วันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

อาสาฬหบูชา

วันอาสาฬหบูชา ได้ถูกกำหนดให้เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาของประเทศไทยเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2501 โดยคณะสังฆมนตรี (มหาเถรสมาคม) ในสมัยนั้น ได้มีมติให้เพิ่ม
วันอาสาฬหบูชาเป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนา (ในประเทศไทย) ตามคำแนะนำของ พระธรรมโกศาจารย์ (ชอบ อนุจารี)[1] โดยคณะสังฆมนตรีได้ออกเป็นประกาศสำนักสังฆนายก
เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2501 กำหนดให้วันอาสาฬหบูชาเป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนาพร้อมทั้งกำหนดพิธีอาสาฬหบูชาขึ้น[2] ทำให้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2501 เป็นต้นมา
                                วันอาสาฬหบูชา    แปลว่า "การบูชาในวันเพ็ญเดือนอาสาฬหะ"  คือเดือน 8 ทางจันทรคติ ปีใด 8 สองหน จะกำหนด วันอาสาฬหบูชา ใน เดือน 8 หลัง  เหตุผล
ที่ยกย่อง วันอาสาฬหบูชา เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาเนื่องจาก มีเหตุผลสำคัญ หลายประการ ได้แก่
                         1. เป็นวันคล้ายวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมเทศนาเป็นครั้งแรก (ปฐมเทศนา) คือ (ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร) แก่ปัญจวัคคีย์
                        2. การแสดงธรรมครั้งนั้นทำให้พราหมณ์โกณฑัญญะ 1 ใน 5 ปัญจวัคคีย์ เกิดดวงตาเห็นธรรมหรือบรรลุเป็นพระอริยบุคคลระดับโสดาบัน  จัดเป็นพระอริยสาวกรูปแรก
ของพระพุทธเจ้า
                        3. โกญทัญญะทูลขออุปสมบทในพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า (พระพุทธศาสนา) ทรงอแนุญาตด้วยวิธี เอหิภิกขุอุปสัมปทา พระอัญญาโกณฑัญญะจึงกลายเป็นพระสงฆ์สาวก
องค์แรกในโลก
                        4.  พระรัตนตรัยครบองค์ 3 บริบูรณ์เป็นครั้งแรกในโลก คือ มีทั้งพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ครบสามรัตนะ 
                        ด้วยเหตุผลสำคัญดังกล่าวจึงยกย่องให้เป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนา เหมือนวันวิสาขบูชา และ มาฆบูชา
               การทำบุญวันอาสาฬหบูชา  อาจไม่เห็นเด่นชัดเหมือนวันวิสาขบูชาและมาฆบูชา  เนื่องจากติดกับวันเข้าพรรษา  กิจกรรมที่เตรียมงานวันเข้าพรรษาอาจดูเอิกเกริกกว่า
จนลืมวันอาสาฬหบูชา  ยกเว้นข้าราชการนักเรียนนักศึกษา มักจะจำได้ดี เพราะเป็นวันหยุดราชการ  อย่างไรก็ตามในฐานะชาวพุทธหากจะทำบุญเป็นพิเศษ ในวันอาสาฬหาบูชาก็สามารถ
ทำได้ตามควรแก่ฐานะของตนเช่น
                1.  ทานมัย  ทำบุญ ตักบาตร  บริจาคข้าวปลาอาหาร  ไปทำที่วัด หรือสถานที่ที่มีผู้รับสิ่งของที่จะให้ทาน เช่นโรงเรียน โรงพยาบาลสถานสงเคราะห์ต่าง ๆ   หรือ ให้ลูก
หลานญาติพี่น้องก็ถือเป็นการทำทานได้เช่นกัน
               2. สีลมัย ตื่นเช้าที่บ้านแหละครับ  สมาทานศีล และถือปฏิบัติเคร่งครัดมิให้ขาดหรือบกพร่อง ตลอดวัน  วันอื่น ๆ อาจไม่ถือเคร่งครัดศีลบางข้ออาจด่างพร้อยไปบ้าง  แต่วันสำคัญ ๆ
เช่นนี้ตั้งใจไว้เลยจะไม่ให้ขาดหรือบกพร่อง แม้แต่ข้อเดียว
