัวเราะเลยทีนี้ไม่ใช่แค่ยิ้ม สาวมากรายหนึ่งแกบอก งั้นหนู่ก็ชาววังเหมือนตาสิ หนูอยู่ทรายขาวนะตา ทำไมไม่เห็นตาเลย อ๋อ บ้านทรายขาวตำบลหนึ่งของวังสะพุง ตอนตาเป็นครูอยู่ศรีสงครามวิทยา เด็กนักเรียนบ้านทรายขาวที่แหละมากว่าตำบลอื่น ๆ ที่หนูไม่เห็นตานั่นเรื่อง ปกติ ถ้าเห็นซิผิดปกติแน่ ตาไปอยู่วังสะพุงปี 2516 เกิดยัง หัวเราะกันใหญ่ ยังไม่เกิดค่ะ นั่นไงที่เกิดแล้วน่าจะ เป็นแม่หนู อ้าวนั่งด้วยกันนี่เอง แกแนะนำตัวหนูเป็นศิษย์เก่าศรีสงครามวิทยานะตา ปี 2540 จบ ม.6 ออกมาทำ ธุรกิจขายหวยรัฐบาล น่าน ย้อนไปหกปี 2534 ตาไปเป็นรองผอ.สามัญศึกษาแล้ว พวกหนูไม่มีวาสนาเห็นตาหรอก 
รอเต้นว่างถึงจะได้เข้าที่
ไล่ถ่ายกระแตไม่ทัน
.........คนนั้นถามคนนี้ถาม สนุกกัน ถ่ายรูปไปอวดทางบ้านสาว ๆอาสาจะไปเอาข้าวที่เขาแจกมาให้ ตาบอกอย่า เลยตาชอบออกไปโปรดสัตว์มากกว่า อ้าวตาโปรดสัตว์แบบไหน เลยต้องขยายความแบบพระไง เวลาพระไปขอ ข้าวขออาหารชาวบ้าน อุ้มบาตรไป ท่านเรียกซะโก้ว่าไปโปรดสัตว์ นี่เราก็จะไปขอรับทานเขา จะเรียกโปรดสัตว์ บ้างไม่ได้รึไง ดีจ๊ะตาหนูไปโปรดสัตว์กะตามั่ง ลุกไปห้าหกคน ไม่ได้กำลังหิวนะ แต่มันหิวนานแล้ว ไปเต้นแรก ได้ผัดซีอิ้วเส้นใหญ่ ๆ ยังกะอาหารเจ เห็นแต่เส้น ตายืนทานมันแถวนั้นแหละ เด็กสองสามคนมายืนทานด้วย มันอยากถามตาแต่ถามไม่ได้ ปากมันไม่ว่าง เอาแต่มอง เราไม่สนใจ ทานจนหมดค่อยยินถามทำไมตาไม่ไปนั่งทาน ล่ะ เลยบอก ตาคิดเหมือนพวกแกแหละ ดีไปเต้นใหม่มันตามหลังมาเลย เต้นสองนี่เป็นข้าวกับพวกเนื้อแดดเดียว ทอด ฉีกเส้นเล็ก ๆ ถ้าไม่ฉลาดไม่รู้นะนี่เนื้อแดดเดียวทอด นึกว่าเส้นด้าย ผ่านไปสองกล่องก็กลับที่นั่งได้ ตอนนี้ เห็นหมูตัวเท่าช้างแล้วไม่ใช่ช้างตัวเท่าหมู หายหิวไง 
..........ตามีลูกสาวลูกชายไหม แน่ะพออิ่มแล้วก็ตีสนิทเลยนะ ทำไมล่ะหนู อยากเกี่ยวดองกับตาล่ะซิ สาวน้อย หัวเราะบอกว่าใช่ค่ะตาคุยสนุก บอกตรง ๆได้นะว่าพูดมากไม่โกรธหรอกเพราะเรื่องจริง หัวเราะกันใหญ่ หันหน้า มาหาเรายื่นลูกอมให้เลยบอก รู้ทันนะจะปิดปากตาด้วยลูกอมใช่ไหมล่ะ แต่เอานะไม่ชอบขัดศรัทธาหรอก ตามี ทั้งลูกชาย ลูกสาวแหละ กำลังมองหาลูกสะใภ้อยู่เหมือนกัน ลูกชายมันจบหลายปีแล้วทำงานบริษัทเอกชน เป็น ลูกจ้างเขา มัวทำแต่งานเลยไม่เห็นลูกสะใภ้ซักที หล่อไหมตาลูกชายตา เลยต้องยืดอกมากหน่อยบอกว่าหล่อ แบบตานี่แหละ คราวนี้คนสำลักนมกล่องเป็นสาวน้อยที่นั่งติดกัน แหมตาถ้าหล่อแบบนี้ละก็โอเคนะ เออดีลูก เดียว ให้มันส่งคนมาทาบทาม เอ้ยไม่ใช่ส่งไลน์ก่อนซิเนาะ สมัยนี้ แล้วลูกสาวล่ะตามีไหม แหมหนูมือระดับนี้มันก็ต้องมี สิ แต่พูดมากไม่ดี ทำไม่ล่ะ อ๋อเพราะมันนั่งมองอยู่ข้างหลังนี่เอง หัวเราะกันใหญ่ เพิ่งรู้นะว่าตากลัวลูกสาว ไม่มีอะไรหนู ลูกสาวคนนี้มันดุเหมือนแม่มัน ไม่ชอบให้ตาพูดมาก ตาเลยพูดคนเดียว 

พวกคนอื่นถึงถ่ายเห็น

นี่ก็เข้าประตูกำแพงไป

...........ลุกเดินหน่อยก็ดี มีหลายที่ยังไม่ได้ไปดู ห้องน้ำไง คนกรุงเทพมันรวยเนาะ เอารถบัสมาทำส้วมสำหรับ ขี้เยี่ยว ดูสวยงามดี แต่ที่เหมือนบ้านเราคือมันเหม็นมาก ก็เข้าใจนะบ้านเรามีแต่ขี้เยี่ยวพวกบ้านนอก เหม็นน้อย แต่นี่มันขี้เยี่ยวแบบสากล นานาชาติ เลยเหม็นหนักไปหน่อย ลงมาน้ำหนักลดไปนิดเดียว ยังเดินยากอยู่ พวก ดารามาแจกน้ำ ไม่รู้ชื่ออะไร ไม่ได้อ่านชื่อป้ายที่ห้อยคอ เพราะมัวแต่จ้องหน้าเขา เออเด็กสมัยนี้มันสวยน่ารักดี แถมมีน้ำใจมาช่วยแจกของชาวบ้าน ดี ๆ กว่าจะกลับมานั่งก็อิ่มน้ำอีกแล้ว บ่ายโมงแล้วนะ เต้น ค กำลังลุกยืน ใกล้แล้วอีก บรรทัดเดียว สาวน้อยนั่งใกล้ถามว่า เป็นแบบไหนตา อีกบรรทัดเดียว อ๋อหนูเป็นนักศึกษาเคยเรียน อักษรไทยมี วรรค ก วรรค จ....ไปจนถึงเศษวรรค บรรทัดแรกก็ วรรค ก มี ก ข ค ฆ ง (แทรก ขอขวด คอคน) บรรทัดที่2 ก็ วรรค จ มี จ ฉ ช ฌ ญ มีแทรก ซ เราอยู่เต้น ฉ ก็บรรทัดที่ 2 ไง แหมตาคิดได้ไง อีกตั้ง 3 เต้น นะ คิดแบบนั้นมันก็ยาวสิ แบบตานี่แหละ บรรทัดต่อไปก็ถึงแล้ว
............บ่ายสองโมงเจ้าหน้าบอกให้เตรียมตัว โหเตรียมพร้อมแต่เช้ามืดแล้ว ที่รออยู่นี่เพราะเจ้าหน้าที่ยังไม่พร้อมต่างหาก อมยิ้มกัทุกคนแอบกระซิบว่า จริงเนาะตาเราพร้อมเสมอ แต่พวกเขาไม่มาเรียกเราซะที เตรียมแล้ว ก็หายจ้อยไป เรานั่งนับพัดลมดีกว่า มันติดพัดลมยักษ์ไว้ที่เสาระดับศีรษะ มันจะเป่ากระหม่อมเราคงกลัวหัวร้อน ฉลาดนี่หัวมันใช้คิด ถ้าหัวเย็นมันก็คิดแบบเย็น ๆ หัวร้อนคงยุ่งเอาการ สลับเสาเว้นเสา ข้างละแปด เต้นละ 16 ก็ช่วยให้ไม่ร้อนนัก ที่เย็นดีมากคือสาวแจกผ้าเย็น น่าจะมาบ่อย ๆ ชอบนะพวกดารา นี่ สาวน้อยบอกไม่ใช่หรอก ตา พวกนักศึกษาน่ะ แหมหนูไม่รู้อะไร พวกที่เขามาแจกนั่นแจกนี่ เขาคือคนใจดี ใคร ๆก็ชื่นชมเพราะใจงดงาม มาก ใจเขาเป็นดาราได้สบาย ๆ ตาเรียกพวกดาราน่ะ ถูกต้อง หนูอยากเป็นไหมล่ะ ไปช่วยขาแจกซิ เห็นยิ้ม ๆ ไม่เอาหรอก แน่ะมันเป็นดาราไม่ง่ายนา ใจดี ใจกล้า ไม่อาย ได้บุญดีด้วย 



