วันศุกร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

ฮีตสิบสอง ชุดที่ 1 เดือนที่ 1-4












........ข้อเขียนชุดฮีตสิบสอง นับวันแต่จะไม่มีคนเล่าให้ลูกหลานฟัง ว่าทำไมมีตั้ง 12 เรื่อง แต่ละเรื่อง มันเกี่ยวกับอะไรบ้าง ก็อยากให้คนรุ่นใหม่ได้ทราบกันบ้าง เผื่อลูกหลานถามจะตอบกันได้ แบ่งเป็น 3 ชุด แต่ละชุดมี 4 เรื่อง แล้วกัน ลองอ่านดูครับ จะได้มีเรื่องบอกเล่าคนอื่นได้

                                              ขุนทอง ศรีประจง
                                                6 มค.2561

เดือนอ้าย หรือเดือนเจียง งานบุญเข้ากรรม 
 
.......บุญเข้ากรรม คือบุญที่มีการเข้ากรรมของพระภิกษุ เกี่ยวข้องกับที่พระภิกษุต้องอาบัติสังฆาทิเสสอาบัติคือการละเมิดศีล เรียกต้องอาบัติ ศีลมีหลายประเภท เช่น ปาราชิก 4 ข้อ  ต้องอาบัติแล้วมีโทษ
คือขาดจากความเป็นพระทันที ไม่มีผ่อนผัน ผิดก็จบไปเลย  สังฆาทิเสส 13 ข้อ ผิดแล้วต้องอยู่กรรม
และขอให้สงฆ์ 20 รูป สวดระงับอาบัติให้ อาบัตินิสสัคคียปาจิตตีย์ 30 ข้อ ต้องอาบัติต้องสละสิ่งที่ทำ
ให้ต้องอาบัติก่อน จึงแสดงอาบัติได้ อาบัตินอกจากนั้น เพียงแสดงอาบัติต่อภิกษุอื่นก็เป็นอันออก
จากอาบัติได้ การเข้ากรรมเป็นวิธีออกอาบัติสังฆาทิเสส มีหลักการสำคัญคือ
.......1. การนับจำนวนวันที่ปกปิด ต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้ว ปกปิดไว้มีได้บอกภิกษุอื่น จนกล้าบอก
ปิดไว้เท่าใด จะนับเป็นเวลาสำหรับการอยู่กรรม   ไม่ปกปิดก็ไม่ต้องนับ
.......2. การอยู่มานัติ 6 ราตรี เป็นการอยู่กรรมสำหรับทุกคนที่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส แม้คนที่อยู่กรรม
ตามข้อ 1 แล้ว ก็ต้องอยู่มานัติ 6 ราตรีก่อน จึงจะขออัพภาณ ระงับอาบัติได้
.......3. คณะสงฆ์ 20 รูปเป็นคณะสวดอัพภาณออกอาบัติสังฆาทิเสสให้
........แนวปฏิบัติ เช่น ภิกษุต้องอาบัติ 1 ข้อ ปิดไว้ 15 วัน หรือต้องหลายข้อ ปิดไว้ 5 วัน 10 วัน 15 วัน
 เมื่อไปขอปริวาสต่อคณะสงฆ์ ก็จะได้เวลาอยู่ปริวาส 15 วัน สำหรับกรณีแรก แต่กรณีต้องหลายข้อจะได้
เวลามากขึ้นเป็น 5+10+15 รวม 30 วัน สงฆ์จะมอบหมายพระอาจารย์คุมการอยู่ปริวาสให้ 1 รูป ต้องรายงานพระอาจารย์ทุกวัน ปกติการอยู่ปริวาส จะหา กลด มาปักอยู่ใกล้ ๆ กุฏิอาจารย์ ชั่วขว้างก็อนดินตก 2 ครั้ง ปฏิบัติตามกฏระเบียบการอยู่กรรมเคร่งครัด สมัยพุทธกาลทรงกำหนดข้อจำกัดที่ผู้อยู่ปริวาสกรรม ถูกจำกัด 94 ข้อ ในเวบลานธรรมวัดโบสถ์แจ้ง ได้สรุปเป็นหัวข้อสำคัญ ๆ 10 ข้อได้แก่...
1.. ไม่ให้ทำการในหน้าที่พระเถระ แม้ตัวเป็นพระเถระมีหน้าที่อย่างนั้นอยู่ ก็เป็นอันระงับ ชั่วคราว เช่น
     ห้ามบวชให้ผู้อื่น, ห้ามให้นิสสัย เป็นต้น.
2. กำลังถูกลงโทษเพราะอาบัติใด ห้ามต้องอาบัตินั้นซ้ำ หรือต้องอาบัติอื่นที่มีลักษณะเดียวกัน
3. ห้ามถือสิทธิแห่งภิกษุปกติ เช่น ไม่ให้มีสิทธิ ห้ามอุโบสถ หรือปวารณาแก่ภิกษุปกติ ห้ามโจท
ท้วงภิกษุอื่น ๆ เป็นต้น.
 4. ห้ามถือสิทธิอันจะพึงได้ตามลำดับพรรษา เช่น ไม่ให้เดินนำหน้า ไม่ให้นั่งข้างหน้าภิกษุปกติ
เมื่อมีการแจกของ พึงยินดีของเลวที่แจกทีหลัง ทั้งนี้หมายรวมทั้งที่นั่ง ที่นอน และที่อยู่อาศัย
 5. ห้ามทำอาการของผู้มีเกียรติหรือเด่น เช่น มีภิกษุปกติเดินนำหน้า หรือเดินตามหลัง แบบพระ
ผู้ใหญ่ หรือพระแขกสำคัญ หรือ ให้เขาเอาอาหารมาส่ง ด้วยไม่ต้องการจะให้ใครรู้ว่ากำลังถูก
  ลงโทษ.
6. ให้ประจานตัว เช่น ไปสู่วัดอื่น ก็ต้องบอกอาบัติของตนแก่ภิกษุในวัดนั้น เมื่อภิกษุอื่นมาวัดก็ต้อง
  บอกอาบัติของตนนั้นแก่ภิกษุผู้มา จะต้องบอกอาบัติของตนในเวลาทำอุโบสถ
7. ห้ามอยู่ในวัดที่ไม่มีสงฆ์อยู่ (เพื่อป้องกันการเลี่ยงไปอยู่วัดร้าง ซึ่งไม่มีพระ จะได้ไม่ต้องทำการ
  ประจานตัวแก่ใคร ๆ).
8. ห้ามอยู่ร่วมในที่มุงอันเดียวกับภิกษุปกตินี้ เพื่อเป็นการตัดสิทธิทางการอยู่ ร่วมกับภิกษุ อื่นชั่วคราว.
9. เห็นภิกษุปกติ ต้องลุกขึ้นจากอาสนะ ให้เชิญนั่งบนอาสนะ ไม่ให้นั่ง หรือยืน  เดินในที่ หรือ
ในอาการที่สูงกว่าภิกษุปกติ.
10. แม้ในภิกษุผู้ถูกลงโทษด้วยกันเอง ก็ไม่ให้อยู่ร่วมในที่มุงเดียวกัน รวมทั้ง ไม่ให้ตีเสมอกัน
และกัน (ทางที่ดีไม่ให้มารวมกัน ให้ต่างคนต่างอยู่).
..........หมายเหตุ..ตั้งแต่ข้อ ๖ ถึงข้อ ๑๐ ถ้าภิกษุฝ่าฝืน การประพฤติตัวของเธอเพื่อออกจากอาบัติ  ย่อม เป็นโมฆะ มีศัพท์เรียกว่าวัตตเภท (เสียวัตร) และรัตติเฉท (เสียราตรี) วันที่ล่วงละเมิดนั้นมิให้นับ เป็นวันสมบูรณ์ในการเปลื้องโทษจะต้องทำใหม่และนับวันใหม่ในการรับโทษแก็ไขตัวเอง
………..ข้อสังเกต การอยู่ปริวาสกรรม เป็นกิจของภิกษุผู้ต้องอาบัติ ต้องพึงปฏิบัติ ในฐานะคนที่ได้
กระทำความผิด กำลังรับโทษ เหมือนรับผลกรรมที่ทำผิดมา ไม่ใช่กิจกรรมที่จะเป็นบุญเป็นกุศลมากมาย
ที่โยมจะต้องไปแสดงความชื่นชม อนุโมทนาสาธุ เพราะคิดว่าทำบุญกับพระอยู่กรรมจะได้บุญกุศลมาก
ดีไม่ดีอาจไปทำให้การอยู่ปริวาสกรรมของพระภิกษุบกพร่อง เสียเวลาย้อนกลับไปเริ่มใหม่ อาจให้ให้พระพระแหกกฏกติกา บาปกรรมเปล่า ๆ
.........แนวปฏิบัติของชาวพุทธ ถ้ามีคนชักชวนไปงานประเภทนี้ ติดต่อเจ้าอาวาส ช่วยสนับสนุน
จตุปัจจัยตามกำลังศรัทธา พอแล้ว ประเภทไปเข้าค่ายทำครัวเลี้ยงพระภิกษุที่กำลังถูกลงโทษนี่
แปลก ๆอยู่นะ คุณโยม