               3.  ภาวนามัย  แสวงหาปัญญาทางธรรม ให้ได้อย่างน้อย 1 เรื่อง ในโอกาสวันสำคัญเช่นนี้  เช่นยังโง่เขลาเรื่องวัน อาสาฬหบูชา  ก็ไปหาเอกสารตำรามาอ่านหรือถามผู้รู้ จนเข้าใจ
ได้ปัญญา 1 เรื่อง ขจัดความโง่ได้ 1 ตัว  หรือยังโง่เรื่อง ทานมัย ทำไมพระจึงเทศน์ว่า ธรรมทานย่อมชนะทานทั้งปวง  ไปหาหลวงพี่หลวงพ่อถามท่าน  ได้คำตอบคือปัญญามา ขจัดโง่ได้อีกตัว
ยังโง่เรื่องวิธีอบรมสมาธิ ไปหาพระอาจารย์ให้ท่านแนะนำวิธีที่ถูกต้องให้ นี่ก็เป็นปัญญาอีกตัว ขจัดโง่ได้ 1 ตัวเช่นกัน  วันสำคัญ ๆ ถ้าอบรมให้เกิดปัญญา ขจัดความโง่ไปได้ แม้เพียงตัวเล็กๆ 
แต่ก็ถือเป็นบุญที่มีค่ามหาศาล เพราะมันจะอยู่กับตัวเราไปได้นาน
              ประเพณีทั่วไปที่นิยมทำกันคือไปวัดทำบุญตักบาตร เวียนเทียนและฟังเทศน์  มีทำกันแทบทุกวัด  หากสนใจจะไปร่วมกับชาวบ้านก็คงมีครับ  หากวัดไม่ได้จัด ก็จำหลัก
ทำบุญ 3 อย่าง ดังกล่าวแล้ว นำไปใช้  ได้บุญเช่นกันครับ
หมายเหตุ  ชื่อ 12 เดือนภาษาบาลีที่เกี่ยวข้องกันวันบูชาต่างๆ
มิคสิรมาส       เดือน  1
ปุสสมาส        เดือน  2
มาฆมาส        เดือน  3
ผัคคุณมาส      เดือน  4
จิตตมาส        เดือน  5
วิสาขมาส       เดือน  6
เชฏฐมาส        เดือน  7
อาสาฬหมาส   เดือน  8
สาวนมาส       เดือน  9
ภัทรปทมาส    เดือน  10
อัสสยุชมาส     เดือน 11
กัตติกมาส      เดือน  12





วิสาขบูชา

       
วิสาขปุณณมีดิถีสมัย    พระจอมไตรศาสดาสุนาโถ
ประสูติกาลตรัสรู้โพชฌังโค     สุคโตปรินิพพานกาลตรงกัน
สิบห้าค่ำเพ็ญจันทร์วันเดือนหก อุบาสกอุบาสิกามาพร้อมสรรพ์
รำลึกคุณพุทธองค์อเนกอนันต์  กตอัญชุลีนมัสการ
อรหังสัมมาสัมพุทโธ    น้อมมโนอภิวาทด้วยอาจหาญ
เลื่อมใสคุณพระผู้ปรีชาชาญ    ทั่วจักวาลอนุศาสน์คำศาสดา
ทรงพิสุทธิ์กายวจีมิมีหมอง      มนัสผ่องปราศธูลีมิกังขา
สัพพปาปัสสะพระวาจา อกรณาพึงเว้นห่างเวรกรรม
กุสลัสสูปสัมปทาครบ   ทำเจนจบความดีมีอุปถัมภ์
จักเจริญเพราะกุศลผลกะทำ    จักชี้นำส่องสว่างกระจ่างใจ
สจิตตปริโยทัปปนัง     คือพลังขัดจิตเจิดแจ่มใส
อันโลภหลงโทสะชำระไป        คือหลักชัยพุทธศาสน์ประกาศนาน
สองพันห้าสี่สิบห้าพรรษาแล้ว   พระจอมแก้วล่วงลับดับสังขาร
ยังคงอยู่คือความดีนิรันดร์กาล  มือประสานกราบก้มบรมครู ฯ
                 โอกาสวันวิสาขปูณณมีเวียนมาบรรจบอีกครั้งในวันที่ 25 พฤษภาคม 2545 ในฐานะที่เป็นพุทธศาสนิกชนคนหนึ่ง  เคย
ได้รับประโยชน์จากคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเอนกอนันต์ เคยได้ยอมรับนับถือปฏิบัติด้วยการทำบุญทำทาน ตอนแรก ๆ
ยังไม่ทราบคุณค่าของการให้ทาน เมื่อโตขึ้น ถึงได้เข้าใจว่า ท่านสอนให้รู้จักเสียสละ แบ่งปันความสุขแก่เพื่อนร่วมโลก ท่านสอนให้
ละความโลภ เพราะความโลภเป็นกิเลส ถ้าปล่อยให้สะสมในใจเรามาก ๆ ก็สามารถทำให้เกิดภัยแก่เราได้  เคยได้รักษาศีลห้า แม้
จะไม่รู้ว่ามันมีประโยชน์อะไร ตอนหลังถึงได้ทราบว่าศีลห้าเป็นกฏหลักของการดำรงอยู่ร่วมกันของสรรพสิ่งมีชีวิตทั้งมวลในสากลโลก
สังคมใดไร้ศีลสังคมนั้นก็ไร้ระเบียบกฏเกณฑ์อย่างสังคมเดรัจฉาน สังคมใดเคร่งในศีลถือเป็นสังคมที่มีจิตใจสูงท่านเรียก มน+อุสส
คือมนุสสะ (มน=ใจ ,อุสส=สูง)คำสอนของท่านสุดซาบซึ้งจริง ๆ  เคยได้ฝึกอบรมสมาธิวิปัสสนา แรก ๆ ทำตามอย่างเขาเพราะเขาบอก