ข้างใน



รอคิวขึ้นไปเคารพ
............ถึงเวลาลุกยืนเดินตามแถวที่หนึ่งไป มีการแซงในแถวเพื่อหาญาติพี่น้องหาเพื่อน ไม่ว่ากัน ตาไม่ค่อยมีญาติเยอะมากับลูกสองคนเอง แถวเรียงสี่ แต่ดูมีแต่พวกไม่จบ ป..6 เพราะไม่รู้เรียงสี่ เกือบแปดคนเดินออกันไป หลายคนมองกลุ่มเกินสี่ มองทำไมเขาเดินแบบรวมญาติ เดินไปแถวยาวเป็นกิโล.. แรก ๆคุยกันเอะอะ พอใกล้ ประตูกำแพงวังเงียบ เข้าใจนะว่าเดินร่วมกิโลเมตรเหนื่อย ไม่อยากอ้าปากล่ะซิ เขาให้เดินตามช่องเก้าอี้ มีสี่ช่อง กลุ่มแปดคนก็ต้องยุบ เขาให้คล้องกระเป๋าที่แขน อย่าสะพายไม่สุภาพ ช่องตรวจอาวุธ ตาผ่าน เพราะมีมีดตัดเล็บอันเดียว นอกนั้นมีแต่ยาดม กับเหรียญในหลวงสิบกว่าเหรียญ เหรียญสิบบาททั้งนั้น เดินเข้าไปที่แคบ ๆ กำแพงมีภาพเขียนสี สวยงาม อ่านชื่อคนเขียนภาพ มันเขียนกันแต่ปี 2473 คนซ่อมปี 2515 เอ..นี่มันกำแพงวัดพระแก้วนี่นา เคยพา ลูก ๆมาเที่ยวหนสองคน คนใกล้กันเขายืนยันใช่กำแพงวัดพระแก้ว เขากั้นเชือกให้เดินเลาะกำแพงไป ห้าม แตกแถวระวังถูกจีนญี่ปุ่นกลืน เพราะมันถือกล้องส่ายไปมา หาที่คลิกถ่ายรูป นักท่องเที่ยวเยอะจริง ๆ หลุดเข้าไป ดูไม่ออกหรอกไทยหรือจีน เว้นแบบตาเพราะหล่อมากกว่า สังเกตง่าย
............ออกจากวัดพระแก้ว เดินเร็วขึ้น เพราะมีแต่พวกจะไปกราบพระบรมศพ มองเห็นยอดปราสาท ที่ดูในข่าวพระราชสำนักจนจำได้ จำยอดปราสาทได้ ดูที่ประตู แถวชุดดำรอขึ้นเต็ม ยาวเหมือนกัน ก็ค่อย ๆ ขยับไป เรื่อย ๆ เห็นทหารเวรยามแล้วสงสารเนาะ เราใส่ชุดดำบาง ๆ ขนาดนี้ยังร้อนเลย ทหารมันใส่เต็มยศแบบปกติขาว ด้วยนะ ปกติเขียวก็น่าจะพอน่ะ นี่เล่นแบบเสื้อกันหนาวยามอากาศร้อน อดทนหน่อยนะลูก ทหารยามพระราชา ดูต้นไม้ในวัง มันใบหงิกยังกะสาวดัดผม น่าสงสารคนใจร้ายรึเปล่า บังคับแม้กิ่งไม้ใบไม้ บางต้นทำเป็นรูปนกครุฑ ก็แปลก ๆ ต้นไม้ก็ต้องอยู่อย่างมีระเบียบวินัย ทางบ้านเราสบายจนเคยตัวอยากขึ้นตรงไหนแอบขึ้นจนรกรุงรัง ถึงบันไดทางขึ้น รับแจกถุงพลาสติกดำ ให้ใส่รองเท้า โถถุงในวังมันต้องใส่รองเท้าด้วย ลูกสาวบอกเขาให้ถอด เก็บรองเท้าใส่ถุงดำหิ้วไปด้วย ลงมาค่อยคืนถุงเขา อ้อเข้าใจ แต่เราหิ้วไม่ไหวมีย่ามคล้องแขนอยู่ เลยยัดถุงรองเท้าใส่ในย่ามสบายไป ปีนบันไดเห็นพวกข้าราชการชุดปกติขาวมารอรับเต็ม เปล่าเขามารอรับเสด็จช่วงสี่ โมงจะมีเจ้านายเสด็จ นี่บ่ายสามยี่สิบแล้ว ถ้าเราช้ากว่านี้เจอเจ้านายเสด็จแน่ เขาเตือนให้เข้าไปพร้อมกัน 


คนอื่นเขาถ่ายไว้ กราบแบบนี้แหละ
.........วางสิ่งของด้านขวามือ ก้มกราบครั้งเดียว สาธุ ข้าพระพุทธเจ้าเกิดมาปี 2487 ทันรัชกาลพระองค์ 2489 และได้อาศัยพระบารมีพระองค์แทบทุกวัน วันไหนไม่เห็นพระบรมฉายาลักษณ์เป็นอยู่ไม่สุข ต้องหามาไว้ประจำ ไม่มีวันหลงลืมพระเดชพระคุณอันล้นเกล้าล้นกระหม่อม และอาศัยพระบารมีมาจนทุกวันนี้ ทำงานก็ทำราชการ ด้วยความตั้งใจซื่อสัตย์สุจริต เพื่อรับใช้สนองพระเดชพระคุณ ซาบซึ้งในบุญบารมีพระองค์ท่านเสมอ เมื่อเสด็จสู่สวรรคาลัย ข้าพระพุทธเจ้ารู้สึกเสียใจและเสียดายที่พระผู้เป็นสัญลักษณ์ของแผ่นดินนี้ลับหายไป ได้แต่ตั้งจิต อธิษฐานขอให้พลังบุญกุศลที่เคยสั่งสมมาแม้จะน้อยนิด แต่ก็ขออุทิศเป็นทิพยยานรองบาทถวายพระทรงธรรม ได้ดำเนินไปยังสุคติและนิพพานเทอญ สาธุ
..........คนประมาณ 100 คนเข้ากราบพร้อมกันเป็นชุด ๆ สลับกันไป ใช้เวลาไม่ถึงสิบนาที ก็เป็นอันเสร็จการ หลังจากนั้นก็ถอยออกไป เราหยุดยืนดูพระบรมโกฐ เหมือนรูปในข่าวจริง ๆ เจ้าหน้าที่แตะแขนบอก ตาไปได้แล้ว พอจะผ่านประตูออก พระสวดอย่างดังจนตกใจ แหมตะกี้ฟังเสียดนตรีย่ำยามเงียบ ๆ เศร้า ๆ ตกใจเสียงพระ รีบ ลงมา เจอตู้บริจาค ล้วงในย่ามได้เหรียญอะไรทำบุญเท่านั้นแหละ ควักออกมาอ้าวแบงค์ห้าร้อย มีรูปในหลวงยืนยัน หย่อนลงตู้เลย เดินมาคืนถุงยางสีดำ แล้วออกนอกกำแพงด้านหลัง ดูนาฬิกา 15.30 น. โหนี่เรามาอยู่สนามหลวง ลงแทกซี่หกโมงครึ่ง เก้าชั่วโมงนี่นานเหมือนกัน
.........กลับเถอะเราหมูน้อยขี้นสองแถว เขาบอกปลายทางโรงแรมรัตนโกสินทร์รับส่งฟรี ก็ไปกะเขา แต่เราจะ ขอลงปากทางถนนราชดำเนินใกล้ ๆ กองสลาก ไม่คิดจะไปเยี่ยมกองสลากหรอก ไม่ชอบ เพราะโดนหลอกมา นานแล้ว ลูกหลานโดนกินกันถ้วนหน้า แต่ตาไม่โดนหรอก เพราะไม่ได้ซื้อ จะต่อรถเมล์สายสิบสองไปอนุสาวรีย์ ลูกสาวถามพ่อรู้ได้ไง ไม่อยากจะโม้ตอนอยู่กรุงเทพมีรถคันหนึ่ง แต่มันเป็นจักรยานนะ เรียนอยู่ ม.เกษตรต้องใช้ มันเดินไกล เสาร์อาทิตย์ก็อาศัยรถเมล์ไปเดินตลาดนัดสนามหลวง สายสิบสองนี่สำหรับนั่งจากอนุสารีย์ไปหอพัก คุรุสภา หอพักนี้บริการดีราคาครู ไปพักบ่อยห้องแอร์สองเตียงราคาไม่ถึงพัน หรือไม่ก็เดินริมคลองผดุงกรุงเกษม บ่าย ๆพี่น้องร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์เต็ม ขายอาหารอีสาน ก้อยไข่มดแดงยังมีขายเลย ขึ้นรถสายสิบสอง มีแต่รถฟรี เราคนมีสตางค์อยากนั่งรถแอร์เย็น ๆ ไม่มาซักที ลูกสาวรำคาญ พาขึ้นรถฟรี สมน้ำหน้า ลงอนุสาวรีย์ ไม่มีกระเป๋า มาเก็บเงินเล้ย ขอบคุณเขาแล้วก็ลงมา
..........กระเป๋าน้ำร้อนแบบเสียบไฟฟ้า ลูกสาวแพ้อากาศให้หาไปไว้ หามาเป็นเดือนไม่ได้ซักทีเลยพาลงไปดู ร้านขายอุปกรณ์การแพทย์ ลูกสาวงง พ่อรู้ได้ไง โถอีหนูพ่อพาแม่แกมารักษาโรคภุมิแพ้กับคุณหมอโรงพยาบาล พระมงกุฎ ติดต่อหมออยู่ 3 ปี แถวนี้เดินหากินก๋วยเตี๋ยวจนจำได้หมดแหละ เข้าไปในร้านสาว ๆยิ้มให้ เห็นไหม มันไม่รู้จักตาหรอก แต่รู้จักเงินเรา พอถามหาไปหยิบมาให้ดูเลย ใช่แล้วกระเป๋าแบบนี้แหละ เสียบไฟดูหน่อย สิบนาทีร้อนฉ่าเลยแสดงว่าไม่ชำรุด ถามราคาเขาบอก 199 บาท ตายละเราเคยซื้อ 275 บาท รึมันของปลอม ลูกสาวบอกมันถูกดีไม่ต้องถามเขาหรอก ได้กระเป๋าเลยขอนั่งแทกซี่ไปที่จอดรถ เสีย 55 บาทเอลง ตอนเช้ามา 160 มันไม่ทอนเลย ขึ้นรถแล้วก็กลับจตุโชติ สุขาภิบาล 5 แวะตลาดออเงิน ซื้อปลาเผา และแจ่วบอง ลาบเนื้อ ไปกินที่บ้าน กินแล้วจะกลับ แต่เปล่าสงสัยเหนื่อยมากเลยหลับไม่ได้กลับจนรุ่งเช้า
...........เสร็จภารกิจที่ตั้งใจมาเยี่ยมดูลูกสาวป่วย มันก็หายดีแล้ว พาเราไปกราบพระบรมศพได้ รายการแถมคือ ไปกราบพระบรมศพนั่นแหละ เพราะเห็นว่าว่างก็เลยอยากไป และก็ไปได้สำเร็จ แม้จะเสียเวลานิดหน่อยแค่เก้า ชั่วโมงเอง อะไรจะบังเอิญขนาดนั้น รอไหว้พระบรมศพรัชกาลที่ 9 ใช้เวลารอ เก้าชั่วโมง สาธุ ๆ