เดือนยี่ งานบุญคูนลาน 

 
.........วันนี้ 7 มกราคม 2561 ตรงกับแรม 6 ค่ำ เดือนยี่ นึกถึงฮีตสิบสองคลองสิบสี่ของไทยอีสานครับ  เดือนอ้ายประเพณีปริวาสกรรม ช่วยพระท่านเข้ากรรม ส่วนเดือนยี่มีคำผญาเล่าว่า
“เถิงฤดูเดือนยี่มาฮอดแล้ว ให้นิมนต์พระสงฆ์องค์เจ้ามาตั้งสวดมงคล เอาบุญคูณข้าวเข้าป่าหาไม้เห็ดหลัว อย่าได้หลงลืมทิ่มฮีตเก่าคองเดิมเฮาเด้อ”
.......หมายความว่า เมื่อถึงฤดูเดือนยี่มาถึงให้นิมนต์พระสงฆ์มาสวดมงคลทำบุญคูณข้าว ให้จัดหาไม้มาไว้ทำฟืนสำหรับใช้ในการหุงต้มประกอบอาหาร อย่าได้หลงลืมประเพณีเก่าแก่แต่เดิมมาของเรา ฟืนจำเป็นต้องหาทั้งปี เพราะยังไม่มีเชื่อเพลิงอย่างอื่น ถ่านไม้ก็ทำไม่เป็น ฟืนจึงเป็นของจำเป็น แต่ไม่เล่าเรื่องฟืนละ จับแต่เรื่องข้าวพอ
........จับใจความได้ว่ามีกิจกรรม ทำบุญคูณข้าว และหาไม้มาไว้ทำฟืน การทำบุญคูณข้าวเป็นการเฉลิมฉลองความสำเร็จของการทำนา ผลก็คือได้ข้าวที่เห็นกองอยู่ที่ลานข้าวนั่นแหละ ก็เฉลิมฉลองด้วยการทำบุญ กัน ขอเล่าย้อนไปนิดหนึ่งว่าข้าวในลานสมัยก่อนมีความยุงยากพอสมควรกว่าจะเห็นกองข้าวในลาน
.........เราทำนาฤดูกาลเดียว จะเก็บเกี่ยวก็ประมาณเดือนสิบสอง เดือนอ้ายก็เสร็จ และนวดข้าวกัน หลายคนเสร็จทันไปเที่ยวปีใหม่ หลายคนหลังปีใหม่นิดหน่อยก็นวดเสร็จ มีกิจกรรมที่อยากเล่าให้ฟังว่า งานที่ชาวนาชนบทเราทำ มีอะไรกันบ้าง
.........ช่วงปลายฝน ไผ่จะมีลำไผ่ใหม่ออก ให้เราเลือกตัดมาจักตอกมัดข้าว กระผมไปกับเพื่อนบ้านที่ริมฝั่งลำน้ำพอง สมัยยังไม่มีเขื่อนอุบลรัตน์ ราวปี 25065 กอไผ่ป่าหนาแน่นมาก พวกผู้หญิงหาหน่อไม้ เราหาตัดไม้ไปจักตอก ตัดท่อนละสองปล้อง มัดให้แน่น หาบกลับมาจักที่บ้าน ที่บ้านจักตอกเป็นทุกคนช่วยกันจักตอกวันเดียวก็หมดไม้ ไปหามาอีก ได้เพียงพอก็หยุด คนจะบอกได้พอไม่พอก็พ่อและพี่ ๆ ตอกแห้งดีก็มัดเก็บไว้ใช้ตอนเกี่ยวข้าว
..........ใกล้เดือนสิบเอ็ด-สิบสอง ข้าวเบาเริ่มแก่พร้อมจะเก็บเกี่ยว หลายบ้านลงข้าวเบาไว้ทำข้าวเม่า และข้าวใหม่ ตอกที่จักไว้ก็ได้ใช้ ช่วงปลายฝนยุ่งยากมากถ้าฝนตกมาทำให้ข้าวเปียก เก็บไม่ทัน จึงลงข้าวเบากันสองสามแปลงก็พอ นอกนั้นเป็นข้าวหนัก การเก็บเกี่ยวส่วนมากก็ทำกันเอง เว้นแต่พวกนาหลายสิบไร่ ก็จ้างคนช่วย การเก็บเกี่ยว จะตัดต้นข้าวเป็นกำ ๆ แล้ววางเป็นฟ่อน ๆ ละ 4-5 กำ เด็กกำเล็กก็เพิ่มเป็นหกกำ ฟ่อนหนึ่งจะมัดข้าวได้ 1 มัดพอดี ถ้ายังมีน้ำ เขาจะหักตอฟางทำเป็นร้านสำหรับวางกำข้าว ดูแล้วสวยงามมากผมดูพี่เขาทำอยากลองบ้าง  แหมฝีมือเราไม่ได้เรื่องเลย กว่าจะทำพอดูได้ก็หัดหายวันแบบนี้ฝนตกก็ไม่เป็นไร ปล่อยให้แห้งดีค่อยมามัดเก็บ ถ้าช่วงฝนขาดก็ไม่ต้องทำ  เกี่ยว
เสร็จทิ้งไว้วันสองวันก็มามัดได้
..........เช้า ๆ มีหมอกลงบาง ๆ พวกผุ้ชายมีไม้ตอกมัดติดด้านหลัง เดินเลาะไปตามแปลงนาที่เกี่ยวข้าวและแห้งดีแล้ว มัดไปทีละฟ่อน ตอกเส้นเดียว ม้วนสองรอบและบิดเกลียวขมวดปมให้แน่น มัดเสร็จก็รอพวกผู้หญิงมาหาบไปส่งลานนวดข้าว  เขาจะเอาไปวางกองไว้รอเราไปจัดทำลอมข้าว เพราะเราจะเก็บเกี่ยวเสร็จทั้งผืนนา ค่อยจะนวดข้าวกัน เลยต้องทำลอมข้าวก่อน เป็นการเก็บด้วย กันฝนด้วย ข้าวไม่มากก็จะจัดทำแบบหน้าจั่วธรรมดา ๆถ้าข้าวมากก็ก่อแบบตีนช้างแล้วต่อด้วยแบบหน้าจั่วอีกที  ทำเป็นทั้งสองแบบเลยนา ไม่ได้โม้ ช่วงนี้แหละบางคนทำบุญลานข้าว มีข้าวมากองเต็มลาน จัดเก็บเป็นลอมข้าวสวยงามมากดีใจก็ทำบุญฉลอง  บางคนยังไม่ทำบุญตอนนี้ จะทำตอนนวดข้าวเสร็จ
..........กองข้าวเสร็จคนที่รู้ประเพณีจะนำข้าวจากตาแฮก มาทำเป็นขวัญข้าว เก็บเกี่ยวแยกไว้แล้ว เคยเห็นนะเวลาจะทำขวัญข้าว จะดึงข้าวมามัดหนึ่งนวดให้เมล็ดข้าวหลุดเหลือแต่ฟาง เอาฟางมัดนี้แหละหุ้มเครื่องบูชาขวัญข้าว กระติ้บไบเล็ก ๆ ใส่เครื่องบูชา มีของกินไข่ต้ม ข้าวเหนียว หมากพลูบุหรี่ ดอกไม้ธูปเทียน มัดแน่นดีแล้ว สานตาแหลว 4 -5-6 มุมมัดทาบแล้วห้อยข้าวตาแฮกประดับ ไม้หลาวเสียบ ไปทำพิธีไหว้ที่หน้าลอมข้าว แล้วปักตรงกลางทิ้งไว้ จนกว่าจะมาเริ่มนวดข้าวกัน
.........บางคนทำบุญตอนนี้เลย ข้าวมากองลานเรียบร้อย จัดเก็บสวยงาม อยากให้คนมาเห็นมาชม  แต่บางคนไปทำบุญตอนนวดข้าวเสร็จ ก็เรียกทำบุญคูณลานเหมือนกันการทำบุญคูณลานนิยมทำสองแบบคือ มีการสู่ขวัญข้าวด้วย และมีการทำบุญเลี้ยงพระด้วย การสู่ขวัญข้าว  นิยมเชิญหมอสู่ขวัญมาช่วยทำพิธี เครื่องบูชาก็มักประกอบด้วย บายศรีปากชาม ไก่ต้มทั้งตัว ไข่ต้ม เหล้าขาว หมากพลูบุหรี่ ของหวาน ต้มเผือก มัน หมอขวัญจะทำพิธีที่ลานข้าวนั่นเอง ส่วนพิธีทางพระจัดเหมือนการทำบุญเลี้ยงพระที่บ้าน
เพียงแต่ไปจัดที่ทุ่งนาข้าวเท่านั้นเอง
..........การนวดข้าว กรณีที่ทำบุญคูณลานขณะที่กองข้าวยังไม่ได้นวด ทำบุญเสร็จก็นวดข้าวกัน มีการขอขมาพระแม่โพสพ ขอขมาพระแม่ธรณี ที่ต้องนวดมัดข้าวให้เม็ดหล่นกระจาย ต้องฟาดพื้นธรณีกระทบกระเทือน ขอขมาเสร็จก็เริ่มนวดข้าวกัน สมัยก่อนเราใช้แรงคนมีไม้นวด คีบมัดข้าวฟาดลงกับพื้น บางทีก็ใช้ฟาดกันแผ่นกระดานให้ร่วงง่าย สมัยใหม่มีเครื่องจักรช่วยนวดก็สะดวกขึ้น ฟางข้าวที่มาจากการนวดด้วยแรงคน มักมีเมล็ดข้าวหลงเหลืออยู่ ชาวบ้านจะนำไปตัดตอกมัด จับปลายเขย่าให้เมล็ดข้าวและฟาง
บางส่วนหล่นลงพื้น ได้กองใหญ่พอก็นำไม้ไผ่ขนาดนิ้วมือ ยาวเมตรครึ่ง เรียกชื่อไม้ตีข้าวสะนุ สาว ๆ ชอบ ถือไม้ยืนคนละฟากกองฟาง หวดดังขวับ ๆ เรียกตีข้าวสะนุ ข้าวหล่นลงพื้นเกลี้ยง จากนั้นก็เขี่ยฟางไปกอง รอจัดการเก็บเป็นลอมฟาง การนวดข้าวมักมีคนมาช่วยเอาแรงกัน เสร็จลานนี้ไปช่วยลานถัดไป ก็สนุกตามประสาชาวบ้าน
.........กรณีทำบุญกองข้าวที่นวดเสร็จแล้ว หลังทำบุญก็จะเป็นการขนข้าวขึ้นยุ้งฉางกันสมัยก่อนใช้วิธีหาบด้วยตะกร้าสองใบ หาบเดินตามคันนา มองดูสวยงามมาก เพราะเป็นการเอาแรงกัน ส่งลูกสาวลูกชายไปช่วยลานที่เขานวดเสร็จ หาบข้าวเดินแถวยี่สิบสามสิบคน แต่ละรอบก็หาบได้สัก ห้าสิบตะกร้า ถ้าตวงก็น่าจะซักสามสิบสี่สิบถัง บางลานข้าวเยอะจนมืดค่ำถึงเสร็จ หมดเหล้าไปเป็นลัง ต้มไก่หมดไปหลายตัว คนไปช่วยสนุก โดยเฉพาะหนุ่มสาวชอบมาก เสร็จหน้านาก็เสร็จไปหลายคู่เพราะมันสนุก จนถึงแต่งกันไปก็มี
.........ก็จบแหละครับประเพณีทำบุญคูณลาน สมัยใหม่ใช้เครื่องจักรกลมาทำแทนคนคงหาดูยาก ได้แต่ฟังคนเฒ่าคนแก่เล่าให้ฟัง อ้อผมเล่านี่ก็เพราะแก่แล้วเหมือนกัน ถือซะว่าอ่านที่คนแก่เขียนเล่าสู่กันฟังแล้วกัน ขอบคุณครับ


เดือนสาม บุญข้าวจี่ 

 
.........ข้าวจี่เป็นอาหารของคนทานข้าวเหนียวเป็นหลัก ปกติข้าวเหนียวนึ่งใหม่ ๆจะหอม อุ่นมือพ่อแม่นิยมปั้นเป็นก้อนเล็ก ๆ โรยเกลือนิด ๆ แจกเด็ก ๆ คนละปั้น ๆ แค่นั้นก็อร่อยมาก ยิ่งหน้าหนาวมีตั่งให้นั่งล้อมวงรอบกองไฟ ได้ข้าวเหนียวคนละปั้น ลืมหนาวไปเลย ให้ดีกว่าโรยเกลือ ก็ต้องมีของแถม คือนอกจากปั้นข้าวเหนียวจะมีปลาแส้ เนื้อแดดเดียว โยนใส่กองไป คลุกขี้เถ้าไปมา สุกดีก็แจกคนละชิ้น มือหนึ่งถือปั้นข้าว อีกมือกัดเนื้อย่าง หรือปลาแส้ที่สุกแล้ว อ้อต้นฉบับต้องคลุกขี้เถ้านะไม่ใช่ย่าง ถึงจะได้รสเต็มร้อย...จะให้อร่อยมากขึ้นก็ข้าวจี่+ไข่ ถือเป็นที่สุดของการกินข้าวเหนียวปั้น