ว่าได้บุญมาก ภายหลังถึงได้ทราบความจริงว่า ใจคือผู้บงการกายวาจา เป็นผู้สั่ง ผู้กำกับทุกอิริยาบถที่คนแสดงออก ถ้าใจเต็มไปด้วย
กิเลสคือ โลภ โกรธ หลง ก็ไม่น่าสงสัยว่าพฤติกรรมที่แสดงออก จะต้องเป็นไปในทิศทางที่สนองความโลภโกรธหลงนั่นเอง  สมาธิ
วิปัสสนา เป็นวิธีเดียวที่จะกำจัดกิเลสให้หมดสิ้นไปจากใจ เป็นวิธีช่วยใจซึ่งเป็นใหญ่ให้เป็นใจที่บริสุทธิ์ ดังนั้นพฤติกรรมที่แสดงออก
ทางกายและวาจา จึงไม่เคลือบแฝงด้วยกิเลส คำสอนของท่านไม่มีข้อโต้แย้ง ถูกต้องชัดเจน นึกไม่ถึงว่าคนเมื่อสองพันปีที่แล้วจะ
เฉลียวฉลาดปานนั้น ขนาดคนปัจจุบันยังนึกไม่ออก หนังสือเรียนสมัยก่อนที่บอกว่า "แต่ก่อนคนเรายังโง่" ควรจะแก้ไขเป็น "เดี๋ยวนี้
คนเราโง่กว่า" ขนาดมีหลักคำสอนชี้นำให้ชัดเจนปานนั้น ยังไปกราบต้นกล้วยขอหวยกันอยู่ จะโลภกันไปถึงไหนเชียว
               ด้วยรำรึกในพระคุณศาสดาดังกล่าวแล้ว โอกาสวันอันเป็นมงคลเช่นนี้จึงอยากกระทำอะไรสักอย่าง ตอบแทนพระคุณของ
ท่านบ้าง ก็เลยวางแผนเอาไว้หลายอย่าง ดังนี้
               1. จะทำบุญ  การทำบุญตามหลักคำสอนของพระพุทธองค์ท่านรวมเรียกว่าบุญกริยาวัตถุ 3 ประการ ได้แก่ ทาน ศีล และ
ภาวนา  ท่านอธิบาย ว่าทำบุญทั้งสามวิธี มีจุดประสงค์หลักคือ ชำระกิเลส 3 ตัวเบิ้ม ๆ คือ โลภะ โทสะและโมหะ ส่วนเรื่องสวรรค์ เป็น
เรื่องเล็กน้อยไม่ใช่สาระการทำบุญ เหมือนคนสั่งสมทรัพย์สินมาก ๆ ความสุขความสบายก็เกิดขึ้นได้ไม่ยาก ดังนั้นจุดประสงค์หลักการ
ทำบุญคือชำระกิเลศ จึงตั้งใจจะทำบุญให้สอดคล้องกับหลักคำสอน ด้วยวิธีการ ดังนี้
                   1.1 จะให้ทาน เพื่อคนอื่นจะได้ใช้ประโยชน์จากสิ่งที่ให้ เงินสิบบาท ให้คนยากจน เขาสามารถนำไปซื้ออาหารเลี้ยง
ครอบครัวได้ 1 วัน แต่เงินสิบบาทเท่ากัน ใส่ซองผ้าป่า ไม่รู้เหมือนกันว่าค่าเงินสิบบาทจะมีค่าเท่ากับให้คนยากคนจนหรือเปล่า
มันอาจกลายเป็นค่าปูนซีเมนต์ก่อซุ้มประตูโขงก็ได้ หรืออาจกลายเป็นค่าเหล้าพวกไปแจกซองก็ได้ ดังนั้นการให้ทานคงต้องคิด
รอบคอบพอสมควร มิใช่สักแต่ว่าใครอยากได้ก็ให้ ซึ่งพวกฉวยโอกาสมีมาก ถือโอกาสที่เราอยากทำทาน ชักจูงให้เสียเงินมาก ๆ
โดยไม่จำเป็น ทำทานปีนี้ ตั้งใจจะตักบาตรตามปกติแล้วพาเด็ก ๆไปนมัสการเจ้าอาวาส สนทนาธรรม ก็พอ
                  1.2 จะรักษาศีล 8 ซักวัน ปกติถือศีล 5 ข้อเป็นปกติศีลอยู่แล้ว คือไม่ยอมให้ศีลขาด ถ้าขาดเมื่อไรก็รีบต่อศีลทันที เพราะ
สมาทานศีลด้วยตนเอง ไม่อยากรบกวนพระ เช้าขึ้นมาก็อธิษฐานจิตว่า วันนี้เราจะรักษาศีล 5 มิให้ขาด ก็พยายามรักษาไป ถ้าบังเอิญ
ตอนเย็นถูกลากเข้างานเลี้ยง หลบไม่ได้ต้องจิบเบียร์ ก็ต้องรู้ว่ากำลังจะทำให้ศีลขาด วันนั้นก็ขาดทุน กลับบ้านก็สมาทานใหม่
แต่วันวิสาขบูชา คงเข้มงวดมากขึ้นสักวันเป็นรักษาศีล 8 ก็สมาทานเองอีกนั่นแหละ งดทานข้าวหลังเที่ยงวันเป็นต้นไป  งดนอนฟูก
ซักวัน เครื่องสำอาง เครื่องหอมตกแต่งร่างกาย ไม่ค่อยชอบอยู่แล้ว ยิ่งสิ่งที่เป็นอพรหมจรรย์ ยิ่งรักษาง่ายเพราะไม่ยุ่งเกี่ยว ดังนั้นจึง
มั่นใจว่า รักษาศีล 8 วันวิสาขะ เรื่องเล็กทำได้สบาย ๆ  ศีลช่วยระงับโทสะได้ดีมาก จากที่เคยใจร้อนวู่วาม เดียวนี้รู้จักยับยั้งชั่งใจ
เย็นลงมาก ต้องขอบพระคุณท่านที่แนะนำให้เรารักษาศีล  ส่วนใครที่อวดว่าถือศีลเคร่ง ๆ แต่ปากจัดกว่าแม่ค้าตลาดสดละก็แสดงว่า
รักษาศีลแต่ศีลไม่ช่วยละโทสะ แบบนั้นเป็นการรักษาศีลแล้วขาดทุน