วันพุธที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2559

เดือนอ้ายบุญเข้ากรรม


เดือนอ้ายบุญเข้ากรรม 

-----------
...........วันหนึ่งยายที่บ้านเล่าว่า เพื่อนชวนไปทำบุญปริวาสกรรม เป็นวัดต่างจังหวัด จึงปฏิเสธไป เสียดาย
เหมือนกันที่ไม่ได้ไปกะเขา ก็ได้แต่ปลอบใจว่า บุญแล้วแหละยายที่ไม่ได้ไป ยายก็ทำหน้างง ไม่ได้ไปร่วม ทำบุญกลับบอกว่าเป็นบุญที่ไม่ได้ไป ก็เลยเล่าเรื่องปริวาสกรรมให้ฟังว่า ปริวาสกรรม  เป็นงานที่คนสมัยก่อนนิยมจัดขึ้น ในเดือนเจียงหรือเดือนอ้าย ทางอีสานเขาเรียก ฮีตเดือนอ้าย พระสงฆ์องค์เจ้าเข้ากรรม เป็นกิจกรรมที่พระ จัดขึ้น เพื่อพระที่มีความประสงค์จะเข้ากรรม ให้ไปสมัครเข้ากรรมกันได้ วัดที่จะจัดกิจกรรมนี้ต้องมีพระที่ เรียนรู้พระวินัยอย่างดี โดยเฉพาะวิธีออกอาบัติสังฆาทิเสส จึงจะจัดได้ถูกต้องตามพระวินัย ที่เรียกงานนี้ ว่าการจัดงานปริวาสกรรม ความจริงต้องเรียกว่า
พิธีออกอาบัติสังฆาทิเสส
...........ทางวัดผู้จัด ต้องมีพระภิกษุ ที่ไม่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส อย่างน้อย 20 รูป เพื่อทำหน้าที่
...........1. สงฆ์ 4 รูป ให้ปริวาส แก่ภิกษุผู้ประสงค์จะเข้าร่วมพิธีออกจากอาบัติสังฆาทิเสส
...........2. จัดเป็นพระอาจารย์กรรม ดูแลพระที่เข้าปริวาสกรรม ให้เป็นไปตามระเบียบแบบแผน
...........3. สงฆ์ 4 รูป ให้มานัต 6 ราตรี แก่ภิกษุผู้อยู่ปริวาสครบแล้ว หรือภิกษุที่ไม่จำเป็นต้องอยู่ปริวาส ที่มีสิทธิ์ ขอมานัตได้เลย
...........4. จัดอาจารย์กรรมดุแลการประพฤติมานัต 6 ราตรี ของภิกษุผู้ได้รับอนุญาตมานัต 6 ราตรี
...........5. สงฆ์ 20 รูป ประชุมเพื่อสวดอัพภาณกรรม ให้ภิกษุที่อยู่ปริวาส ครบแล้ว และอยู่มานัต 6 ราตรีแล้ว
...........ภิกษุผู้ประสงค์จะเข้าร่วมงานปริวาสกรรม ได้แก่ภิกษุผู้ต้องอาบัติสังฆาทิเสส 13 ข้อ เพียงข้อเดียว หรือ หลายข้อ ส่วนมากจะรู้ตัวว่าต้องอาบัติ เว้นบางข้อที่อาจสงสัย จนได้รับคำชี้แจงจากผู้รู้ก็สรุปได้ว่าตนเองต้องอาบัติ สังฆาทิเสส เมื่อต้องอาบัติสังฆาทิเสส เป็นหน้าที่ที่จะต้องรีบรายงานให้ภิกษุรูปอื่นทราบทันทีในวันที่ต้องอาบัติ ลักษณะนี้เรียกว่า ต้องอาบัติแล้วไม่ได้ปกปิดไว้ เวลาไปร่วมกิจกรรม ก็ขอมานัต 6 ราตรีได้เลย ไม่ต้องขอปริวาส ส่วนคนที่ต้องอาบัติแล้วลืมแจ้งภิกษุอื่น หรืออายไม่กล้าเปิดเผย ปล่อยไว้หลายวันค่อยกล้าบอก ลักษณะนี้เรียกว่า ต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้ว ปกปิดไว้ ให้นับวันที่ปกปิดไว้ นานกี่วัน ต้องขอปริวาสกรรมจำนวนเท่านั้นก่อน ค่อยมี สิทธิ์ขอมานัต 6 ราตรี
..........อยู่ปริวาสกรรมคือทำอะไร คือรับโทษที่ต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้วปกปิดไว้ นานเท่ากับจำนวนวันที่ปิด 3 วัน 7 วัน 15 วัน 1 เดือน ต้องแจ้งคณะสงฆ์ที่ไปขอปริวาส คณะสงฆ์ก็จะให้อยู่ปริวาสตามจำนวนวันที่ปกปิด เวลาอยู่ปริวาส ปฏิบัติอย่างไร คณะสงฆ์จะมอบหมายพระอาจารย์กรรม ดูแลพระที่อยู่ปริวาส มีที่อยู่ชัดเจน พระที่อยู่ปริวาสในความดูแล จะกระจายไปรอบ ๆที่อยู่ของอาจารย์กรรม ห่าง 2 ช่วงปาก้อนดินตก และต้องปฏิบัติ ตนในฐานะผู้รับโทษ นิยมปักกลดอยู่ตามลำพัง ไม่ยินดีต่อการทำความเคารพ หรือการอุปัฎฐาก จากโยมหรือจาก พระภิกษุสามเณร ไม่คบหาสมาคมกับพระเณรรูปอื่น เว้นอาจารย์กรรมที่ต้องรายงานทุกวัน ถ้ามีพระผ่านมาพบ ก็ต้องรายงานสถานะของตนทันทีว่ากำลังอยู่ปริวาสกรรม ถ้าไม่ปฏิบัติ ถือว่าปริวาสกรรมล่ม ต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ เป็นการลงโทษตนเองไปในตัว
..........เมื่ออยู่ปริวาสครบ เข้าไปหาอาจารย์กรรม อาจารย์นำไปรายงานต่อคณะสงฆ์ 4 รูป และขอมานัต 6 ราตรี คณะสงฆ์จะสอบถามอาจารย์กรรม เห็นวาชอบแล้วก็อนุญาตมานัต 6 ราตรี ให้ มีอาจารย์กรรมควบคุมดูแลเช่นกัน
.........การประพฤติมานัติ ก็คืออยู่ปริวาสกรรมนั่นเอง วิธีปฏิบัติตนเหมือนกัน รายงานอาจารย์กรรมทุกวัน จนกว่า จะครบ 6 ราตรี อาจารย์กรรมจะนำไปรายงานต่อคณะสงฆ์ 4 รูปและนัดหมายเข้าประชุมสวดระงับอาบัติ ที่เรียก สวดอัพภาณโดยสงฆ์ 20 รูป เป็นอันจบกระบวนการออกอาบัติสังฆาทิเสส