........จากธรรมชาติการกินอยู่ของชาวบ้านที่กระผมเคยเห็นมา การทำข้าวจี่กินมีมาแต่สมัยปู่ย่าตาทวดการเอาข้าวจี่ไปถวายพระก็นิยมหน้าหนาว ๆ เดือนสามอากาศเย็น ๆ เป็นเดือนที่เขา"ตุ้มปากเล้า"เดือนสามออกใหม่สามค่ำ ทำขวัญเล้า เปิดประตู้เล้า นำข้าวใหม่ไปถวายพระ 1 ถัง เริ่มนำข้าวมาตำเอาข้าวสารไปบริโภคกันได้ นอกจากถวายข้าวเปลือก ข้าวสุก แล้วก็ข้าวจี่นี่แหละนิยมทำบุญกัน จนกลายเป็นเดือนสามบุญข้าวจี่
........มีเรื่องเล่าว่าได้แบบอย่างจากอินเดีย โยงไปไกลมากหรือเปล่า เล่าถึงเรื่องนางปุณทาสี ทำแป้ง
จี่ถวายพระพุทธเจ้าแต่กังวลว่าพระองค์อาจไม่รับประทาน เพราะเป็นแค่แป้งจี่ อาหารที่คนอื่นถวายอร่อยกว่ามีมากมาย พระพุทธเจ้าทราบที่นางวิตก จึงให้พระอานนท์ลาดอาสนะลงแล้วนำแป้งจี่มาถวาย
ทรงรับประทานเสร็จก็เทศนาโปรดนาง จบเทศนานางได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน อานิสงส์แห่งการทำบุญ
มิได้เล็กน้อยอย่างที่นางคิด
........วิธีทำข้าวจี่ ข้าวเหนียวควรแช่ข้าวสารแต่ทุ่มสองทุ่ม ข้ามคืนรุ่งขึ้นค่อยนึ่ง จะได้ข้าวเหนียวนึ่ง
ที่อ่อนนิ่ม ปั้นรูปทรงง่าย นึ่งเสร็จใหม่ ๆ เทใส่กระด้ง กระบม แล้วส่ายข้าวหน่อย เอาไม้ค่อนด้าม หรือ
ใบพายเล็ก ๆ ตักแล้วพลิกไปมา ข้าวจะเย็นลงและเหนียวติดกันดี เห็นคนสมัยใหม่เทข้าวร้อน ๆใส่กระติกน้ำแข็ง บอกให้มันร้อนนาน ๆ เสียดายเนาะ ได้ข้าวเหนี่ยวร้อนจริง แต่ความเหนี่ยว นุ่ม ลดลง
ข้าวเหนียวเราเก็บใส่กระติ๊บไว้ เอาไปใช้สะดวกดี  ปั้นข้าวทำข้าวจี่ จะมีไม้เสียบจับย่างไฟ ต้องหามา
ไว้ก่อน ตัดเรียวกิ่งไผ่ มาทำก็ได้ หรือไม้ไผ่ 2 ปล้อง ผ่าเหลาขนาดดินสอดำก็ได้  นิยมปั้นติดไม้ เป็น
ก้อนกลม ๆ เรียวหัวและท้าย ยาวตามพอใจ กดให้ติดไม้แน่น ไม้ตรงบีบข้าวเหนียว เหลาแบน ๆหน่อย
เวลาพลิกจะได้ไม่หลุดง่าย ขณะปั้น โรยเกลือนิดหน่อย ปั้นได้รูปทรง แน่นดี  วางใส่ถาดไว้ จะเอา
ไปย่างไฟ
........ปกติย่างทีละปั้น นั่งผิงไฟไปก็ย่างไป หมุน ๆ ให้มันสุกเกรียมทั่วถึงแล้วค่อยทาไข่ แต่คนสมัยใหม่เขาทำขาย ทำเป็นก้อนแบน ๆ เสียบไม้แล้วย่างบนตะแกรง ต้องดูตะแกรงให้สะอาด แล้วเฝ้าให้ดีคอยพลิกไปมาให้สุกเกรียมทั่วถึง ข้าวจี่ต้องเกรียมนะถึงจะอร่อย ไม่ทาไข่ก็อร่อย แต่ทาไข่เพิ่มรสหอม อร่อยมากขึ้น  ไข่ที่นำมาทาข้าวจี่ ตีให้ไข่ขาวไข่แดงเคล้ากันให้ดี เติมซีอิ้วขาว นิดหน่อย แล้วใช้ทาข้าวจี่ที่สุกเกรียมแล้ว นำไปย่างไฟ หมุน  ๆ ๆ ให้ทัน ไข่สุกแล้วเอามาทาอีก ย่างไฟอีก 2 รอบนี่กินเถอะมันหอมมากแล้ว แต่ผมต้องสามรอบนะ
........นอกจากทาไข่ แล้วอย่างอื่นมีอะไรบ้างที่ทาข้าวจี่แล้วอร่อย  หลังจากย่างข้าวจี่สุกเกรียมดีแล้ว
สิ่งที่ใช้ทา ถ้าต้องการก็หามาซิครับ บางคนต้องการทาน้ำมันหมู ย่างให้น้ำมันสุกหอมก็ใช้ได้ บอกว่าหอมอร่อย เหมือนกินขนมพอง บางคนป้ายน้ำอ้อยด้วย บอกว่าเหมือนกินตังเม ก็แล้วแต่จะชอบครับ ส่วนผมถ้าไม่ใช่ไข่ ขอเป็นแจ่วบอง เผ็ดน้อย ปลาร้านัวมาก ๆ สับเละ ๆ นะ ทาข้าวจี่รอบเดียวพอ
สุด ๆ เลย ไม่มีคำบรรยาย อยากรู้อร่อยไหม ลองดูเองครับ
.......ทีนี้พูดถึงบุญข้าวจี่ ก็คือการทำบุญด้วยข้าวจี่ ก่อนอื่นต้องทำข้าวจี่ให้อิ่มก่อน เรื่องจริง ทำข้าวจี่
ใครไม่อิ่มก่อนไม่มีหรอก ส่วนจะทำบุญก็แยกไว้ จะไปทำที่ไหนล่ะ ถวายตอนพระบิณฑบาตก็ได้ แบบ
นี้แหละผมชอบ ตัดกำลังพี่เณรก่อนฉันเช้าน่าแหละ ไปถวายที่วัด นิยมวันพระ มีสวดปริตตมงคล ไชยมงคลคาถา  ถวายสังฆทาน ก็ข้าวจี่นี่แหละเป็นสังฆทานด้วย ก็จบกันได้ครับ
.......มีเล่าอีกไหม ได้สิ ข้าวจี่ที่ช้าวบ้านทำพร้อมกันนี่ เป็นการลงโทษพระทางอ้อมนะ เพราะได้แต่ทำตาปริบ ๆ มองเข่งใส่ข้าวจี่ จนต้องวานโยมช่วยคนละไม้ละมือ โยมก็น้อยอีกต้องโทรตามครูมาช่วยทีนี้เรียบร้อยมีเท่าไรลูกหลานที่โรงเรียนจัดการได้หมด อีกประการหนึ่งที่เกิดปัญหานี้ก็เพราะขอบทำพร้อมกันในวันมาฆบูชานั่นเอง   อย่าลืมพิธีมาฆะบูชาด้วยล่ะ สำคัญไม่แพ้ข้าวจี่หรอก
........จบจริงนะทีนี้ บุญข้าวจี่เป็นประเพณีทำบุญด้วยข้าว บรรพบุรุษเราอาชีพทำไร่ทำนา ปลูกข้าวกิน
เลยขยันทำบุญด้วยข้าว ทำกันตั้งแต่ข้าวมีน้ำนม  เอาข้าวอ่อน ๆ มาบีบได้แป้งน้ำขาว ๆแกมเขียว เรียก
น้ำนมข้าว เอาไปกวนเรียกข้าว ปายาส มันไม่ไหวานเติมน้ำผึ้ง เรียก มธุปายาส ถวายทานครั้งแรกพอข้าวแก่มากขึ้น เป็นเม็ดเขียว ๆ เอาไปคั่วให้สุกก่อนค่อยมาตำกระเทาะเปลือกออก ฝัดเปลือกแยก
ออก ได้ข้าวเม่า ก็เอาไปถวายพระอีก  เกี่ยวข้าวใหม่อยากกินข้าวใหม่ ก็อ้างอยากทำบุญด้วยข้าวใหม่
จับข้าวสี่ห้ามัดมาใส่กระด้ง ฝ่าเท้ายีไปยีมา ให้เม็ดหลุดจากรวง ฝัดฟางออก ได้ข้าวใหม่สักถังสองถัง
เอาไปตำเป็นข้าวสาร ตอนนี้ได้ข้าวเหนียวใหม่ถวายพระสมใจ ทำบุญคูณลานก็ได้ทำบุญอีกครั้ง จากนั้น
ก็มาข้าวจี่นี่แหละเป็นคำรบที่ 4 มั้ง เห็นว่าจะพยายามทำให้ได้ 9 ครั้ง ไม่ไหวละ จบก่อนดีกว่า