                  1.3 จะภาวนาให้เกิดบุญ  ภาวนาเป็นการฝึกอบรม ผลการภาวนาคือทำให้เกิดปัญญา เมื่อมีปัญญา โมหะคือความโง่เขลา
จะเบาบางลงไป ช่วงวันวิสาขบูชา จะภาวนาให้เกิดปัญญา กำจัดสิ่งที่ยังโง่เขลา  มีอยู่อีกมากมายหลายเรื่องที่ยังโง่เขลา จะศึกษา
ค้นคว้าให้รอบรู้ในเรื่องนั้น ๆ ให้ได้ และจะนั่งสมาธิวิปัสสนาเพื่อตรวจสอบสภาพจิตใจ ฝึกให้สมาธิเข้มแข็งและแนบนิ่งยาวนาน ซึ่ง
เป็นอาการของสมาธิที่เข้มแข็ง สมาธิที่เข้มแข็งย่อมมีพลัง มีคุณประโยชน์ต่อพฤติกรรมทางกายและวาจา
             2. จะช่วยขยายหลักคำสอนของพระพุทธองค์ ให้คนอื่นได้รู้หลักการที่ถูกต้อง เนื่องจากปัจจุบันหลักคำสอนพุทธศาสนา ถูก
นำไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสมมีมากเหลือเกิน เช่นสอนให้ทำทานแล้วจะได้ขึ้นสวรรค์ ซึ่งเป็นการสอนที่ผิด เพราะอาการการอยากขึ้น
สวรรค์เป็นอาการของความโลภมาก อยากได้ อยากมี อยากเป็น เป็นการสอนให้สละความโลภตัวน้อย ๆ คือข้าวปลาอาหารราคา
ไม่กี่สิบบาท เพื่อหวังผลที่มากกว่า คือทิพย์วิมานและข้าทาสบริวารมูลค่านับล้านบนสวรรค์ ทำทานแบบนี้ตลอดชีวิตก็กำจัดโลภไม่ได้
             รักษาศีลก็สอนกันไม่ครบ ต้องหอบผ้าหอบผ่อนไปนอนศาลาวัดรักษาศีล  กลับมาบ้านยังออกอาการเจ้าโทสะเหมือนเดิม
ความจริงรักษาศีลต้องรักษาอยู่ที่บ้าน อยู่ในชุมชน คนจะฆ่าตีกันก็นอกวัด จะลักข้าวของกันก็ลักในหมู่บ้าน ผิดลูกเมียเขาก็เป็นใน
หมู่บ้าน โกหก เมาสุราอาละวาด เหตุเกิดในชุมชนทั้งนั้น แต่เกณฑ์คนไปรักษาศีลที่วัด จุดประสงค์ที่จะใช้ศีลช่วยจัดระเบียบชุมชน
ก็ไม่บรรุผล
            ภาวนาก็สอนไม่ครบ จะสอนให้นั่งสมาธิวิปัสสนาเท่านั้น ผลปรากฏว่า แทนที่จะกำจัดโมหะ คือความโง่เขลา กลับทำให้เกิด
งมงายมากกว่าตอนยังไม่ไปนั่งสมาธิ เช่นหลงสมาธิวิปัสสนาจนต้องอพยพไปอยู่วัด ละทิ้งครอบครัวถิ่นฐานบ้านช่อง กว่าจะรู้ว่าหลงทาง
ก็มักจะสายเกินแก้  ภาวนาที่ถูกต้องจะทำให้คนฉลาด มีสติปัญญามั่นคง ไม่ถูกหลอกให้หลงผิดงมงาย
             3. ด้วยสำนึกในคุณของพระศาสนา ในวาระวันสำคัญเช่นนี้ ขออธิษฐานจิต ตั้งความปรารถนาดี 3 ประการ
                 3.1 ขอให้หลักคำสอนที่ถูกต้องของพระศาสดา ยืนอยู่คู่กับสังคมโลกตลอดไป ขอให้คำสอนที่เป็นกาฝากแอบแฝงทั้งหลาย
เสื่อมสลายไป อย่าได้เป็นพิษภัยต่อศาสนา
                 3.2 ขอให้ศาสนิกชนที่ปฏิบัติตามหลักคำสอนที่ถูกต้อง จงได้รับความสุขความเจริญตามสมควรแก่เอกัตภาพ ศานิกชน
ที่หลงผิด ปฏิบัติไม่ ชอบด้วยหลักคำสอน จงได้พบหลักธรรมที่ถูกต้องชอบด้วยเหตุและผล กลับตนกลับใจประพฤติปฎิบัติในแนวทาง
ที่ถูกที่ควร เป็นกำลังของศาสนาสืบไป
                 3.3 ขอให้ได้มีโอกาสช่วยเหลือผู้อื่นให้ได้รับแสงสว่างแห่งชีวิตตลอดไป
          สาธุ
หมายเหตุ  ชื่อ 12 เดือนภาษาบาลีที่เกี่ยวข้องกันวันบูชาต่างๆ
มิคสิรมาส       เดือน  1
ปุสสมาส        เดือน  2
มาฆมาส        เดือน  3
ผัคคุณมาส      เดือน  4
จิตตมาส        เดือน  5
วิสาขมาส       เดือน  6
เชฏฐมาส        เดือน  7
อาสาฬหมาส   เดือน  8
สาวนมาส       เดือน  9
ภัทรปทมาส    เดือน  10
อัสสยุชมาส     เดือน 11
กัตติกมาส      เดือน  12


มาฆบูชา