.........จากกระบวนการที่เล่า พระจัดงานปริวาสกรรม ท่านจัดเพื่อช่วยเหลือกัน เพราะจะหาพระ 20 รูป มาสวด อัพภาณระงับอาบัติให้ ไม่ง่ายเลย เมื่อมีวัดใดวัดหนึ่งจัด พระที่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ท่านก็ไปร่วม เสร็จงาน ก็พ้นอาบัติสังฆาทิเสส เป็นผู้มีศีลบริบูรณ์ได้เหมือนเดิม
.........ยายนั่งงง ถามว่าแล้วที่บอกไปทำบุญปริวาสกรรม ได้บุญมากกว่าทำบุญทั่วไป จริงหรือเปล่า ก็ตอบ ได้เลยว่าไม่เกี่ยว งานปริวาสกรรมเป็นงานที่พระผู้ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ไปสมัครเป็นนักโทษ เพื่ออยู่กรรม จนครบตามข้อกำหนด แล้วขอให้คณะสงฆ์สวดระงับอาบัติให้ ไม่ใช่เรื่องน่าชื่นชม จะไปเหมาว่าได้บุญมาก บุญน้อยจากตรงไหน อยากได้มากทำที่บ้านก็ได้ ทำทาน ปฏิบัติศีล ภาวนา ทำลงไป ทำมากก็ได้บุญมาก ไม่ เห็นจะยุ่งยากอะไร
..........สังฆาทิเสส ที่พระล่วงละเมิดแล้ว ต้องไปเข้ากรรมเพื่อระงับอาบัติ มันว่าอย่างไรบ้าง ยายอยากรู้
คือศีล 227 ข้อของพระภิกษุ ท่านจัดเป็นหมวดหมู่ ตามลำดับหนักเบา ดังนี้ คือ
...........1. ปาราชิก 4 (อาบัติหนัก ละเมิดแล้วขาดจากการเป้นพระภิกษุทันทีแก้ไขไม่ได้ บวชใหม่ก็ไม่ได้)
...........2. สังฆาทิเสส 13 (อาบัติหนัก แต่ยังมีทางออกด้วยการเข้ากรรมและอัพภาณ)
...........3. อนิยต 2 (อาบัติ ที่ไม่แน่จะหนักหรือเบา ต้องให้อาจารย์ผู้รู้สอบสวนก่อน)
...........4. นิสสัคคียปาจิตตีย์ 30 (อาบัติเพราะการจับต้อง การสะสม สิ่งของ ต้องสละก่อน ถึงแสดงอาบัติได้)
...........5. ปาจิตตีย์ 92 (อาบัติเบา แสดงถึงกิริยาอาการไม่งาม สารภาพต่อภิกษุอื่น ออกอาบัติได้)
...........6. ปาฎิเทศนียะ 4(อาบัติน่าติเตียน เมื่อแก้ไขแล้วข้อที่น่าตำหนิก ก็แสดงอาบัติได้)
..........7. เสขิยวัตร 75 (กิริยาอาการไม่ควรทำ เป็อาบัติเบา แสดงต่อภิกษุอื่น เพื่อออกอาบัติได้)
..........8. อธิกรณ์สมถะ 7 เป็นวิธีระงับอธิกรณ์ 7 วิธี
ทีนี้พูดถึงอาบัติสังฆาทิเสส 13 ข้อ ที่ทำให้เกิดงานปริวาสกรรม มีอะไรบ้าง
1. ภิกษุแกล้งทำให้น้ำอสุจิเคลื่อน ต้องสังฆาทิเสส.
2. ภิกษุมีความกำหนดอยู่ จับต้องกายหญิง ต้องสังฆาทิเสส.
3. ภิกษุมีความกำหนดอยู่ พูดเกี้ยวหญิง ต้องสังฆาทิเสส
4. ภิกษุมีความกำหนัดอยู่ พูดล่อให้หญิงบำเรอตนด้วยกาม ต้องสังฆาทิเสส.
5. ภิกษุชักสื่อให้ชายหญิงเป็นผัวเมียกัน ต้องสังฆาทิเสส.
6.. ภิกษุสร้างกุฎีที่ต้องก่อและโบกด้วยปูนหรือดิน ซึ่งไม่มีใครเป็นเจ้าของ จำเพาะเป็นที่อยู่ของตน
ต้องทำให้ได้ประมาณ โดยยาวเพียง ๑๒ คืบพระสุคต โดยกว้างเพียง ๗ คืบ วัดในร่วมใน และต้อง
ให้สงฆ์แสดงที่ให้ก่อน ถ้าไม่ให้สงฆ์แสดงที่ให้ก็ดี ทำให้เกินประมาณก็ดี ต้องสังฆาทิเสส
7. ถ้าที่อยู่ซึ่งจะสร้างขึ้นนั้น มีทายกเป็นเจ้าของ ทำให้เกินประมาณนั้นได้ แต่ต้องให้สงฆ์แสดงที่ให้ก่อน
ถ้าไม่ให้สงฆ์แสดงที่ให้ก่อน ต้องสังฆาทิเสส
8. ภิกษุโกรธเคือง แกล้งโจทภิกษุอื่นด้วยอาบัติปาราชิกไม่มีมูล ต้องสังฆาทิเสส.
9. ภิกษุโกรธเคือง แกล้งหาเลสโจทภิกษุอื่นด้วยอาบัติปาราชิก ต้องสังฆาทิเสส.
10. ภิกษุพากเพียรเพื่อจะทำลายสงฆ์ให้แตกกัน ภิกษุอื่นห้ามไม่ฟัง สงฆ์สวดกรรมเพื่อจะให้ละ
ข้อที่ประพฤตินั้น ถ้าไม่ละ ต้องสังฆาทิเสส
11. ภิกษุประพฤติตามภิกษุผู้ทำลายสงฆ์นั้น ภิกษุอื่นห้ามไม่ฟัง สงฆ์สวดกรรมเพื่อจะให้ละ
ข้อที่ประพฤตินั้น ถ้าไม่ละ ต้องสังฆาทิเสส
12. ภิกษุว่ายากสอนยาก ภิกษุอื่นห้ามไม่ฟัง สงฆ์สวดกรรมเพื่อจะให้ละข้อที่ประพฤตินั้น ถ้าไม่ละ
ต้องสังฆาทิเสส.
13. ภิกษุประทุษร้ายตระกูล คือประจบคฤหัสถ์ สงฆ์ไล่เสียจากวัด กลับว่าติเตียนสงฆ์ ภิกษุอื่นห้ามไม่ฟัง
ต้องสังฆาทิเสส.
        ว่าจะเล่าสั้น ๆ ฮีตเดือนอ้าย บุญเข้ากรรม แต่ก็ยาวจนได้ ชาวบ้านอย่างเราควรรู้จักบ้าง จะได้รู้ว่าอะไรเป็น อะไร ที่จริงงานนี้ควรปล่อยให้พระท่านทำของท่านไปจะสะดวกกว่า อยากสนับสนุนก็แค่ไปบริจาคเสบียงให้ท่าน แล้วก็รีบกลับ อย่าไปเกะกะพระท่านเลย เดี๋ยวปริวาสกรรมขาด ต้องหนับหนึ่งใหม่ ยุ่งอีก