เดือนสี่ บุญพระเวส
..........เขียนประเพณีบุญเดือนสี่หลายครั้งแล้ว วันนี้ 28 มค.2561 จะเขียนอีกเพราะหาของเก่าไม่เจอ ครั้งก่อนเขียนเน้นวิธีปฏิบัติชาววัดทำอะไร ชาวบ้านทำอะไร และลำดับกิจกรรมที่ทำแต่ต้นจนจบบุญเดือนสี่ คราวนี้ไม่อยากเล่าซ้ำ เอาเป็นมารู้จักเรื่องพระเวสส ดีกว่า จะได้มีความรู้มากขึ้น ส่วนวิธีทำบุญ ก็อาจเล่าแทรกไว้พอหอมปากหอมคอ ไม่เน้น
.........พระเวสสันสันดร เดิมคือเจ้าชายเวสสันดร โอรส พระเจ้าสญชัย ผู้ครองกรุงสีพี พระมารดาชื่อพระนางผุสสดี ธิดาเจ้าเมืองมัทราช  พระนางประสูติเจ้าชาย ระหว่างเสด็จผ่านย่านการค้าขาย จึงมีการถวายนามเจ้าชายว่า เวสสันดร พร้อมกันนี้สิ่งที่เป็นคู่บุญบารมีก็บังเกิดมาพร้อมกับเจ้าชาย คือช้างเผือกคู่บารมีนาม ปัจจนาคนาเคนทร์ และขุมทรัพย์ทั้งสี่ทิศ เป็นเจ้าชายที่ใจบุญสุนทาน เจ้าชายมีพระชนมายุ 16 ปี พระบิดาสู่ขอพระนางมัทรี ธิดาเจ้ากรุงมัทราช มาอภิเษกเป็นพระชายา และมอบราชสมบัติให้เป็นพระเจ้ากรุงสีพีราชคนใหม่ และต่อมาได้มีพระโอรสและธิดาคือ กัณหาและชาลียังความปิติยินดีแก่พระบิดาพระมารดายิ่งนัก ประชาชนก็ชื่นชมพระบารมีของพระองค์ โดยเฉพาะพระทัยฝักใฝ่การทำบุญทำทาน  เคยทูลขอพระบิดาให้สร้างโรงทานไว้ที่ประตูเมืองทั้ง สี่ ทิศ ให้พระราชทานสิ่งของไปไว้แจกทานคนยากคนจนไม่ได้ขาด บางครั้งก็เสด็จไปเยี่ยมโรงทาน และช่วยแจกทานด้วยพระองค์เอง จนเลื่องลือไปทั่วแผ่นดีนว่าเป็นเจ้าชายที่มีน้ำพระทัยเมตตากรุณาต่อคนยากคนจนยิ่งนัก ยิ่งเป็นพระเจ้าสีพี การทำบุญทำทานก็ยิ่งทำมากยิ่งขึ้น
..........ครั้งหนึ่งเมืองกลิงคราช แห้งแล้งติดต่อกันหลายปี เดือดร้อนกันทุกหย่อมหญ้า แต่ทางเมืองสีพีกลับมีฟ้าฝนอุดมสมบูรณ์ ส่งคนไปสอดแนมดูว่าเป็นเพราะเหตุใด ที่สุดก็ทราบว่าเพราะช้างคู่พระบารมีพระเจ้ากรุงสีพี ช่วยให้บ้านเมืองร่มเย็นเป็นสุข ไม่เดือดร้อนด้วยภัยแล้ง จึงได้ส่งคนมาทูลขอช้าง      ปัจจนาคนาเคนทร์ เจ้าชายขณะนั้นสืบราชสมบัติแทนพระราชบิดา ได้พระราชทานให้ตามประสงค์มีผลให้เมืองกะลิงคราชมีฟ้าฝนตกต้องตามฤดูกาล บ้านเมืองร่มเย็นเป็นสุขสืบมาหลายปี และได้นำช้างกลับไปถวายคืนแก่เจ้าชายในกาลเวลาต่อมา
..........การพระราชทานช้างครั้งนั้น ถึงจะเป็นช้างคู่พระบารมี แต่ประชาชนหวงแหนมาก ไม่พอใจ จึง
พากันเดินชบวนไปฟ้องพระเจ้าสญชัย มีเรียกประชุมอำมาตย์มนตรี ต่างก็เห็นไปทางเดียวกันว่า พระเจ้า
กรุงสีพีทำไม่ถูกสมควรเนรเทศออกจากบ้านเมือง พระเจ้ากรุงสีพีเวสสันดร ยอมรับโทษโดยดี ขอโอกาส
ทำ มหาสัตตสตกทาน คือมหาทาน สิ่งของวัตถุ อย่างละ 700 เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย ทาง ทาสีข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ หลังจากนั้นก็เดินทางออกจากเมืองสีพี พร้อมด้วยนางมัทรีและกัณหาชาลีพระองค์ตั้งใจจะไปยังเขาคีรีวงกฏที่ทราบว่าห่างไกลบ้านเมืองผู้คน เดินทางมาไม่นานก็เข้าเขตเมืองเจตราช พระเจ้าเจตราชเลื่อมใสบุญบารมีพระเจ้าสีพีเวสสันดรมานาน ทูลเชิญปกครองเมืองเจตราชพระองค์ปฏิเสธขอเดินทางต่อไป พระเจ้าเจตราช เรียกนายพรานเจตบุตรมาสั่งให้คุ้มครองการเสด็จของทั้งสี่พระองค์ และคอยระวังมิให้ใครไปรบกวนการบำเพ็ญพรตของพระองค์
..........สี่กษัตริย์เดินทางเข้าป่าลึกจนถึงสถานที่แห่งหนึ่ง เต็มไปด้วยเขาวกวน ร่มรื่น และมีอาศรมสองหลัง พร้อมบริขารที่วิษณุกรรมมาเนรมิตไว้ตามบัญชาของท้าวสักกะ และมีสารถึงพระองค์ด้วยแจ้งมอบบริขารและบรรณศาลาให้เป็นที่บำเพ็ญบารมีของพระองค์ ทั้งสี่พระองค์จึงได้อธิษฐานบวชเป็นดาบสดาบสินี ณ สถานที่แห่งนั้นสืบมา
..........กล่าวถึงชูชกพรามณ์เฒ่าเมืองกลิงคราช ขอจนรวยเอาเงินไปฝากเพื่อนไว้ เพื่อนเอาเงินไปใช้
จ่าย เมื่อชูชกมาขอเงินไปทำมาค้าขาย ไม่มีเงินให้ เลยยก น.ส.อมิตตา ให้ชูชกไปเป็นภรรยาสาว
นางเป็นคนดีทำหน้าที่ภรรยาได้ดีจนชาวบ้านเดือดร้อน ต่างอยากให้ภรรยาเอาอย่างนางอมิตตา พากัน
ประท้วงด่าว่า ขว้างปาสิ่งของใส่ จนนางอมิตดาไม่กล้าออกจากบ้าน ขอให้ชูชกหาเด็กรับใช้มาให้เป็นเหตุให้ชูชกตามหาใครจะบริจาคทานลูกให้คนอื่นได้บ้าง มีคนบอกว่าในโลกนี้มีคนเดียวที่อาจให้ทานลูกได้คือพระเวสสันดร ชูกชกตามหาพระเวสสันดร ทราบข่าวหนีไปบวชอยู่เขาคีรีวงกตจึงตามเข้าป่าไปพบพรานเจตบุตร ถูกหมาล่าเนื้อไล่กัดปีนไปอยู่บนต้นไม้ลงไม่ได้ พรานมาเห็นถามจะไปไหนชูชกบอกจะไปหาพระเวสสันดร พรานจะยิ่งทิ้งเพราะคิดว่าจะไปรบกวนพระเวสสันดร ชูชกล้วงหาอาวุธปกป้องลูกธนูเผื่อพรานจะยิ่ง เจอกล่องน้ำพริกที่เมียทำให้เป็นเสบียงเดินทาง นึกได้เลยบอกว่าฉันนำ
สารพระเจ้าสัญชัยมา ในกล่องนี่จะไปมอบให้พระเวสสันดร พรานก็อานหนังสือไม่ออกและไม่รู้ด้วยว่าสารเป็นอย่างไรเลยหลงเชื่อ เลยต้อนรับอย่างดี ให้พักด้วยคืนหนึ่งแล้วบอกทางไปเขาคีรีวงกฏให้.

.......ชูชกเดินทางต่อหลายวันมาพบอาศรมอจุตฤาษี ใช้วิธีเดิมหลอกจนพระฤาษีหลงเชื่อ ให้ที่พักแรม
และบอกทางไปยังอาศรมพระเวสสันดร ทำให้การไปขอบุตรธิดาพระเวสสันดรสำเร็จด้วยดีเพราะความ
ฉลาดของชูชก รอจังหวะพระนางมัทรีออกเดินป่าหาเสบียงอาหารแกก็ดอดเข้าไปขอและได้รับพระราช
ทานสมใจ กัณนหาชาลีได้ยินคำสนทนาระหว่างบิดากับชูชก พากันหลบไปซ่อนในสระบัวครั้นได้ฟังคำ