วันมาฆบูชาเป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนาวันหนึ่ง ซึ่งตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3  มีเรื่องเล่ากันว่า วันเพ็ญเดือนมาฆะมีเหตุการณ์สำคัญที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าถึง 2 ประการคือ ปีที่พระพุทธเจ้ามีพระชนมายุจะครบ  80  ปี ยังขาดอีก 3 เดือนเท่านั้นก็จะถึงวันปรินิพพาน ได้ทรงปลงพระชนมายุสังขารคือกำหนดวันที่จะเข้าสู่ปรินิพพาน  และนอกจากนั้น ในวันมาฆปูรณมีสมัยเริ่มประกาศพระศาสนา ก็เคยมีเหตุการณ์แปลกประหลาดน่าอัศจรรย์ 4 ประการเกิดขึ้นในวันนั้นมาแล้วครั้งหนึ่ง ได้แก่ 
                1. ภิกษุจำนวน 1,250 รูปมาจากที่ต่าง ๆ กันเพื่อสักการะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เวฬุวันมหาวิหาร ในกรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ   โดยมิได้มีการนัดหมาย
                2. พระภิกษุทั้งหมด ล้วนแต่เป็นผู้ได้บรรลุพระอรหันต์แล้วทุก ๆ องค์
                3. พระภิกษุเหล่านั้นล้วนเป็นเอหิภิกขุอุปสัมปทา คือ พระพุทธเจ้าทรงบวชให้ทั้งสิ้น
                4. ในวันนี้เป็นวันเพ็ญเดือนมาฆะ พระพุทธเจ้าทรงถือโอกาสนี้แสดงโอวาทปาฏิโมกข์ ซึ่งมีใจความอันเป็นหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา
                ในหนังสือพระราชพิธีสิบสองเดือน พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กล่าวไว้ว่า ในอดีต มาฆบูชานี้แต่เดิมไม่เคยทำกัน เพิ่งเกิดขึ้นในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ทรงเห็นความสำคัญของวันมาฆะนี้ จึงโปรดให้มีพระราชพิธีประกอบการกุศลขึ้นในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในปี พ.ศ. 2394 และกระทำต่อ ๆ มา

        ปี 2547 เดือนมาฆะ ขึ้นสิบห้าค่ำตรงกับวันที่ 5 มีนาคม 2547 ในฐานะที่เป็นพุทธศานิกชนคนหนึ่ง จึงขอแสดงความระลึกถึงวันสำคัญด้วยการเขียนเรื่องราวที่เกี่ยวข้องและเสนอแนวปฏิบัติสำหรับชาวพุทธว่าในวันสำคัญเช่นนี้จะทำอย่างไรจึงจะได้ชื่อว่าเป็นชาวพุทธที่ดี วิธีที่คิดว่าเหมาะสมที่สุดก็คือ การแสดงให้เห็นว่าเราปฏิบัติตนแบบชาวพุทธที่ดี นั่นเอง ชาวพุทธคือใครบ้าง คนที่นับถือพุทธศาสนาทุกคนคือชาวพุทธ นับถือแบบไหนได้แก่ผู้ที่นับถือแบบเป็นสรณะ ซึ่งพระพุทธเจ้าวางแบบปฏิบัติเอาไว้ คนที่จะเป็นอุบาสกอุบาสิกา ภิกษุ ภิกษุณี จะต้องเป็นคนเลื่อมใสศรัทธาในพระรัตนตรัยยอมนับถือว่าเป็นสรณะ นับถือในใจไม่พอ ต้องเปล่งวาจาออกมาให้คนอื่นได้ยินชัดเจนว่า
              พุทธํ สรณํ คจฺฉามิ    ธมฺมํ  สรณํ คจฺฉามิ   สังฆํ  สรณํ คจฺฉามิ 
              ทุติยมฺปิ พุทธํ สรณํ คจฺฉามิ   ทุติยมฺปิ  ธมฺมํ  สรณํ คจฺฉามิ  ทุติยมฺปิ  สังฆํ  สรณํ คจฺฉามิ
              ตติยมฺปิ พุทธํ สรณํ คจฺฉามิ   ตุติยมฺปิ  ธมฺมํ  สรณํ คจฺฉามิ  ตุติยมฺปิ  สังฆํ  สรณํ คจฺฉามิ 
              การกล่าวคำแสดงตนว่านับถือพระรัตนตรัยว่าเป็น สรณะ ทั้ง 3 รอบนี่เองเป็นการบอกว่าเรานับถือพระพุทธศาสนาจากนั้นท่านก็จะให้แนวปฏิบัติตามหลักคำสอนคือ ศีล สมาธิและปัญญา เพื่อให้ปฏิบัติเป็นนิสัย อันเป็นทางปฏิบัติที่จะทำให้ห่างไกลจาก บาปทั้งปวง มุ่งมั่นทำแต่เรื่องที่เป็นกุศล และทำจิตให้สงบสะอาดเกิดสติปัญญา ดังคำบาลีที่สอนไว้ว่า สพฺพปาปสฺส อกรณํ  กุสลสฺสูปสมฺปทา สจิตฺตปริโยทปนํ เอตํ พุทธานุสาสนํ  