วันจันทร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2559

บุญกับกุศล


บุญกับกุศล
..............บ้านเราเก่งทำบุญกันทุกคน โดยเฉพาะการทำทานทำกันมาก สังเกตดูวัดวาอาราม งดงามมาก   ล้วนแต่ผลการทำทานทั้งนั้น แต่พอชวนสนทนาเรื่องบุญกุศล แรก ๆก็คุยกันได้สบาย ๆ แต่พอถามว่า บุญกับกุศลนี่ มันต่างกันตรงไหนทำไมมีสองคำ  สะดุดทุกทีว่า เอ  บุญกุศล นี่มันสองคำ เหมือนกันรึต่างกันอย่างไร ปกติเราจะ พูดคำบุญกุศลติดปากจนเข้าใจว่าเป็นเรื่องเดียวกัน มาลองศึกษาดูนะว่ามันเหมือนกันหรือต่างกันอย่างไร
 ...........พจนานุกรมไทยฉบับราชบัณฑิตยสถาน ให้ความหมายไว้ ดังนี้
            บุญ บุญ-[บุน บุนยะ-] น. การกระทําดีตามหลักคําสอนในศาสนา ความดี คุณงามความดี. ว. ดี เช่น คนใจบุญ มีคุณงามความดี เช่น คนมีบุญ. (ป. ปุญฺ? ส. ปุณฺย).[บุน บุนยะ-] น. การกระทําดีตาม   หลักคําสอนในศาสนาความดี คุณงามความดี. ว. ดี เช่น คนใจบุญ มีคุณงามความดี เช่น คนมีบุญ.
ป. ปุญญ ส ปุณย
...........แต่คำกุศล แยกไปแปลไว้ต่างหากว่า
           กุศล น. สิ่งที่ดีที่ชอบ บุญ. ว. ฉลาด. (ส. กุศล ป.กุสล
..........พจนานุกรม เปลื้อง ณ นคร ให้ความหมาย บุญว่า น. สิ่งที่ดี, สิ่งที่ชอบ, บุญ. ว. ถูกต้อง, สมควร, เหมาะ, งาม สบาย, ไม่มีโรค, เรียบร้อยดี มั่งคั่ง รอบรู้ ชำนิชำนาญ, คล่องแคล่ว, ฉลาด.
..........ความหมาย ของบุญ และ กุศล ที่คล้ายกันคือหมายถึงความดีงาม ความหมายของกุศลยังหมาย
ความถึงบุญด้วย ส่วนที่ต่างกันคือ กุศลนอกจากความหมายที่คล้ายบุญแล้ว ยังมีความหมายที่ต่างออก
ไปได้แก่ ความ ถูกต้อง งาม ไม่มีโรค มั่งคั่ง เรียบร้อย รอบรู้ ชำนิชำนาญ คล่องแคล่ว ฉลาด แสดงว่า
กุศล มีความหมาย กว้างกว่า บุญ นั่นคือสองคำนี้มีความหมายที่ต่างกันด้วย
...........ที่เกิดบุญและกุศล มีกำหนดไว้ชัดเจน ที่เกิดแห่งบุญเรียกบุญกิริยาวัตถุ 3 อย่าง หรือ 10 อย่าง
ทานมัย สีลมัย และภาวนามัย เรียกบุญกิริยาวัตถุ 3 ส่วนบุญกิริยาวัตถุ 10 เพิ่มจาก 3 อย่างอีก 7 ข้อ
ได้แก่ อปจายนมัย (ประพฤติอ่อนน้อมถ่อมตน) เวยยาวัจจมัย(ขวานขวายรับใช้) ปัตติทานมัย แบ่งส่วนบุญ) ปัตตานุโมทนามัย(อนุโมทนาบุญ) ธัมมัสสวนามัย(ฟังธรรม หาความรู้) ธรรมเทศนามัย(สอนธรรม ให้ความรู้) ทิฎฐุชุกัมมะ (ทำความเห็นให้ตรง)
............ที่เกิดแห่งกุศล เรียก กุศลกรรมบท 10 ประการ คือแนวปฏิบัติที่จะทำให้ได้กุศล ได้แก่
ก. กายกรรม 3 ประการ
          1. ไม่ฆ่าหรือทำลายชีวิตผู้อื่น
          2. ไม่ลักขโมย หรือยึดเอาทรัพย์ของผู้อื่นมาเป็นของตน
          3. ไม่ประพฤติผิดในกาม
ข. วจีกรรม 4 ประการ
         4. ไม่พูดเท็จ
         5. ไม่พูดส่อเสียด
         6. ไม่พูดคำหยาบคาย
         7. ไม่พูดเพ้อเจ้อ
ค. มโนกรรม 3 ประการ
         8. ไม่โลภอยากได้ของคนอื่น
         9. ไม่คิดพยาบาทปองร้ายผู้อื่น
        10. เห็นชอบตามคลองธรรม
..........พิจารณาที่เกิดแห่งกุศล กายกรรม 3 วจีกรรม 4 ตรงกับ สีลมัย ส่วนมโนกรรม 3 จะสอดคล้องกับ
ภาวนามัย ที่ไม่ตรงกันเลยคือ ทานมัย ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า บุญและกุศล มีส่วนคล้ายกันด้วยและต่างกัน
ด้วย เมื่อเราทำบุญด้วยทานมัย เราได้บุญล้วน ๆ อาจไม่เกิดกุศลหรือเกิดก็ได้ เพราะทานมัยคือวิธีขัด เกลา โลภะ ทำทานที่มีผลให้โลภะเบาบางลงเรียกว่าเกิดกุศลกรรมบทข้อที่ 8 ถ้าทำบุญด้วยวิธี สีลมัย  จะได้บุญ ด้วย และเกิดกุศลตามข้อ 1-7 ด้วย ทำบุญด้วยวิธีภาวนามัย ได้บุญด้วย และเกิดกุศลตามข้อ  8-10 ด้วย
...........บุญกับกุศล เป็นคนละคำ ต่างกันในแง่การแปลความหมาย  เมื่อพระท่านอธิบายที่เกิดบุญ ที่เรียกบุญกิริยาวัตุถุ 3 หรือบุญกิริยาวัตถุ 10  ส่วนกุศลท่านเรียก กุศลกรรมบถมี 10 อย่าง ก็คงได้ความรู้เพียงเท่านี้  ไม่สรุปหรอกว่าอันเดียวกันหรือต่างกัน ชอบแบบไหนสรุปแบบนั้นแหละครับ ไม่มีปัญหาที่สำคัญคือ การปฏิบัติให้เกิดบุญ และการปฏิบัติให้เกิดกุศล สวนตัวของกระผมชอบกุศลมาก    จึงลำเอียงอยากสะสมกุศลมาก ๆ ส่วนบุญก็ทำไปตามปกติ ครับ สวัสดี    
----------------------
ขุนทอง ศรีประจง