อธิบายของบิดาเรื่องการบำเพ็ญบารมีก็จำยอมให้ชูชกพากลับออกจากป่าไป คล้อยหลังพระนางมัทรี
กลับมาไม่พบลูกและทราบว่าถูกให้ทานแก่ชูชกไป พระนางเสียใจแทบหัวใจแหลกสลายจนสลบแล้ว
สลบอีก ที่สุดก็จำยอมทำอะไรไม่ได้  เพราะเหตุนี้ทำให้พระอินทร์วิตกพระเวสสันดรจะพระราชทาน
นางมัทรีแก่คนที่มาขอ จะทำให้การอยู่บำเพญพรตมีปัญหา เลยจำแลงตนเป็นพราหมณ์มาขอนางมัทรี
พระเวสสันดรก็ชี้แจงให้นางทราบถึงความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ของทานบารมี จะสำเร็จได้ก็อาศัยน้ำใจ
ของพระนาง ที่สุดพระนางก็ยอมไปกับพราหมณ์ปลอม ครูหนึ่งก็นำนางมาคืน สั่งห้ามมิให้ประทานนาง
แก่ใครอีก พระเวสสันดรรับคำ ในป่าจึงเหลือสองพระองค์ดูแลกันสืบมา
...........กล่าวถึงชูกพากัณหาชาลีเดินทางกลับบ้าน ดิ้นหลุดหนีกลบมาหาบิดาครั้งหนึ่ง ชูกชกตามมา
พาออกไปอีก คราวนี้มัดมือแน่นหนา ลากจูงแบบทาส ไม่พอใจก็เฆี่ยนตี เทวาอารักษ์สงสารบางตน
แปลงเป็นมารดาหาของมาให้กิน แถมยังบันดาลให้หลงทางไปยังเมืองสีพี ชูกชกถูกจับ แต่กัณหาชาลี
ก็เป็นพยานว่า พระบิดาพระราชทานให้เป็นทาสชูชกจริง พระเจ้าสญชัยเลยเจรจาขอไถ่ตัวหลานทั้งสอง
อยากได้อะไรก็ขนมาให้ ชูกชกตื่นเต้นกับสมบัติมากมายมหาศาล ข้าทาสชายหญิงบำรุงบำเรอด้วยข้าว
ปลาอาหารชั้นเยี่ยม แกกินไม่บันยะบันยัง จนเกิดอาการท้องเสีย รักษาไม่ได้ เสียชีวิตไป ไม่มีคนขน
สมบัติไปให้แก พระเจ้าสัญชัยให้ขนไปเก็บตามเดิม และจัดการศพให้ชูชกตามสมควร  และได้จัดพิธี
สมโภชหลาน แล้วพาเดินขบวนทัพกลับไปเยี่ยมพระบิดาและมารดา
..........ผ่านมาเป็นเดือนก็มาถึงอาศรมที่เขาคีรีวงกต หกพระองค์ทั้งปิติที่ได้พบกันทั้งโทมมนัสต่อชตา
กรรมตกทุกข์ได้ยาก ต่างร่ำไห้จนหัวใจสลาย สิ้นสติสมปฤดี ทั้งหกพระองค์ เสนาอามาตย์ พลทัพช้าง
ม้า ต่างก็ตกอยู่ในสภาพไม่ต่างกัน สลบไสลทั้งป่าเขาคีรีวงกต เดือดร้อนถึงองค์อมรินทราธิราชบันดาล
ให้ฝนโบกขรณี ฝนที่มีเม็ดสีแดง ใครถูกฝนนี้อยากให้เปียกชุ่มก็เปียก ไม่อยากให้เปียกก็แค่เย็นฉ่ำ
ทั้งกาย ผลทำให้ทุกคนฟื้นได้สติกลับมา ได้พูดสนทนากันได้เป็นปกติ ทั้งสองฝ่ายต่างขอโทษและยก
โทษให้กันและกัน พระเวสสันดรยอมกลับไปครองเมืองสีพี ขบวนอัญเชิญพระเวสสันดร ก็ออกจาก
เขาคีรีวงกฏ กลับถึงเมืองสีพี มีพิธีราชาภิเษกและเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ สองพระองค์ครองกรุง
สีพีราช ด้วยความสงบสุขร่มเย็นสืบมาช้านาน
..........ข้อสังเกตการจัดงานบุญพระเวสส
...........1. เดือนสี่เป็นเดือนที่ข้าวขึ้นยุ้งฉางเรียบร้อยแล้ว เป็นช่วงพักผ่อนจากการทำไร่ทำนา เดือนห้า
ก็จะเริ่มงานทำไร่ทำนาอีกแล้ว เหมาที่จะทำกิจกรรมสนุกสนาน เป็นบุญกุศลด้วย พระเวสสันดรชาดก
เป็นเรื่องราวแสดงให้เห็นการบำเพ็ญทานบารมีตั้งแต่ทานธรรมดา ไปจนถึงทานที่ทำได้ยากยิ่ง เลือก
ชาดกเรื่องนี้มาให้ชาวบ้านฟังในเดือนสี่ ถือว่าเหมาะสมย่างยิ่ง ทำกันมาช้านานจนกลายเป็นประเพณี
เดือนสี่ทำบุญมหาชาติ ฟังเทศน์เรื่องพระเวสสันดร
..........2. เวสสันดรชาดก ต้นฉบับภาษาบาลี ร้อยกรองไว้ 13 กัณฑ์ รวม1000 พระคาถา เวลาแต่ง
เครื่องสักการะบูชานิยมแต่งให้มีจำนวนเท่าพระคาถา เช่น ธูป เทียน ดอกไม้ ข้าวเหนียวปั้นเป็นก้อน
ฯลฯ จะจัดอย่างละ 1000 เสมอ เช่นเอาข้าวมาบูชา แห่มาจากบ้านที่เขาเรียก แห่ข้าวพันก้อน
..........3. ศาลาบริเวณพระเทศน์และชาวบ้านมาฟังเทศน์ นิยมแต่งให้เป็นสภาพคล้ายป่า เพราะเรื่อง
ที่ฟังเกี่ยวข้องกันการเดินทางไปในป่า บำเพ็ญพรตในป่าเขาคีรีวงกต จะเห็นชาวบ้านนำต้นกล้วย อ้อย
มะพร้าวไปตกแต่งศาลา ทำดอกไม้ สิงสาราสัตว์ สระโบกขรณี เอามาจากเนื้อหาที่บรรยายในเนื้อเรื่อง
นั่นเอง
..........4. มีการเชิญอุปคุต มาไว้ที่ศาลในบริเวณวัด บนศาลวางบริขารที่พระใช้ เช่นร่ม รองเท้า กาน้ำ
ผ้าไตร เดี๋ยวนี้มีรูปปั้นจำหน่าย เห็นหลายแห่งมีรูปปั้นในศาลด้วย ก่อนนั้นจะใช้ก็อนหินแทน เอาไปจม
ไว้ที่ท่าน้ำ จุดที่จะไปอัญเชิญ ถึงเวลาก็ไปกันจำนวนมาก มีคนกล่าวคำอัญเชิญ เสร็จก็ลงไปงมก้อนหิน
สมมติเป็นอุปปคุต แห่มาที่วัดแล้วเอาไปไว้ที่ศาลอุปคุตต์ มีเรื่องเล่าว่าท่านเป็นพระอรัหันต์ที่มีสมาบัติ
สูง มารทั้งหลายหวาดกลัว เชิญท่านมาเรื่องไม่ดีงามก็จะน้อยลงเพราะมารไม่กล้ารบกวน
..........5. นิยมนิมนต์พระจากวัดใกล้เคียงมาช่วยเทศน์มหาชาติ พระมาโยมก็จะติดตามมา 4-5 คน
จะเห็นการรับรอบแขกพระ แขกที่ติดตามพระ ทำให้เกิดสัมพันธ์ดีงามต่อกัน เวลาบ้านโน้นจัดงาน
เขาเชิญมา ก็จะไปช้วยงานทั้งพระและโยมเช่นกัน
.........6..เนื้อหาใบลานสำนวนอีสาน คล้ายจะเป็นคำกาพย์ เคยฟังพระท่านเทศน์ทำนองต่าง ๆ
เพราะมาก โดยเฉพาะทำนองลมพัดพร้าว โยมชอบฟังมาก
.........7. เวสสันดรชาดก เป็นเรื่องที่แสดงถึงทานบารมี ชาวบ้านนิยมแต่งข้าวของที่จะใช้ในการทำทาน
 ข้าวเกรียบ ขนมจีน ข้าวต้มมัด จัดทำกันทุกครอบครัว บนศาลาวันฟังเทศน์จะมีขอพวกนี้เต็มไปหมด
พระฉันไม่หมดก็ยกให้โยมที่มาฟังเทศน์ช่วย เลยสนุกไม่ต้องกลับไปทานข้าวที่บ้านยาก
.........8. นิยมจัดทำกัณฑ์เทศน์ ไปถวายพระที่กำลังเทศน์บนธัมมาสน์ เรียกกัณฑ์หลอน พวก
หนุ่มสาวนิยมจัดทำ ได้ชวนกันแห่ไปวัด ถวายทาน
..........ปีนี้เขียนยาวหน่อย เพราะอยากเล่าให้ลูกหลานรุ่นหลังได้รู้ว่าสมัยก่อนเราทำอะไรกัน ทุกอย่าง
มีสาระสำคัญของมันอยู่