          ชาวพุทธทั่วไปในปัจจุบันนิยมทำบุญเป็นพิเศษในวันมาฆบูชา เพราะคิดว่าเป็นวิธีทีเหมาะที่ควร เช่น
            1. จัดเตรียมเครื่องสักการะ เช่น ดอกไม้ ธูป เทียน มาพร้อมกันที่วัด ตามเวลานัดหมาย เพื่อฟังโอวาทหรือพระธรรมเทศนา และเวียนเทียน
               2. ก่อนออกจากบ้าน ควรอาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาด ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใส
               3. เมื่อถึงวัดแล้ว ควรอยู่ในอาการสำรวม
               4. เมื่อถึงเวลาประกอบพิธี เข้าไปในสถานที่กำหนดทำพิธีบูชา
               5. ก่อนเริ่มพิธีเวียนเทียน พระสงฆ์ผู้เป็นประธาน จะกล่าวให้โอวาท ทุกคนต้องพนมมือถือดอกไม้ธูปเทียนตั้งใจฟังด้วยความสงบ 
               6. ในพิธีสวดมนต์ จะมีผู้กล่าวนำคำบูชาเนื่องในวันมาฆบูชา ให้ทุกคนจุดธูปเทียนประนมมือ กล่าวตาม
               จากข้อความที่กล่าวถึงเป็นเพียงพิธีเวียนเทียนซึ่งมิใช่สาระของการบูชา เพราะการบูชามี 2 ประเภทได้แก่ อามิสบูชา และ ปฏิบัติบูชา  การบูชาที่มีอานิสงส์มากคือปฏิบัติบูชา แม้พระพุทธเจ้าก็ทรงสรรเสริญว่าปฏิบัติบูชามีคุณค่ามาก
ในโอกาสวันสำคัญ อย่างวันมาฆบูชา ควรกระทำการบูชาเป็นพิเศษด้วยปฏิบัติบูชา ซึ่งกระทำไม่ยาก ไม่ต้องเสียเงินทอง ปฏิบัติบูชาทำอะไรบ้าง ก็ปฏิบัติตามหลัก ไตรสิกขานั่นเองเหมาะที่สุด ในฐานะที่เป็นฆราวาส เป็นอุบาสกอุบาสิก พวกเราสามารถปฏิบัติบูชา โดยยึดหลักไตรสิกขาได้ ดังนี้
                 1. รักษาศีลห้าข้อตลอดวันมาฆบูชา
                 2. ฝึกอบรมสมาธิ ตั้งจิตใจให้มั่นคง  จะทำกิจการงานใด ๆ ก็ตั้งใจทำให้เสร็จ จะฝึกสมถวิปัสสนาด้วยยิ่งดี
                 3. ฝึกอบรมสติปัญญาให้เกิดความฉลาด ขจัดความงมงายโง่เขลา จะฝึกวิปัสนาภาวนาด้วยก็ได้
                 สามวิธีที่กล่าวนี้คือหลักไตรสิกขาสำหรับอุบาสกอุบาสิกา ที่คิดว่าน่าจะสามารถปฏิบัติได้ ผลการปฏิบัติก็จะเกิดผลดีแก่ตนเอง ศีลจะทำให้เรามีระเบียบวินัยในตนเองสมาธิจะทำให้จิตใจเข้มแข็ง ภาวนาจะทำให้เกิดความฉลาด เป็นเรื่องดีงามทั้งสิ้น
                 ก่อนจบขอพูดถึงการนับถือพระรัตนตรัยว่าเป็นสรณะสักเล็ก น้อยพอเป็นข้อคิดว่า การนับถือ พระพุทธ พระธรรมและพระสงฆ์แบบให้เป็นที่พึ่งได้จริง ๆนั้น นับถืออย่างไร การเคารพกราบไหว้ การนำรูป วัตถุมงคลมาเคารพ การปรนิบัตรรับใช้ ที่เราพบเห็นคนทั่วไปทำอยู่เพียงพอหรือยังที่จะทำให้เราได้ที่พึ่งคือพระรัตนตรัย  ทุกคนตอบได้เองว่าไม่พอ  เพราะที่พึ่งไม่เกิด ที่พึ่งไม่ชัดเจน  เหมือนเรานับถือพ่อแม่ เราไม่จำเป็นต้องกราบไหว้เช้าเย็น ไม่จำเป็นต้องหารูปพ่อแม่มาใส่กรอบแขวนคอ เพราะถึงทำก็ไม่ได้ที่พึ่งแต่เมื่อใดเรานับถือพ่อแม่ด้วยการเชื่อฟังคำแนะนำ สั่งสอน ปฏิบัติตามที่ท่านฝึกอบรมแนะนำ
เราก็จะได้เป็นคนดี เป็นคนมีที่พึ่งที่ดี พ่อแม่ก็ยินดีด้วย  การนับถือพระรัตนตรัยก็ไม่ต่างจากการนับถือพ่อแม่  ปฏิบัติตามที่ท่านแนะนำสั่งสอนคือ  ไม่ทำความชั่ว ทำแต่สิ่งดีงาม และทำจิตให้หมดจดผ่องใส แค่นี้เองเราจะได้ที่พึ่งจากพระรัตนตรัย เหมือนบุตรธิดาเชื่อฟังและปฏิบัติตามที่พ่อแม่แนะนำสั่งสอน ทำให้ตนเองเป็นคนดี การเป็นคนดีนั่นเองคือที่พึ่งอันประเสริฐ พึ่งได้ตลอดชีวิต จริงไหมขอรับ ??????????