19/11/2559

วันอังคารที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2559

อัตตชีวประวัติ 3


เพิ่มเติมที่ตกหล่น
.......เขียนยาวมากไปแล้ว กำลังจะหาภาพมาลงประกอบ พอดีนึกขึ้นได้ว่าขาดเนื้อเรื่องสำคัญไปสองอย่าง คือเรื่องภรรยาและ บุตร เขียนถึงน้อยไป ก็เลยขอนำมาต่อท้ายตรงนี้แล้วกัน ภรรยาคนแรก น.ส.กาญจนา สิริหล้า เดิมเธอชื่อ น.ส.อู่แก้ว สิริหล้า มาเปลี่ยนเป็นกาญนา สิริหล้า ภายหลัง ชื่อเล่น    เขาเรียก แก้วเฉย ๆ คุณพ่อตาชื่อ ตาคูณ สิริหล้า คุณแม่ยาย นางวันดี สิริหล้า คุณตาเป็นครูโรงเรียนประจำจังหวัด จนเกษียณ มีบุตรธิดาหลายคน นายอารีย์ สิริหล้า นายสุระ.สิริหล้า นางบุญเจือ สิริหล้า และน.ส.อู่แก้ว สิริหล้า พี่ชายคนโตเป็นครู พี่ชายคนรองเป็นช่างไฟฟ้า พี่สาวเป็นแม่บ้าน คุณอู่แก้ว      สิริหล้า จบมัธยมจาก กรุงเทพฯ ที่โรงเรียนเพาะช่าง กลับมาเรียนครูที่วิทยาลัยครูอุดรธานี ได้วุฒิครู ปป.ไปสอบบรรจุที่จังหวัดเลย ที่โรงเรียนบ้านหนอง หมากแก้ว ตำบลปวนพุ อำเภอภูกระดึง จังหวัด    เลย ต่อมาได้ย้ายมาสอนที่โรงเรียนบ้านไร่พวย ตำบลหนองหิน อำเภอภูกระดึง มีพี่ชายเป็นครูใหญ่    ช่วงนี้เองที่ได้รู้จักกัน และนำไปสู่การแต่งงานในเวลาต่อมา อยู่ด้วยกันก็มีความสุขดีตามสมควร เป็น   แม่บ้าน ที่น่าประทับใจ ไม่ค่อยพูด แต่อยู่นอกบ้านทราบว่าพูดเก่ง อยู่บ้านเธอเอาแต่ยิ้มก็เลยไม่มีเรื่อง ให้ทะเลาะกัน กินง่ายอยู่ง่าย คงเพราะอยู่กรุงเทพ ฯ นาน เลยทำอาหารอีสานไม่เก่ง ต่างจากแม่ยาย      ที่ทำอาหารพื้นบ้านได้อร่อยมาก ๆ เราไปช่วยแกทำบ่อย และได้เรียนรู้การทำอาหารจากแกหลายอย่าง ทีเดียว มีเรื่องที่ขำไม่หายอยู่วันหนึ่งคุณกาญจนาเธอกลับมาจากทำงาน มาถึงก่อน เธอสับเส้น มะละกอใส่กะละมังไว้ เก็บผักมาพร้อม พอเรากลับถึงบ้านมากระซิบว่าตำส้มให้กินหน่อย แม่ยายมาเห็นด่าเอา  ”กูนึกว่ามึงจะตำส้มไว้ให้ผัวกิน มึงเตรียมไว้ให้ผัวทำให้กินนี่เอง” เราหัวเราะเพราะรู้อยู่ว่าแกทำอาหารอีสานไม่เก่ง เวลาเราจะ ตำแจ่วบองก็ทำเยอะ ๆ ใส่กระปุกไว้ให้ แกเอาไปกินที่โรงเรียน เพื่อนครูสาว ๆ มาเยี่ยมบ้านชมใหญ่เลยว่าพี่เขยตำแจ่วบองอร่อย .ประมาณ ปี 2535 สุขภาพเธอเริ่มแย่งลง เป็นภูมิแพ้ ประเภทหอบหืด ก็รักษา กันตามสภาพ เพราะบ้านอยู่เขตเทศบาลเมืองเลย คลินิก โรงพยาบาล อยู่ไม่ไกล เพื่อนแกหลายคน ก็เป็นพยาบาลเคยได้รับคำแนะนำมากมาย แต่อาการก็ยังไม่ดีขึ้น ยาพื้นบ้าน  กว่า 50 ขนาน หามาให้ทดลองใช้ แต่อาการไม่ดีขึ้น เคยไปรักษาที่โรงพยาบาล พระมงกุฎเกล้า 3 ปี   และพาไปผ่าตัดต่อมหอบหืดที่ โรงพยาบาลโคกเคียน นราธิวาส ก็ไม่หาย ที่สุดเธอก็จากไปปี 2542     ทิ้งมรดกไว้ ให้ 3 คนคือ
..........คนโต ศศิธร ศรีประจง (เดชไทย) ครูเชี่ยวชาญ พิเศษ ปริญญาโท วิชา เอกภาษาอังกฤษ ทำงาน ที่ โรงเรียนศรีสงครามวิทยา
..........คนที่ 2 โฆษิต ศรีประจง วท.บ. พืชไร่ จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ทำงานบริษัทเอกชน กรุงเทพ ฯ มีบ้านอยู่ที่สุขาภิบาล 5
..........คนที่ 3 สาวิตรี ศรีประจง วท.บ. เทคโนโลยีสารสนเทศ จาก ม.มหาสารคาม ทำงานเป็นโปรแกรมเมอร์ ที่กรุงเทพ ฯ
............ลูกคนกาญจนา เป็นอภิชาติบุตรทุกคน ขยัน อดทน ไม่เรื่องมาก เราเลี้ยงลูกด้วยความรักความเมตตา ก็มีบ้างที่ดุด่า ว่ากล่าวเมื่อลูกซน เคยตบบ้องหูเจ้าเหน่งเพราะตีกันกับพี่สาว มันหนีขึ้นไปหาพ่อตาที่สวน แม่ร้องไห้พากันตามหาลูก อารมณ์โมโห วูบเดียว ทำร้ายจิตใจลูก แต่นั้นมาเลิกดุด่า มันอยากเล่นเกมซื้อเครื่องเล่นเกมให้ อย่าแย่งกันนะ เล่นคอมเป็นซื้อคอมให้ จนตายาย บ่นสอนลูกเล่น   เกม แต่เราเชื่อเล่นมาก ๆ มันเบื่อเองแหละ พอเบื่อก็หันมาดูข่าว หาวิชาความรู้ไปเขียนรายงาน ดูบัน  เทิง จนติดคอมทุกคน คนโตจบปริญญาตรี สอบบรรจุ ขณะที่พ่อเป็นกรรมการสอบบุรรจุ เห็นคะแนน    ลูกสอบไม่ผ่านขาด 6 คะแนน ไม่ยอมช่วย ให้ตกไป ปีถัดมาสอบใหม่ มีคนด่าว่าบ้า แต่ลูกภูมิใจที่       พ่อไม่ช่วย ตอนนี้จบปริญญาโทแล้ว ที่สำคัญบรรจุที่ไหน เขาช่วยดูแลระบบคอม แทนครูคอมได้     สบาย ๆ แต่งงานแล้วมีลูกสาวหนึ่งลูกชายหนึ่ง สอนอยู่โรงเรียนศรีสงครามวิทยา ที่พ่อเคยบรรจุ          นั่นแหละ
...........อีกคนคุณโฆษิต ศรีประจง จบปริญญาวิทยาศาสตร์บัณฑิตจาก กำแพงแสน ไปทำงานบริษัทเอกชน เพราะเขาให้ เงินเดือนสูงกว่าราชการ คนนี้นิสัยดี ไม่ค่อยพูด แต่ขยันทำงาน เจ้านายรักเอ็นดู   ใช้งานไม่มีวันหยุด เป็นเจ้าแห่งนวัตกรรม เทคโนโลยี ที่บ้านเครื่องเสียง กล้อง ราคาแพง ๆ จักรยาน
มันยังติดตั้งกล้องยังกะรถยนต์  ตอนนี้ซื้อบ้านอยู่แถวจตุโชติ สุขาภิบาล 5 มันเก่งกว่าพ่อแม่อีก ส่วน      ที่ยังทำไมได้คือ หา   ลูกสะใภ้ให้พ่อดู เลือกอยู่นั่นแหละ
...............ลูกสาวคนเล็ก คุณสาวิตรี ศรีประจง ลูกติดพ่อ เขาเกิดมาแม่ก็เป็นภูมิแพ้ พ่อเลยดูแลมาก  หน่อย นิสัยใจเย็น ขยันหนักเอา เบาสู้ ไม่รู้คิดยังไงไปสอบวิทย์คอม พอเขาชวนไปเรียนเทคโนสารสนเทศก็เปลี่ยนใจ เลยจบ วท.บ.เทคโนสารสนเทศ จาก มหาวิทยาลัยมหาสารคาม สมัครงาน     ทางอินเตอร์เนต ชอบงานเขียนโปรแกรม เลยลงไปอยู่กรุงเทพ พี่ชายซื้อบ้านเขาขอให้ไปอยู่ด้วย   เพราะพี่ชายไปต่างจังหวัด ทิ้งบ้านไม่มีคนเฝ้าประจำ ที่ทำงานอยู่ไกล เลยให้ออกรถเก๋ง 1 คัน ขับ         ขี่ไปทำงาน ตอนนี้ไปทำงานได้เอง สบายใจก็ขับมาเยี่ยมพ่อที่แปดริ้ว ห่างกัน 87 กิโลเมตรเอง คนนี้      ก็ยังโสด เคยมีหนุ่มมาติดพันก็เลิกรากันไป ตอนนี้ก็ยังโสดอยู่