วันศุกร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2561

ไปโรงพยาบาลประสาท



.......19 มกราคม 2561 คุณยายจะไปพบหมอที่ สถาบันประสาท วิทยา กรุงเทพ ฯเพราะมีอาการปวดที่ปลายประสาท ก็ถามว่าทำไมอยู่ดี ๆ ก็จะไปโรงพยาบาลประสาทไม่ได้บ้าซักหน่อย เลยโดนซะชุดใหญ่ บ้ากับโรคประสาทมันไม่เกี่ยวกันนะ ทุกคนต่างก็มีประสาทกันทั้งนั้น ถ้าไม่มีประสาทมันก็ไม่มีความรู้สึก เข้าใจไหม....ประสาทน่ะอายุมากขึ้นมันก็เสื่อมได้ เจ็บปวดได้ หมอที่เชียวชาญทางโรคประสาทเขาจะแนะนำและให้การรักษาได้ อืมหายง่วงไปเลย ก็ขอโทษยายแล้วกัน จะไปเป็นเพื่อนอยู่แล้วน่าก็ตกลงคุยเรื่องเดินทางดีกว่า
......ไปกรุงเทพฯ ไม่เอารถไปนะ เพราะรู้สึกเบื่อ ๆ ขับรถเข้าไปกรุงเทพฯ โดยเฉพาะแถวรามานี่ ไปสาย ๆหาที่จอดรถยากมาก ยายเห็นด้วยตกลงไปรถตู้กันตื่นตีสี่ พร้อมก็ตีห้า ลูกสาวเอารถคันใหญ่ไปส่งที่สถานีขนส่งฉะเชิงเทรา คิวรถตู้ที่จะไปกันจอดที่นั่น ไปถึงมีรถออกพอดี เรียกให้รอเขาบอกรถเต็มให้ไปคิวถัดมา ครู่เดียวรถคิวถัดมาก็วิ่งมาจอดและให้ผู้โดยสารขึ้น รอไม่ถึงสิบนาที เต็มทุกที่นั่ง ก็ออกปลายทางคือ มีนบุรี เคยไปสองสาม ครั้ง ก็เลยหลับเพราะตื่นเช้าเกินไป ปล่อยให้รถพาไป มาตื่นก็เข้า เขตมีนบุรีแล้ว ถนนรามคำแหง เลี้ยวขวาไปมีนบุรี ไม่นานก็จอดให้ลง บอกหมดระยะแล้วลงได้ อ้อค่าโดยสารช่วงนี้สี่สิบบาท
.......เดินต่อไม่ถึง 50 เมตรก็เป็นสถานีรถตู้มีนบุรี ไปอนุสาวรีย์ชัย กับสวนจตุจักร รถจอดอยู่คนละฟากทางเข้าสถานี ขวามือไปที่จตุจักร ซ้ายมือไปอนุสาวรีย์ ผู้โดยสารไปอนุสาวรีย์เข้าแถวน่ารักดี พอรถมาจอดก็เดินขึ้นรถ 12 ที่นั่ง เต็มก็ออก รอคิวถัดไปไม่ถึงสิบนาทีมาแล้ว ไม่มีกระเป๋าเก็บค่าโดยสารนะ เขาใช้กล่องอัตโนมัติแทน เป็นกล่องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ส่งให้ต่อ ๆ กัน คนละสามสิบบาท ครบแล้วคืนมาให้คนขับ ครบ360 ก็ใช้ได้ เคยชม ญี่ปุ่นหยอดตู้เก็บเงินบนรถเมล์ เจอของไทยเจ๋งกว่า ช่วยให้คนมีวินัยดีมาก ๆ เลย ช่วงจากมีนบุรีไปอนุสาวรีย์ ไม่รู้วิ่งถนนอะไรบ้าง จำไม่ได้ ไม่เหมือนเราขับเอง ก็เลิกสนใจ เปิดโทรศัพท์มือถือดูเนวิเกเตอร์แทน แรกบอกประมาณ 81 กิโลเมตร ทิ้งช่วงเวลาจากหกโมงครึ่งถึงเจ็ดโมงครึ่ง ดูใหม่เหลือ 30 กิโลเมตร สังเกตรถติดตลอดมาถึงอนุสาวรีย์ก็สองโมงเศษแล้ว
.......เดินออกจากท่ารถก็เห็นอนุสาวรีย์ชัย ฯ จะไปรถแท็กซี่เรียกยากโบกหลายคัน มันไม่จอดรับ แหมแต่งตัวสวยยังกะคุณนายทำไมไม่จอดรับนะ...ก็เลยบอก ว่าอย่าไปเรียกรถที่เขาไม่ได้เปิดไฟป้าย"ว่าง" เพราะแสดงว่ามีผู้โดยสารแล้ว ไม่นานรถมีไฟว่าง วิ่งมาโบกทีเดียวได้เลย คนขับอายุห้าสิบเศษยายสัมภาษณ์เอง เราฟังก็รู้สำเนียงบ้านเฮา ก็ไม่อยากคุยด้วยกลัวเขาจะรู้ว่าบ้านเดียวกัน เดี๋ยวจะเรื่องยาว ไปไม่ถึง 500 เมตรเองก็ถึงทางเข้าสถาบันแล้ว ให้แกเลือกจอดตามสบาย จอดไหนเราก็ลงที่นั่นแหละ47 บาท ค่าแท็กซี่ เราลงตรงหน้าโรงอาหารพอดี กำลังหิว ยายอุทานดีใจนึกว่าอะไร ที่แท้วันนี้มีตลาดนัด พ่อค้าแม่ค้าขายของตรึม ลิ่วจะไปตรวจตลาด แหมยายสองโมงเศษหิวมากแล้วกินก่อนน่ายายค่อยมาเดินตรวจทีหลัง
.......ขึ้นไปบนอาคารโรงอาหาร คุ้นเคยดีมาทานหลายครั้งแล้ว คุณจ้อให้ตั๋วคนละ100 ไปแลกเกาเหลาเลือดหมูเจ้าเก่า ชุดละ 40 บาท นั่งก่อนยาย ครู่หนึ่งยายเอามาอีกชุด สงสัยนึกไม่ออกจะกินอะไร เลยมาลงเกาเหลาเหมือนกัน น้ำเปล่าอีกสองขวด ครบแล้วอาหารเช้า ความจริงโรงอาหารเขามีสิบกว่าร้าน อาหารตามสั่ง ก๋วยเตี๋ยว ข้าวราดแกง ร้านอาหารอีกสาน(ส้มตำ แกงอ่อม ลาบ ไก่ย่าง) ยังเช้าอยู่เลยเว้นไว้ก่อน เสร็จทานอาหารก็เกือบสามโมง เพื่อนยาย คุณ จ้อ เดินมาหาบอกว่าเตรียมการรับการตรวจไว้ให้ได้คิวที่สอง โหสุดยอด แต่ไม่แปลกใจนะ เพราะเขาเคยเป็นพยาบาลทำงานอยู่ที่นี่ แถมยังเป็นคนใจดีชอบบริการเพื่อนฝูง ขอบคุณมากจริง ๆ
.......ขึ้นไปตึกตรวจคนไข้ ก็เหมือนโรงพยาบาลทั่วๆไป ให้วัดน้ำหนัก ความดัน ปรากฏว่าความดันยายสูงไปหน่อย ต้องรอวัดอีกรอบ จึงค่อยได้เข้าพบหมอ เห็นนานเลยลงไปเข้าห้องน้ำ เดินเล่นไปมามีโทรศัพท์บอกว่ายายกำลัง รอรับยาหน้าห้อง 13 ก็เลยรีบขึ้นไปชั้นสอง ครู่เดียวยายก็ได้ยาเมื่อสี่โมงเศษ มีเวลาตรวจการตลาดนัดเต็มที่ ก็เชิญกันตามสบาย ชอบชอปทั้งคู่หอบหิ้วกันเต็มมือ ออกไปรอแทกซี่หน้า รามา นานมากกว่าจะเรียกได้ เพราะไปแค่อนุสาวรีย์ ใกล้เที่ยงด้วย คนเรียกเยอะด้วย คนขับบอกว่าช่วงเวลานี้ผู้โดยสารเยอะ ใกล้ ๆ ไม่อยากรับกัน ค่าแทกซี่เท่าขามา 47 บาท พวกเราไปลงรถหน้าศูนย์การค้าเซ็นจูรี
........ช่วงพักเที่ยงคนเยอะร้านอาหารอร่อย ไม่แพง นักเรียนนักศึกษาชอบมาทานกันเขาบอก ท่าจะจริง คุณจ้อนำทางไปร้านก๋วยเตี๋ยว คนแน่นมากคงจะอร่อย คนรับแขกหน้าตาคุ้น ๆ สำเนียงบ้านเฮา คุยไปคุยมาจำได้ ภรรยาเขาเป็นกลุ่มเพื่อนยายนักเรียนพยาบาล พปก.จันทบุรีนั่นเอง เมนูก๋วยเตียวเรือของแท้สูตรดั้งเดิม สมัยไปเดินซื้อหนังสือริมคลองหลอด ใกล้ศาลพระแม่ธรณี จะมีร้านก๋วยเตี๋ยวชามละ 5 บาท อร่อยมาก ไปทีไรซัดสองชามประจำ หลังจากนั้นปิดตลาดนัดสนามหลวง ก๋วยเตียวเรือก็หายไปด้วย มาโผล่ที่อนุสาวรีย์ ได้ลองอีก รสเดียวกัน วันนี้ได้กินก่วยเตี๋ยวเรือรสแบบนั้นอีกก็อดคิดถึงความหลังไม่ได้ น่าเสียดายกินอิ่ม ไม่เก็บตังค์ซะนี่ ก็ได้แต่ขอบพระคุณมาก ๆครับ ไปอีกจะแอบไปอุดหนุน เมนูราคา 16 บาทชามเล็ก 30 ชามใหญ่
........อิ่มอร่อยก็ออกมาเจอแผงขายเสื้อผ้าราคาไม่แพง120 150 200 250 ป้ายที่ปิดไว้สองคนเดินตรวจใหญ่เลย ไปเจอกางเกงยักษ์ เอว 48-50 นิ้ว โคนขา 40 เซ็นต์ ยายเลือกมาหลายตัว คงเอาไปฝากลูกหลานที่เขาใช้ขนาดพิเศษพวกนี้ได้ของชอบแล้วก็ออกมา คุณจ้อนำมาส่งถึงท่ารถตู้ไปมีนบุรี ขึ้นรถแล้วก็ลากลับ ขอบพระคุณมากนะครับมากรุงเทพ ฯทีไรก็รบกวนทุกที ไปทรวงอกก็เจอ มาทางสถานบันประสาทก็เจอน้ำใจไมตรีเหลือล้นจริง ๆ
.......ออกจากอนุสาวรีย์ชัย ฯ รถวิ่งทางเดิม อ้อ..ถนนสาย 304 มาลงมีนบุรี ถามหาท่ารถไปฉะเชิงเทรา เข้าชี้ไปแถวคนยืนข้างถนน เข้าใจแล้วตอนเช้าก็เห็นที่ท่ารถตู้ที่จะไปอนุสาวรีย์ อยู่ฟากทางฝั่งโน้น ขากลับเขาให้ผู้โดยสารยืนรอที่ ฟุตบาท เข้าแถวกันนึกว่าซื้อของกิน กลายเป็นผู้โดยสารประมาณ 15 คน ถามหารถไปฉะเชิงเทรา เขาบอกให้ไปต่อท้ายแถวได้เลย ถามพ่อหนุ่มที่ยืนแถวอยู่ เขาบอกจะไปแปดริ้วเออ ใช่แน่ ไม่นานก็มีนายท่าเดินมานับ 12 คน บอกให้เดินตามเขาไป เห็นพาเลี้ยวขวาลับหายไป สักห้านาที นายท่ามานับอีก 12 คน มีคนเพิ่มแต่เมื่อไรไม่รู้ พาไปส่งรถ... เราถึงขนส่งฉะเชิงเทรา ห้าโมงเศษ ต่อสามล้อตุ๊ก ๆ ถึงบ้านเกือบหกโมง เหนื่อยเอาการ ยายขอหลับ แต่เราไม่เคยหลับหัวค่ำ เลยมานั่งเขียนบันทึกจนเมื่อยมือ จบแล้วครับ