หมายเหตุ  ชื่อ 12 เดือนภาษาบาลีที่เกี่ยวข้องกันวันบูชาต่างๆ
มิคสิรมาส       เดือน  1
ปุสสมาส        เดือน  2
มาฆมาส        เดือน  3
ผัคคุณมาส      เดือน  4
จิตตมาส        เดือน  5
วิสาขมาส       เดือน  6
เชฏฐมาส        เดือน  7
อาสาฬหมาส   เดือน  8
สาวนมาส       เดือน  9
ภัทรปทมาส    เดือน  10
อัสสยุชมาส     เดือน 11

กัตติกมาส      เดือน  12

การบวช


   ปุจฉา    บวชพระ บวชเณร เคยเห็นมานานแล้ว แต่บวชชีพราหมณ์ บวชต้นไม้  มีระเบียบวินัยปฏิบัติอย่างไร ?
         เพื่อนกันเองโยนคำถามมาให้ตอบ ทั้งที่คนถามเองก็ตอบได้  จะยืมมือกระผมเขียนตอบให้ว่างั้นเถอะ ไปพลิกตำราพระไตรปิฏกหาไม่เจอหรอกขอรับ ระเบียบวิธีการบวชชีพราหมณ์ ระเบียบวิธีบวชต้นไม้  คงเป็นสมัยโน้นยังไม่มีความจำเป็นต้องทำอย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน เลยไม่มีบันทึกเอาไว้  เมื่อไม่มีมาก่อนระเบียบวิธีการที่ทำอยู่ปัจจุบันเขาทำกันอย่างไร  การบวชชี มีมานานแล้ว นุ่งขาวห่มขาวไปขอรับศีลแปดเป็นนิจศีล คือรักษาตลอดเวลา ก็เป็นแม่ชีแล้ว ศีลแปดข้อที่รักษาเป็นนิจศีล เว้นอะไรบ้าง               
1        ปาณาติปาตา เวรมณี  เว้นจากฆ่าสัตว์
2        อทินนาทานา เวรมณี  เว้นจากการหยิบฉวยเอาสิ่งของที่ไม่มีคนให้
3        อพรัหมจริยา  เว้นจากการประพฤติสิ่งที่มิใช่จริยาของพรหม (โดยเฉพาะเมถุนธรรม กามคุณ)
4        มุสาวาทา เว้นจากการพูดมุสา
5        สุราเมรยมัชชปมาทัฏฐานา เวรมณี เว้นจากการเสพ สุรา เมรัย ของมึนเมา
6        วิกาลโภชนา เว้นจากการบริโภคอาหารยามวิกาล (หลังเที่ยงไปจนรุ่งขึ้นวันใหม่)
7        นัจจคีตวาทิกวิสูกทัศนา มาลาคันธวิเลปนธารณมัณฑนวิภูษนัฏฐานา  เวรมณี เว้นจากร้องรำ ดูการละเล่น ทัดดอกไม้ของหอม ประดับตกแต่งร่างกาย
8        อุจจาสนยมาหสยนา เวรมณี เว้นจากการนั่นนอนบนที่นอนอันสูงใหญ่ภายในยัดด้วยนุ่น สำลีขนสัตว์
                 ดูศีล 8 ข้อ ของแม่ชีแล้วจะพบว่า ใกล้เคียงกับ ศีล 10 ของสามเณร ขาดไปข้อเดียวคือ เว้นจากการรับเงินทองวัตถุ ต้องห้าม  สำหรับข้อ 7 ศีลสามเณรจะแยกเป็น 2 ข้อ ดังนั้นศีลแม่ชี ถ้านำไปเทียบกับศีลสามเณรจะมีถึง 9 ข้อ ชาวบ้านจึงนับถือ แม่ชีว่าเป็นผู้ทรงศีล  จนลืมไปว่าเป็นเพียงอุบาสิกา นึกว่าเป็นบรรพชิต ส่วนการบวชพราหมณ์นั้น ไม่มีหรอกครับ  ที่เรียกบวชชีพราหมณ์เป็นสำนวนติดปากมาจากคำว่า สมณชีพราหมณ์  เมื่อมีการบวชชี คือสตรีถือศีลแปดป็นนิจศีล แล้วพวกผู้ชายขอถือศีลแปดเป็นนิจศีลบ้าง จะเรียกบวชชีเหมือนกัน พวกผู้ชายก็ไม่ค่อยจะชอบ แม้เมื่อก่อนจะมีชื่อเรียก ตาปะขาว ตานุ่งผ้าขาวก็ตาม พอมีคนเรียกบวชพราหมณ์เห็นชอบใจ ในที่สุดก็มีชื่อบวชชีพราหมณ์ และใช้กันทั่วไป  แต่อย่าไปเข้าใจผิดว่าบวชแล้วเป็นพราหมณ์จริง ๆ เพราะมันคนละศาสนา ชาวพุทธบวชลูกศิษย์กลายเป็นพราหมณ์ แค่นึกก็ขนลุกแล้วขอรับ