........คิดถึงคุณกาญจนามากนะ พอเห็นลูกชายลูกสาวเติบโตเป็นคนดีทุกคน ก็สบายใจได้บ้าง ว่าเรา    ไม่ได้ทอดทิ้งลูกตามยถากรรม ถึงแม่จะจากไปลูกทุกคนเขาก็พัฒนาตนเองไปในทางที่ดีงามทุกคน  เขาทำสิ่งที่พ่อแม่ภูมิใจเสมอ ขอให้แม่แก้วสบายใจได้ เด็กทำดีและอุทิศบุญกุศลถึงแม่เสมอ
........ภรรยาคนที่สอง
............นับแต่ภรรยาคนแรกจากไปปี 2542 ก็ไม่ได้คิดจะแต่งงานใหม่หรอก เพราะอายุมากแล้ว อยากออกบวชหลังเกษียณมากกว่า เลยไม่สนใจเสาะแสวงหา แต่เรามันคนติดไฮเทคโนโลยี ติดเราเตอร์ที่บ้าน เล่นอินเตอร์เนตความเร็วสูง เล่นเนต เล่นเอ็ม ไอซีคิว เพริท เขียนเวบไซท์ ก็ไปเห็นบริการเสาะหาเพื่อน นึกสนุกเลยสมัครเป็นสมาชิก บอกข้อมูลจริงด้วยว่า อายุ ห้าสิบเศษ เป็นหม้าย กำลังเหงา มีคนทักทายมาหลายคน แต่มีอยู่คนหนึ่งทักทายแล้วบอกสนใจอยากมีเวบไซท์ เราก็บอกว่าทำเวบไม่ยาก
อะไร ขอเพียงมีข้อมูลก็ทำได้ในวันสองวัน เพื่อนกันเขียนให้ฟรี ๆ เขาเอาจริง ชวนลูกสาวและน้องชาย มาเยี่ยมถึงเมืองเลย ก็ต้องทำให้ตามสัญญา อัพเวบให้ แล้วก็กลับไป จากนั้นมาก็เงียบหายไปพักหนึ่ง แล้วติดต่อมาใหม่ จนคุ้นเคยกันมากขึ้น รู้สึกจะ เข้าใจกันดี ที่สุดไปสู่ขอกับคุณยาย บุญเติม ณรงค์หนู ยายก็ว่าอายุมาก ๆกันแล้ว ถ้ารักชอบพอกันจริง ๆ ก็ไม่ห้าม ดังนั้นจึงมีภรรยาคนที่สองคือ คุณอรภา ณรงค์หนู เมื่อปี 2548 และปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น ธนัญธร ณรงค์หนู
...........คุณอรภา ณรงค์หนู เป็นพยาบาล ระดับหัวหน้าตึก โรงพยาบาลเมืองฉะเชิงทรา เป็นผู้ใหญ่ ใจดี แต่เอาการเอางาน โอบอ้อมอารี รักลูกน้อง อยู่ด้วยก็มีความสุขสบายดีตามสมควร เพราะมีนิสัยคล้าย   กัน ไม่ติดยศฐาบรรดาศักดิ์ ติดดินมากกว่า เราเป็นคนกินง่ายอยู่ง่าย ก็ไปกันได้ นี่ก็สิบกว่าปีแล้ว ที่ได้ คุณธนัญธรเป็นคู่ชีวิต งานบ้านงานเรือนเธอบริหารได้เอง เราไม่ขัด เว้นแต่อยากให้ช่วยทำอะไรบอก    มาเราก็ทำให้ ส่วนมากก็ให้ขับรถพาไปธุระ รู้กันดีว่าธุระส่วนมากคือชอปกับเที่ยว ก็ดีนะไปเรื่อย ๆ        จนขับรถเข้ากรุงเทพได้สบาย ๆ เพราะหลงทาง บ่อยจนจำได้แล้ว หลงเมื่อไรก็ถามเนวิเกเตอร์ให้       มันพากลับบ้าน
….อยู่มาไม่นานก็เกิดปัญหาสุขภาพ เส้นเลือดหัวใจตีบตัน ได้คุณธนัญธรซึ่งเขารู้แนวทางการรักษาดี   พาไปพบหมอ และส่งต่อไปที่โรงพยาบาลทรวงอก กรุงเทพ ฯ หมอทำบอลลูนให้ 3 จุด อาการดีขึ้นมาก และต้องทานยาและพบหมอบ่อย ๆ ตอนแรกก็เดือน ละครั้ง ต่อมาก็ขยายเป็นสองเดือน สามเดือน โชคดี ที่อยู่กับพยาบาล เลยรอดไปได้ ก็ขอบคุณเขามากที่ใส่ใจเรื่องสุขภาพด้วยดี มาโดยตลอด
............คุณธนัญธรมีบุตรบุญธรรม 1 คนชื่อ บุลธนี ณรงค์หนู จบ ศศ.บ. กราฟิคคอมจาก ม.รังสิต มีประสบการณ์ทำงานที่โรงพิมพ์ และบริษัทเอกชนหลายแห่ง งานตรงสายที่ร่ำเรียนมา เคยไปทำงาน    ถึงเชียงใหม่ แม่คิดถึงมากจึงขอให้กลับมาทำที่บ้าน เพราะ บ้านเราก็มีงานให้เลือกทำมากมาย ปัจจุบันทำงานอยู่บริษัทแถวสุวินทวงศ์ มีรถเก๋งน้อยขับไปทำงาน ก็สบายดี ตามสภาพ
.............คูณธนัญธรเป็นคนรักหมามาก มีถึง 6 ตัว แรกก็ขังกรง ต่อมามันตัวโตมากขึ้น เลยต้องสร้างบ้านที่กันแดดกันฝนได้ด้วย มีอิฐกระเบื้องเหลือจากสร้างบ้าน เอามาทำห้องพักให้หมา 6 ห้อง ติดมุ้งกันยุงให้ด้วย พื้นปูกระบื้องทำความสะอาดง่าย เลย เรียกคอนโดหมา เดิมจะให้อยู่ห้องละตัว ตอนหลังเปลี่ยนใจ สองตัวเล็กให้อยู่กรงบนบ้าน ดังนั้นที่คอนโดเลยอยู่กัน 4 ห้อง คือ เจ้าบึ๊ก เจ้าบั๊ก นังซูการ์ นังซู่ซ่า ส่วนพันธ์ุเล็กมีสองตัวคือ คุกกี้กับทาโร่ ให้นอนกรงบนบ้าน
.............อยู่กับคุณธนัญธรมาหลายปี มีทะเลาะกันบ้างเพราะเราเองพูดจาหลายแง่หลายง่าม เขาไม่เข้าใจก็เถียงกัน แต่พอเข้าใจก็ ไม่มีอะไร คุณธนัญธรเขาเป็นคนบริสุทธิใจ ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมอะไร ตรงไปตรงมา ก็ยอม ๆกันไป เลยอยู่กันด้วยความสงบ สุข
ชีวิตช่วงตอนปลาย
............สุขภาพร่างกายถดถอยไปมากเพราะอายุมาก ทำงานหนักก็คงไม่ไหว เลยพักอยู่บ้านทำงานบ้าน ปลูกต้นไม้ เลี้ยงสุนัข ว่างก็เอางานเก่า ๆ มาอ่าน ตรวจชำระไปในตัว จับมาทำบัญชีไว้พบว่ามากเหมือนกัน ค่อย ๆ อ่านไปแก้ไขไป
............งานประเภทร้อยแก้ว ส่วนมากเป็นเอกสารประกอบการสอนแจกครูไปมากแล้วยังเหลืออยู่ อ่านดูยังใช้ได้ แต่คงไม่ปรับ เพราะปรับยาก ต้องสืบค้น อ้างอิง แต่พวกงานเขียนเล่าเรื่อง ยังพอใช้ได้อยู่ เอามาปรับสำนวนหน่อยก็ใช้ได้ งานประเภทร้อยกรอง ที่เขียนสั้น ๆ ไม่เกิน 10 บท มีมากจริง ๆ ส่วนมากจะเป็นอวยพรวันเกิด อวยพรปีใหม่ แต่งตามอารมณ์ บางทีก็กลอน บางที ก็กาพย์ โคลง ฉันท์ ว่าง ๆ จะลองหยิบมาตรวจชำระ ร้อยกรองแบบยาว ๆ มีอยู่เยอะเหมือนกัน พวกนิทานก้อมแบบโจ้กอีสาน เขียนเล่น ไป ๆมาเกือบ ยี่สิบเรื่อง อันนี้สองจิตสองใจจะชำระดีไหม เดี๋ยวคนอ่านจะรู้ว่าเราคิดลามกก็เป็นเหมือนกัน ก็ได้จาก นิทานก้อมนั่นแหละ ประเภทนิราศน่าจะถึง 10 เรื่อง แต่ละเรื่องยาวมาก กำลังคิดอยู่ว่าตรวจชำระไหวไหม กัดฟันลองดูแล้ว 3 เรื่อง ก็จะพยายาม
เอกสารผลงานที่ทำมีอะไรบ้าง
1. เล่าเรื่องรามเกียรติ์ (เอกสารประกอบการสอนวิชาวรรณกรรมมรดก)
2. เล่าเรื่องขุนช้างขุนแผน (เอกสารประกอบการสอนวิชาวรรณกรรมมรดก)