วันจันทร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2561

ระลึกถึงพระคุณคร


......เรามี พระราชบัญญัติครู พุทธศักราช 2488 เป็น พรบ.ครูฉบับแรก ซึ่งได้มีการประกาศใน
ราชกิจจานุเบกษาวันที่  16 มกราคม 2488 สมัยจอมพล ป.พิบูลย์สงครามเป็นนายกรัฐมนตรี
เคยปราศัยต่อสภาครูตอนว่าว่าควรมีวันสำคัญสำหรับครูให้คนทั่วไปได้ระลึกถึงพระคุณของครู
สภาครูเห็นด้วยและได้เลือกวันประกาศใช้ ในราชกิจจานุเบกษา คือ  16  มกราคม   2488
 และเลือก 16 มกราคม เป็นวันครู กระผมจำได้ดี เพราะผมเกิดก่อน 1 ปี 2487 ปีถัดมา ก็มี
 พรบ.ครู  พอมาถึง 16 มกราคม ปี 2561 นี้อยากเขียนถึงครูบ้าง
......คุณครูคู่แรกของกระผมคือพ่อและแม่ แม่สอนหนักมากตั้งแต่แรกเกิดเลย สอนการกินการ
ดื่ม ขับถ่ายสอนการเดินไปมา สอนพูดจา กิริยามรรยาท การอยู่ร่วมกันในสังคมครอบครัว เพื่อน
บ้าน ญาติพี่น้อง สอนมากจริง ๆ กระทั่งมีครอบครัวก็ยังไม่เลิกสอน ส่วนพ่อจะสอนหนักไปทาง
การทำการงานทำสวน ทำไร่ ทำนาสอนการทำมาหากิน สอนวิชาช่างฝีมือ ยังจำภาพสมัยวิ่งตาม
พ่อไปสวนผัก แย่งจอบกับพวกพี่ ๆ ขุดแปลงผักไปไร่ฝ้าย แย่งกันเก็บหญ้าที่คราดมันหลุดจาก
ก้อนดินไถก่อนจะหยอดเมล็ดฝ้าย ข้าวโพด พ่อสอนด้วยการให้ลงลุยในแปลงงาน ไม่ได้ห้าม แต่
จะดุเอาเมื่อเล่นปาก้อนดินใส่กัน ก็มันซนนี่ครับ สรุปว่าเราได้ ความรู้จากครูคู่นี้มากมาย จะนำ
มาบรรยายก็คงไม่รู้จบ
......ครูกลุ่มถัดมาเป็นพี่สาวพี่ชาย นายบัวทอง ศรีประจง เกิดปีมะโรง ผมปีมะวอก พี่ทุม หอม
จันทร์ ปีมะขาล พี่ชายแกอวดปีมะโรง เทวดางูใหญ่เชียวนะ เราก็อยากเกิดปีมะบ้าง เขาเลย
บอกเอาใจว่าปีมะของแกน่ะมันมะวอก พี่สาวก็เป็นมะขาลไป สองคนนี่เขาเรียนเก่งทั้งคู่ ลายมือ
สวย ผม 5 ขวบ ใกล้เกณฑ์บังคับเข้าเรียน(6ปี) เขาบอกควรฝึกอ่านเขียนไว้ก่อน ไปเรียนจะได้
ทันเพื่อน เขามีกระดานชนวน ดินสอปูน ดินสอหิน ให้ฝึกเขียนและอ่าน สนใจมากที่ได้เขียน
กระดาน เขียนทีละตัวแล้วก็อ่านชื่อมันให้เขาฟัง ไปๆมาๆ จำได้เขียนได้ ตอนอายุ 5 ขวบเอง
........คุณครูประถม ชื่อ บุญชู เป็นเพื่อนพ่อ มาเยี่ยมบ้านบ่อย เพราะที่บ้านขายเหล้า วันหนึ่งมา
เจอพวกเราสอนอ่านเขียนกันก็ชอบใจ ให้ลองอ่านเขียนให้ดู แกชอบใจบอกว่ามันอ่านเขียนได้ดี
กว่าพวกเกณฑ์ไปเรียนซะอีก เอาไปฝากเรียนได้แล้ว นั่นเองสาเหตุที่เข้าเรียนก่อนเกณฑ์ 1 ปี
ครูให้เป็นผู้นำเพื่อนอ่านเขียน กลายเป็นฮีโร่ของห้องไปเลย ผลการเรียนดีมากแต่ปีแรกเรื่อยมา
จนจบ ป. 4 ครูทุกคนชอบเพราะสอนง่าย ได้ที่ 1 ยืนตลอดทุกครั้งที่มีการสอบ อ้อวิชาที่คะแนน
แย่มากคือวาดเขียน คะแนนไม่เคยเกินครึ่ง จาก 10 คะแนน
........ครูมัธยมต้น มีครูประจำชั้น 1 คน ชื่อบุญล้อม ดุมาก เจ้าระเบียบ รักความสะอาด มีครูสอน
รายวิชาแปลกดี ตอนเรียนประถมครูประจำชั้นแกสอนได้ทุกวิชา ครูบุญถมสอนคณิตศาสตร์ ครู
เกษมสอนอังกฤษ ครูใหญ่สอนสังคม ครูเพ็ญสอนสุขศึกษา โรงเรียนราษฏร์ อยู่ที่อำเภอห่างบ้าน
7 กม. สนุกที่ได้ไปเรียน แต่ไม่สนใจเรียนนัก เลยไม่ค่อยคุ้นเคยกับครู คุ้นเคยกับเพื่อน ๆมาก
กว่า แต่ผลการเรียนยังดีอยู่นะ ที่ 1 ทำได้ประจำ แสดงว่าครูสอนดีมาก เอาแต่เล่นยังสอบได้
คะแนนสูง ๆ ชอบเล่นจริง ๆ นะ เดินไปเรียน มีเพื่อนอีกสอง วันหยุดทำหมากจิ้งล้อกัน เอาท่อน
ไม้มาเลื่อยทำเป็นล้อรถ เจาะรูใส่เพลาแกนกลาง ไม้ไผ่ผ่าคีบเป็นตะเกียบ ด้ามยาวพาดบ่า ไสให้
มันวิ่งคนก็วิ่งตาม กระเป๋ามัดห้อยด้ามไว้ วิ่งห้อจากบ้านไปเรียน 7 กม. สนุก เหนื่อยไหม ไม่ทัน
เหนื่อยหรอก ผ่านป่า ดงผักหวาน ดงจ๊กจั่น มดแดง อีลอก ดอกกะเจียว สนุกจนแทบจะไปเรียน
ไม่ทัน แต่ขากลับนี่มืดค่ำกว่าจะถึงบ้าน โดนเอ็ดทุกวัน
........ครูมัธยมปลาย ได้เรียนที่เกษตรชัยภูมิ 3 ปี ปี 2501-2503 จบ มีนาคม 2504 เป็นนักเรียน
ประจำ ชายล้วน ที่พักฟรี อาหารสามมื้อฟรี เห็นว่าเพื่อให้คนไปเรียน จบแล้วจะได้ไปสอบบรรจุเป็น
เกษตรตำบล ขาดมาก ครูจะเป็นทั้งครูสอนวิชาในห้องเรียน และเป็นครูฝึกปฏิบัติงานภาคสนาม
นักเรียนต้องทำงานภาคสนามเช้า เย็น เว้นวันอาทิตย์ แต่ยังมีพวกอยู่เวรทำงานประเภทเลี้ยงเป็ด
ไก่ หมู วัว ควายและปลา ครูประจวบสอนอังกฤษและคุมหอพัก ครูใหม่พักกับนักเรียน ครูอากาศ
สอนคณิตศาสตร์ อนุญาติให้ส่งสมุดแบบฝึกหัด ล่วงหน้าได้เป็นเทอม ปกติมี แบบฝึกละ 10-12
ข้อ ครูให้เลือกทำ 5 ข้อ แต่เราทำหมดทุกข้อ ครูเรียกไปพบเลยบอกครูชอบแก้โจทย์คณิตศาสตร์
มีเล่มหนึ่งทำเสร็จล่วงหน้าไปก่อนครูสอน ครูให้เอาไปส่งจะดูให้  ครูบุญล้อมสอนพละ คนนี้แหละ
จับเราไปเข้าค่ายฝึกซ้อมและให้เล่นกีฬากรีฑามากมายหลายประเภท ที่ดังมากก็ฟุตบอล กัปตัน
รุ่นกลาง ผู้ช่วยกัปตันรุ่นใหญ่ ครูสอนเกษตรมากมายหลายท่าน จดจำได้ดีครับ จับจอบฟันดิน
เพื่อปลูกปอแก้ว ปลูกข้าวโพด ท่ามกลางแดดจ้า ลงลุยน้ำร่องสวนลอกผักตบชวา ได้ปลาเต็มถัง
เด็ดใบกระถินไปตากแห้งไก่มันชอบ กิจกรรมเยอะแยะจริง ๆ
........ครูชาวบ้านได้เรียนรู้วิชาชีพต่าง ๆมากมาย ทำกี่กระตุกทำเครื่องจักสาน ถักทอทำแห สวิง
สะดุ้งหรือยกยอ ตาข่ายดักนก สานหวด มวย กระติ๊บ ตะกร้า ครุ กระด้ง ลอบ ไซ ทำไถ คราด ครู
กลุ่มนี้มีทั้งญาติพี่น้องในครอบครัว ในตระกูล และเพื่อนบ้าน สนใจช่างไหนก็ไปหาขอให้แนะนำ
ส่วนมากตกลงยินดีสอนให้ เว้นแต่ไม่ว่าง คนชอบเรียนอย่างกระผมมีโอกาสไม่พลาดหรอก
.........ครูพระ ผมไปบวชอยู่ 7 พรรษา ได้รับการสอน แนะนำ มากมายจากอุปัชฌาย์อาจารย์ จาก
เพื่อนที่มีความรู้ประสบการณ์มากกว่าเรา ไปอยู่ไหนก็มีครูอาจารย์มากมาย ได้เรียนนักธรรมตรี
โท เอก ได้เรียนบาลี ประโยค 1-2 -3 และ 4 ได้เรียนเทศน์หกกษัตริย์  เทศน์ปุจฉาวิสัชนา มีครูที่
เคารพนับถือไม่น้อยเช่นกัน
.........ครูสอนงาน เอาเฉพาะงานราชการแล้วกัน ได้เรียนการปฏิบัติหน้าที่ครูในโรงเรียน เป็นครู
ผู้สอนหน้าที่ครูพิเศษที่จำเป็น เรียนทำงานธุรการ เรียนทำงานห้องสมุด เรียนทำงานแนะแนว เรียน
ทำงานวัดผลประเมินผล เรียนทำงานนิเทศน์ เรียนทำงานวิจัย ทุกงานที่เรียนทำได้ด้วย สอนคนอื่น
ได้ด้วย แบบว่าคนมีครูจริง ๆ
.........ครูออนไลน์ เกษียณแล้วแต่กระผมหยุดเรียนไม่ได้ ชอบศึกษาหาความรู้ มีข้อสงสัยใคร่รู้เรื่อง
ใด ๆถามครูออนไลน์ได้ตลอดเวลา พระไตรปิฏกออนไลน์ก็มี พจนานกรม ปทานุกรม ออนไลน์มี
ให้เราใช้ ก็เป็นเหมือนครูแหละครับ ครูจริง ๆเรายังไม่กล้าถามบ่อยแบบนี้ ตอนนี้พึ่งครูออนไลน์
มากครับ
.........เขียนถึงครูยาวแล้ว แต่ไม่ครบหรอก พวกครูพักลักจำยังมีอักมาก อย่างไรก็ดี โอกาสวันครู
เวียนมาถึง ได้แต่ตั้งใจขอศีลขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยอำนวยพรให้ครู มีความสุขความเจริญ ก้าวหน้า
ในชีวิตราชการ  เกษียณแล้วก็ขอให้เป็นครูที่ดีของสังคม ชุมชนตลอดไป แม้ล่วงลับไปแล้วก็ขอ
ให้ครูมีภพภูมิที่ดีงาม สมเกียรติของครูผู้สร้างคนนับเป็นบุญกุศลที่มากด้วยคุณค่ามหาศาล สาธุ





วันเสาร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2561

สังสาระ-ภพภูมิ




...........มีคนสนใจถามเรื่องภพภูมิตามคติชาวพุทธที่เชื่อกันว่ามีอยู่ มันมีอะไรบ้าง ถามยังกะเราไปท่องเที่ยวมา ถึงจะเคยไป ก็จำไม่ได้หรอกว่าไปไหนมาบ้าง พอบอกได้ชัด ๆ มีแค่ สองภพเองคือ มนุษย์ กับ เดรัจฉาน นอกนั้นไม่รู้จริง ๆ อยากรู้ก็จะลองหาความรู้จากตำรับ ตำรา เช่นตำนานพระสุเมรุจักรวาลของศาสนาพราหมณ์ แม้ชาวพุทธก็มีความเชื่อคล้าย ๆกัน พอดีไปพบรูปเขาพระสุเมรุ ที่เขียนตามความเชื่อเรื่องจักรวาล เห็นว่าช่วยให้เข้าใจเรื่องภพภูมิ ต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น จึงของคัดลอกมาแสดงไว้ด้วย สำหรับภพภูมิต่าง ๆ จากสูงสุด ไปหาต่ำสุด ได้แก่......
อรูปพรหม 4 ชั้นชื่ออะไรบ้าง (สำหรับผู้มีคุณธรรมระดับ อรูปฌาน)
ชั้นที่ 20 เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ
ชั้นที่ 19 อากิญจัญญายตนภูมิ
ชั้นที่ 18 วิญญาณัญจายตนภูมิ
ชั้นที่ 17 อากาสานัญจายตนภูมิ
รูปพรหม 16 ชั้นชื่ออะไรบ้าง
ชั้นที่ 16 อกนิฏฐสุทธาวาสภูมิ
ชั้นที่ 15 สุทัสสีสุทธาวาสภูมิ
ชั้นที่ 14 สุทัสสาสุทธาวาสภูมิ
ชั้นที่ 13 อตัปปาสุทธาวาสภูมิ
ชั้นที่ 12 อวิหาสุทธาวาสภูมิ
ชั้นที่ 11 อสัญญีสัตตาภูมิ
ชั้นที่ 10 เวหัปผลาภูมิ
ชั้นที่ 9 สุภกิณหาภูมิ
ชั้นที่ 8 อัปปมาณสุภาภูมิ
ชั้นที่ 7 ปริตตสุภาภูมิ
ชั้นที่ 6 อาภัสราภูมิ
ชั้นที่ 5 อัปปมาณาภาภูมิ
ชั้นที่ 4 ปริตรตาภาภูมิ
ชั้นที่ 3 มหาพรหมาภูมิ
ชั้นที่ 2 พรหมปุโรหิตาภูมิ
ชั้นที่ 1 พรหมปาริสัชชาภูมิ
ฉกามาพจรสวรรค์ 6 ชั้น
...6..ปรนิมมิตตวสวตีภูมิ สวรรค์ชั้นที่ 6
...5..นิมมานรติภูมิ สวรรค์ชั้นที่ 5
...4..ดุสิตาภูมิ สวรรค์ชั้นที่ 4
...3.ยามาภูมิ สวรรค์ชั่นที่ 3
...2..ดาวดึงส์สวรรค์ชั้นที่ 2

....05..วิถีโคจรดวงอาทิตย์และดาวนพเคราะห์
....1.จาตุมมหาราชิกาสวรรค์  (สวรรค์ชั้นนี้ เขาลงไว้ต่ำกว่าวงโคจรของสุริยะ)
....04.กลุ่มเขาสัตตบริภัณฑ์
....03. มนุสสภูมิ-ชมพูทวีป(มีดิรัจฉานภูมิซ้อนอยู่ด้วย)
....02. มหานทีสีทันดรสมุทร
....01..นรกใหญ่ 8 ขุม (ขาดไป 2 ภพภูมิคือ เปรตและอสุรกาย เล่าว่าเป็นสองภพที่ซ้อนอยู่กับมนุษย์ภพ เหมือนเดรัจฉานภพ ที่มีตัวอย่างเปรตญาติพระเจ้าพิมพ์พิสารเป็นต้น)
.......3.1..สัญชีวนรก (มีโลกียนรกบริวาร 4 ทิศ ทิศละ 10 รวม 40 ขุมนรก)
.......3.2..กาฬสุตตมหานรก (มีโลกียนรกบริวาร 4 ทิศ ทิศละ 10 รวม 40 ขุมนรก)
.......3.3..สังฆาฏมหานรก (มีโลกียนรกบริวาร 4 ทิศ ทิศละ 10 รวม 40 ขุมนรก)
.......3.4..โรรุวมหานรก (มีโลกียนรกบริวาร 4 ทิศ ทิศละ 10 รวม 40 ขุมนรก)
.......3.5..มหาโรรุวมหานรก (มีโลกียนรกบริวาร 4 ทิศ ทิศละ 10 รวม 40 ขุมนรก)
.......3.6..ตาปนะมหานรก (มีโลกียนรกบริวาร 4 ทิศ ทิศละ 10 รวม 40 ขุมนรก)
.......3.7..มหาตาปนะมหานรก (มีโลกียนรกบริวาร 4 ทิศ ทิศละ 10 รวม 40 ขุมนรก)
.......3.8..อเวจีมหานรก (มีโลกียนรกบริวาร 4 ทิศ ทิศละ 10 รวม 40 ขุมนรก)