              ทีนี้มาเรื่องบวชต้นไม้  จะให้ไปรื้อพระไตรปิฎกมาตอบ  ไม่ต้องไปรื้อยากหรอกเพราะมันไม่มี ขนาดคนแท้ๆ อยากบวช ต้องซักอันตรายิกธรรมจนเหงื่อตก เช่น เป็นโรคต้องห้ามได้แก่ โรคเรื้อน เป็นฝี  กลากเกลื้อน วัณโรค ลมชัก ก็ไม่บวชให้  ไม่ใช่คนไม่บวชให้ ไม่ใช่บุรุษก็ไม่ได้ เป็นทาสคนอื่นก็บวชไม่ได้  เป็นข้าราชการก็บวชไม่ได้ พ่อแม่ไม่อนุญาตบวชไม่ได้ อายุไม่ครบ 20 ไม่บวชให้  บริขารไม่ครบไม่บวชให้ คุณสมบัติคนที่จะได้บวช  ท่านวางกฏระเบียบไว้ถี่ยิบ คุณต้นไม้ มีคุณสมบัติเข้าข้อไหน คงอายุเกินยี่สิบปี ได้ข้อเดียว อุปัชฌาย์ไม่บวชให้แน่นอน  บวชแล้วยังนึกไม่ออกจะไปเรียกเขาว่าอะไร จะนับพรรษากันอย่างไร   ข้อเท็จจริงการบวชต้นไม้ เขาไม่ต้องการให้ต้นไม้เป็นพระเป็นสามเณร หรือเป็นแม่ชี  แต่เขาอยากให้ต้นไม้ปลอดจากการถูกตัดทำลายคล้ายกับว่า ห่มผ้าเหลืองแล้วเป็นต้นไม้ของพระนะ ใครจะตัดจะโค่นถือว่ามีบาปมาก  นับว่าเป็นเจตนาที่ดี เลยไม่มีใครคัดค้าน

ไปทำบุญที่ไหนดี

ปุจฉา  ทำไมไปทำบุญบ้าน ทำบุญผ้าป่า ทอดกฐิน สวดศพ สารพัดบุญ ให้รับศีลทุกครั้ง ไม่รับได้ไหม ?       
........เพื่อนครูอาจารย์ไปงานศพญาติมา บอกว่าช่วยงานศพ 3 วัน รับศีล 10 กว่ารอบ  อุตส่าห์เก็บความอัดอั้นเอาไว้มาระบายให้ฟัง  ที่จริงน่าเก็บเอาไป นมัสการถามหลวงพ่อ    ตอนนั้นเลย  เพื่อนหัวเราะแหะ ๆ บอกไม่กล้าถามกลัวโดนเคาะ กระโหลก  เมื่อก่อนกระผมก็เคยสงสัยเหมือนเขานั่นแหละ แต่พอได้เปลี่ยนที่นั่ง ไปร่วมกลุ่มกับพระบ้างเลยรู้ว่าทำไม
                   ทำบุญตามคติชาวพุทธ  มี 3 อย่าง คือทำบุญด้วยการทำทาน  ทำบุญด้วยรักษาศีลและทำบุญด้วยการอบรมจิตใจให้ฉลาด เกิดปัญญา คือหลักทาน ศีล ภาวนา เรียก บุญกริยาวัตถุ ดังนั้นงานทำบุญทุกประเภทพระท่านจะพยายามแนะนำทำให้ครบทั้ง 3 ทานกับศีล ทำง่าย มักจะเห็นทุกงาน ส่วนภาวนา คงคิดว่าทำยากเลย ไม่ค่อยสนใจทำ  ที่จริงไม่ยุ่งยาก ไม่จำเป็นต้องนั่งสมาธิวิปัสสนาเพราะนั่นเป็นวิธีหาปัญญาที่ ทำให้เกิดโลกุตตรปัญญา  ทำบุญบ้านคนมากขนาดนั้น ทำสมาธิไม่เกิดหรอก แต่เรา สามารถจัด อบรมทำให้เกิดโลกียปัญญาได้ ฟังเทศน์ซิขอรับ ที่ยังโง่ก็หายโง่ได้ แต่ต้องฟังเทศน์ชนิดที่ฟังรู้เรื่อง นะครับ
……..
การฟังเทศน์ชนิดที่ได้ยินแต่กุสลา ธัมมา อกุสลา ธัมมา อพยากตาธัมมา ไม่ไหวเหมือนกัน ขนาดคนเทศน์เองยังไม่รู้ว่าเทศน์ เนื้อหาอะไร ฟังหลายจบปัญญาก็ไม่เกิด

               รู้หลักการทำบุญแล้ว ทีนี้ก็มาถึงปัญหาว่าทำไมรับศีลบ่อยเหลือเกิน  พระพุทธเจ้าเคยแนะนำไว้ว่า  การทำทานที่จะได้บุญมาก นอกจากสิ่งของที่นำมาทำทานจะได้มาอย่างบริสุทธิ์ เป็นของมีคุณภาพดี ควรแก่สมณะวิสัยแล้ว  ปัจจัยสำคัญอีกอย่างคือ  ผู้ให้ก็ต้องมีศีลบริสุทธิ ผู้รับก็ต้องมีศีลบริสุทธิ์    ก็เลยเกิดการเลี่ยงบาลีกัน ก่อนทำทาน จะขอรับศีลก่อนเพราะรับศีลเสร็จใหม่ ๆ ถือว่ามีครบ 5 ข้อ ยังไม่ขาดสักข้อ แล้วก็ถวายทานตามหลัง นับว่าคนโบราณหัวแหลมไม่ใช่เล่น  ถ้าพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่มาพบอุบาสก อย่างพวกเรา คงได้เห็นพระองค์แย้มสรวลว่าเออคนยุคนี้มันเก่ง