3. คู่มือนักเรียนธรรมศึกษาตรี(เอกสารประกอบการสอนธรรมศึกษาตรี)
4. แผนการสอนวิชาพระพุทธศาสนา(เอกสารประกอบการสอนวิชาพระพุทธศาสนา )
5. แผนการสอนวิชาภาษาไทย ม. 4 ม.5และ ม.6
7.คู่มือการใช้ CU-WRITER (เอกสารประกอบการอบรมครู )
8.แนะนำการสร้าง POERPOINT PRESENTATION(เอกสารประกอบคำบรรยายในการอบรมครู )
9.แนะนำการใช้ EXCEL เพื่อการวัดผลประเมินผลการเรียน(เอกสารประกอบการอบรมครู )
10.เอกสารประกอบการสอนหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพครู วิชาวิธีสอนวิชาเฉพาะ
11. เอกสารประกอบการสอนหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพครู การประเมินผลและสร้างแบบทดสอบ
12. แบบฝึกเสริมทักษะร้อยกรอง(สื่อประกอบงานวิจัยในชั้นเรียนเรื่องการแต่งกาพย์กลอน)
13. คู่มืออบรมการใช้โปรแกรม CU-WRITER (จัดทำเพื่อใช้อบรมครู)
14. คู่มืออบรมการใช้โปรแกรม RW-WRITER (จัดทำเพื่อใช้อบรมครู)
15. คู่มืออบรมการใช้โปรแกรม MS-WORD (จัดทำเพื่อใช้อบรมครูจัดทำเพื่อใช้อบรมครู)
16. แนะนำการใช้โปรแกรม EXCEL วิเคราะห์แบบทดสอบ(จัดทำเพื่อใช้อบรมครู)
17. เทคนิคการวิเคราะห์ค่าสถิติด้วย EXCELจัดทำเพื่อใช้อบรมครู)
18. เอกสารประกอบการสอนวิชาหลักและวิธีสอนทั่วไป ( สื่อแบบ E-Book)
19. เอกสารประกอบการสอนวิชาวัดผลประเมินผล ( สื่อแบบ E-Book)
20. บทสนทนาหลักธรรมและแนวปฏิบัติของชาวพุทธ (ไฟล์เสียง บันทึก ปี -)
21. ตารางเอกเซลสำเร็จรูปวิเคราะห์ค่าสถิติพื้นฐาน
22. ตารางเอกเซลสำเร็จสำหรับวิเคราะห์แบบทดสอบ
23. ตารางเอกเซลวิเคราะห์ค่าสถิติสำหรับใช้ทดสอบผลการวิจัยเชิงทดลอง
.........23 รายการนี้เป็นเอกสารที่ทำขึ้นใช้ในการสอน การจัดอบรม อ่านดูชักไม่ทันสมัยเล้ว คงไม่ตรวจชำระ ปล่อยทิ้งให้ลูก
24. สนทนาธรรมกับอาจารย์ขุนทอง ( สื่อแบบ E-Book)
25. รวมผลงานการสร้างเวบไซท์ เวบไซท์ ( สื่อแบบ offline internet)
26. ผลงานเขียนแบบความเรียง เรื่อง ( สื่อแบบ E-Book)
27. ผลงานเขียนแบบร้อยกรอง เรื่อง ( สื่อแบบ E-Book)
        หนังสืออีบุ๊ค ที่ผมทำไว้ เป็นเวบไซท์แบบออฟไลน์ มีหน้าคำนำ ประวัติผู้เขียน หน้าอินเดกซ์         จะลิงค์ไปเนื้อหาเป็นเรื่อง ๆแล้วมีปุ่มย้อนกลับมาหน้าอินเด็กซ์ เหมือนดูเวบไซท์ทุกประการ มีทั้งภาพประกอบ คลิพเสียง เดิมเรียกเวบไซท์แบบออฟไลน์พอเขาเห่ออีบุ๊คกัน ปรากฏว่าของเราก็สามารถเรียก อีบุ๊คได้สบาย ๆ
24-27 หัวข้อนี้ได้นำไปลงเวบบลอกแล้ว เหลือไว้เป็นต้นฉบับเฉย ๆ ไม่ต้องชำระอีก
28.แนะนำการแต่งกลอนแปด
29.แนะนำการแต่งกาพย์ยานี
30. แนะนำการแต่งกาพย์สุรางคนาง
31.แนะนำการแต่งกลอนกลบท
32.แนะนำการแต่งโคลงสี่สุภาพ
33. แนะนำการแต่งโคลงดั้น
34.แนะนำการแต่งโคลงกลบทชนิดต่าง ๆ
35..ลีลาลูกทุ่ง เรื่อง (เรื่องเล่า)
......รายการที่ 28-35 ตรวจสะกดการันต์ก็พอแล้ว เนื้อหายังใช้ได้ดีอยู่
36. นิราศโตเกียว (กลอน) แต่งเมื่อ ปี 2522 ต้นฉบับหาย เหลื่อแต่ไฟล์ที่เป็นรูปภาพ กำลังรื้อพิมพ์ใหม่ ปรับปรุงแก้ไขไปด้วย
37. นิราศภูกระดึง (โคลงสี่สุภาพ) แต่งเมื่อปี 2524
38. นิราศสมุย(กลอนแปด)
39. นิราศไทรโยค(โคลงดั้น)
40. นิราศเมืองเหนือ(โคลงดั้น)
41. นิราศบางระจัน (กลอน)
42.นิราศดอยอ่างขางคำกลอน แต่งปี
43..ท้าวขูลูนาวอั้วคำโคลง แต่งปี
44..นางผมหอมคำกลอนกลบท แต่งปี
45. ท้าวเซียงเหมี่ยงคำโคลง โคลงกลบท ตอน แต่งปี
46.. นิทานอีสปคำกลอน เรื่อง (สื่อแบบ E-Book)
47. บท โคลง กลอนแต่งอวยพรวันเกิดและอวยพรอื่น ๆ กว่า 100 บท
48.นิทานพื้นบ้านอีสาน เรื่อง (กลอนนิทาน)
รายการที่ 36 - 48 ค่อนข้างยาว กำลังตรวจชำระ เสร็จแค่ 3 เรื่อง
ช่วงสุดท้ายของชีวประวัติ
.............เขียนชีวประวัติก็ต้องมีจบเหมือนเขียนเรื่องอื่น ๆ 72 ปีแล้วที่โลดแล่นไปตามวงเวียนชีวิตที่ผ่านมาตั้งแต่เกิด โต เป็นเด็ก เป็นเด็กวัยเรียน วัยรุ่น เป็นผู้ใหญ่ และเป็นคนแก่ ที่กำลังนั่งเขียนอัตตชีวประวัติอยู่นี่เอง ทบทวนดูแล้วผ่านมาหลายบทบาทหน้าที่ เหมือนกัน หน้าที่บางอย่างก็ทำได้ดี บางอย่างก็บกพร่อง แต่มันกลับไปแก้ไขไม่ได้หรอก เพราะมันผ่านมาแล้ว แต่บอกได้ว่าทุกบท บาทหน้าที่ เราพยามทำให้ดีที่สุด ให้บกพร่องน้อยที่สุด ไม่เสียใจสิ่งที่ทำในบทบาทหน้าที่เหล่านั้น หน้าที่อะไรบ้าง อย่างเป็นลูกของ พ่อแม่ เป็นน้องของพี่สาวพี่ชาย เป็นเพื่อนเล่นของเด็กหญิงชายในหมูบ้าน เป็นนักเรียนของคุณครู เป็นลูกชายที่ช่วยภาระครอบครัว เป็นพระภิกษุในวัด เป็นศิษย์ครูอาจารย์ทางศาสนา เป็นครูสอนนักธรรมบาลี เป็นพี่ป้าน้าอาของญาติ ร่วมสายโลหิต เป็นสามีของ ภรรยา เป็นบิดาของบุตรธิดา ได้เป็นครูโรงเรียนการศึกษาผู้ใหญ่ เป็นนักเทศน์ ได้เป็นครูมัธยมศึกษา เป็นลูกน้องในหมวดวิชา เป็นหัวหน้าหมวดวิชา เป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงเรียน เป็นเลขานุการกลุ่มโรงเรียน เป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการสามัญศึกษา เป็นรองผู้อำนวยการ สพฐ. ระดับจังหวัด เป็นผู้ตรวจราชการประจำเขตพื้นที่ เป็นข้าราชการบำนาญ สุดท้ายก็เป็น คุณตาแก่ ๆ ประจำบ้าน คงไม่มีหน้าที่อื่นอีกแล้ว สิ่งอยากจะฝากถึงคนที่ได้อ่านก็คือ ทุกบทบาทหน้าที่ที่เรามีโอกาสได้ทำ จงทำให้ดีที่สุด บกพร่องน้อยที่สุด เพราะเมื่อผ่านมาแล้วเราจะไม่มีโอกาสแก้ตัวได้อีก แค่นี้แหละครับ 
-------------
ขุนทอง ศรีประจง
6 /12/2559