....2. กลุ่มเขาตรีกูฏ หรือภูเขาสามยอด ล้อมที่ฐานเขาพระสุเมรุ
....1. ล่างสุดเป็นรูปปลาอานนท์ มีกำแพงจักรวาลวางบนหลังปลา

------------------------------ 
........การท่องเที่ยวไปในสังสารวัฎฏะของสรรพสัตว์ จะวนเวียนในภพภูมิต่าง ๆ โดยอาศัยกุศลกรรม  และอกุศลกรรมเป็นปัจจัยนำพาไป หลังจากสิ้นอายุที่อยู่ในภพถูมินั้น ๆ เช่นอยู่ในมนุษยภูมิ อายุขัยประมาณ 120 ปี ตายลง บาปบุญก็จะนำไปสู่ภพภูมิอื่น สมมติไปอยู่ที่ นรกชั้น สัญชีวะ จนดับ ชีพ บาปบุญที่มีก็ส่งผลให้สังสาระ ไปภพภูมิอื่นอีก อาจท่องอยู่ในนรกขุมอื่น ๆ อีกก็ได้มีมากมายมีอีกถึง 320 ขุม ท่องไป กันจนจำไม่ได้เลยทีเดียว ส่วนมนุษยภูมิ มีเดรัจฉานภูมิซ่อนอยู่ด้วย จาก นั้นก็ไปภพภูมิที่สูงขึ้นตามเหตุปัจจัยที่มี ตั้งแต่สวรรค์ชั้นที่ 1-6 สูงขึ้นก็รูปพรหม 16 ชั้น และ อรูปพรหมอีก 4 ชั้น ที่สุดแล้ว

 ......การวนเวียนจะสิ้นสุดได้ยาก เพราะต่างมีเหตุปัจจัยคือกิเลสตัณหา เป็นตัวนำให้ไปเกิดในภพภูมิต่าง ๆ ถ้ากิเลสตัณหาฝ่ายไม่ดีได้แก่อกุศลแรงกว่า ก็ท่องไปในทุคติ เช่นนรก 328 ขุม ถ้าฝ่ายกุศลแรงกว่า ก็ไปฝ่ายสุคตินับแต่มนุษยภูมิขึ้นไป จนอรูปพรหม แล้ว เมื่อไรจะหยุดท่องสังสารวัฏฏะนี้ได้ ก็ต้องตามรอยพุทธองค์สิ พระองค์ค้นพบว่า มีเหตุปัจจัย ที่ทำให้เกิดหรือท่องไปไม่สิ้นสุดคือ สมุทัยอริยสัจ มี 3 ตัวคือ กามตัณหา ภวตัณหา และ วิภวตัณหา มีลักษณะคล้ายพีชในเมล็ดผลไม้ที่ทำให้เมล็ดงอกเป็นต้นพืชได้ ถ้าเมล็ดไม่มี พีช ก็งอกไม่ได้ หรือเหมือนเชื้อในฟองไข่ ที่ทำให้ไข่ฟักเป็นตัวสัตว์ได้ ถ้าตัณหา สามตัวนี้ ดับไป ก็ไม่มีการเกิดได้อีก เรียกนิโรธอริยสัจ 
.......การดับโดยได้นิโรธมีสองวิธีคือ ฟังธรรมเทศนาโดยพระผู้มี บารมีธรรมสูง เช่นพระพุทธเจ้า พระอรรคสาวกเป็นต้น อีกวิธีคือเจริญวิปัสสนา จนบรรลุอริยภูมิ ชั้นอรหัตตผล เรียกว่านิพพานดับตัณหาได้เช่นกัน การท่องสังสารวัฏฏะก็หยุด เพราะไม่มีตัวจะนำให้เกิด
.......ผมเขียนเรื่องนี้เพื่อแสดงให้เห็นว่าภพภูมิต่าง ๆที่พูดถึงกันมีอะไรบ้าน และอยากให้สังเกต ว่าไม่มีชื่อ นิพพาน ในสาระบบ เพราะนิพพานเป็นเรื่องเฉพาะตัว ท่านที่บำเพ็ญสมณธรรม ถ้าประเภทสมถะบรรลุฌานสมาบัติ ก็สามารถไปถึงพรหมภูมิต่าง ๆ ถ้ายังไม่หยุดบำเพ็ญก็มี การพัฒนาภูมิธรรมสูงขึ้น ท่านที่เข้าถึงอริยภูมิต่ำกว่าอรหันต์ จะไม่ไปอบายภูมิ จะไปยังสุคติชั้นต่าง ๆ เท่านั้น ส่วนอรหันต์ตัดเชื้อคือ 3 ตัณหาหมดสิ้นแล้ว เป็นเมล็ดที่เชื้อไม่สามารถเพาะให้งอกได้ เป็นไข่ไม่มีเชื้อ ฟักไม่เป็นตัวได้ ก็จบสังสารวัฏฏะ ของท่านไป 

.......มีคำถามตามมาว่า พระอริยบุคคล ที่ยังไม่บรรลุอรหันต์ ต้องท่องไปในสังสารวัฏฏะไหม  ครับท่าน ยังไม่บรรลุอริยสัจ ยังไม่นิโรธตัณหา 3 เด็ดขาด ก็มีสิทธิ์สังสาระในวัฏฏะได้เช่นกัน ไปตรวจสอบกับคุณสมบัติพระอริยบุคคล มีกล่าวไว้ว่า ท่านจะมีภาษี ดีกว่าคนทั่วไป แค่บรรลุโสดาบัน ท่านก็ปิดอบายภูมิ 4 ได้หมดแล้ว ที่ไปของท่านก็เป็นสุคติล้วน ๆ บางท่านนอกจากมีคุณธรรมอริยะแล้วยังมีภูมิธรรมสมถะ มีฌานสมาบัติ ก็เป็นปัจจัยให้ท่องไปพรหมภูมิได้
........นิพพานสายเถรวาทแบบบ้านเราดับตัณหา 3 ประการ ได้จึงเกิดนิโรธอริยสัจ เลยไม่มีภพภูมิให้ไปถึง ส่วนทางมหายานทราบว่า มีภพภูมิที่อยู่ของพระอรหันต์ พระโพธิสัตว์ ถึงจะมีบางท่านอ้างไปถวายภัตตาหารพระพุทธเจ้า ก็ทำให้ฮือฮาไปพักหนึ่งแล้วก็เงียบไป 
........หมายเหตุ ภาพประกอบได้จากกูเกิล เห็นว่าเข้ากับเนื้อหาเรื่องภพภูมิได้ดี เลยนำมาแทรกไว้ เป็นภาพพระสุเมรุ ที่พระอิศวรผู้สร้างโลกเนรมิตขึ้นมา วางอยู่บนหลังปลาอานนท์ ขอบจักรวาลลอยบนหลังปลา ภพภูมิต่าง ๆ ซ้อนกันอยู่เป็นชั้น ๆ จากต่ำไปหาสูงสุด










วันเสาร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2561

ไปนิพพานได้ จริงหรือ







------------------------
.......ชาวบ้านอย่างเราที่นับถือพุทธศาสนาเคยได้ยืนชื่อ นิพพานและเข้าใจ ว่าเป็นจุดหมายสูงสุดของการปฏิบัติธรรม ตราบใดที่ยังไม่บรรลุนิพพาน ก็ยังต้องเวียนว่าย ตายเกิดและสั่งสมบุญกุศลกันเรื่อยร่ำไป ดังนั้นเวลาทำบุญทำทานมักได้ยินคำปรารถนาว่า ขอให้ได้เข้าสู่พระนิพพาน ในอนาคตกาลโน้นเทอญ ฯ ได้ยินบ่อย ๆครับ มาลองศึกษาดูกันว่า พระนิพพานที่อยากไปให้ถึง เป็นอย่างไร
.......นิพพานโดยความหมายศัพท์ หมายถึงความดับสนิท แห่งตัณหา ได้แก่กามตัณหา ภวตัณหาและวิภวตัณหา สามตัณหานี้คือตัวสมุทัยในอริยสัจ 4 สมุทัยนี่เองท่านกล่าวว่าเป็นเหตุให้เกิดทุกขต่าง ในทุกขอริยสัจ เมื่อดับสมุทัยนี้ได้ท่านเรียกว่า นิโรธ ใน อริยสัจ 4 เมื่อนิโรธได้ท่านเรียกว่า ดับกิเลสที่เป็นสมุทัยได้ ก็คือเข้าถึงนิพพาน ดังนั้นนิโรธ จึงเป็นไวพจน์ของคำว่า นิพานนั่นเอง
.......มีคำอธิบายว่านิโรธคือการดับตัณหาที่เป็นสมุทัยอริยสัจ ทุกข์อริยสัจก็ดับด้วยได้แก่ ทุกข์คือ ชาติปิ ทุกขา ชะราปิ ทุกขา มะระณัมปิ ทุกขัง โสกะปะริเทวะทุกขะ โทมะนัสสุ ปายา สาปิ ทุกขา อัปปิเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข ปิเยหิ วิปปะโยโคทุกโข ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา เมื่อไปดูความหมายของนิพพานที่แปล ว่าดับ ดับอะไร ดับกิเลส ได้แก่ตัณหา 3 ดับทุกข์ ก็เป็นความหมายเดียวกันนั่นเองกับ นิโรธ อริยสัจ จากการวิเคราะห์ความหมายของคำว่านิโรธและคำว่านิพพาน แสดงว่าเกิดขึ้นในใจ ของผู้บรรลุอริยสัจนั่นเองไม่ใช่ภพภูมิที่จะต้องดำเนินไปหา หลังจากการตาย ไม่มีบุญกุศล ใดที่ท่านบอกว่านำไปสู่นิพพาน มีแต่บอกว่าทำบุญกุศลมาก ๆ จะได้ไปสุคติคือสวรรค์
บำเพ็ญฌานให้มั่นไว้จะได้ไปยังพรหมโลก ส่วนนิพพานท่านบอกว่าต้องปฏิบัติธรรมจน ได้บรรลุอรหันต์จึงจะเข้าถึงนิพพานขณะที่ยังไม่ตายนั่นแหละ
........นิพพานท่านจำแนกไว้ 2 ประการคือ สอุปาทิเสสนิพพาน คือนิพพานของผู้ที่ยัง มีขันธ์ห้าดำรงอยู่ คือยังมีชีวิตอยู่ กับ อนุปาทิเสสนิพพาน นิพพานของผู้ที่บรรลุนิพพาน มาก่อนแล้วตายไป โดยนัยนี้แสดงว่า พระอรหันต์ทั้งหลายเมื่อท่านบรรลุธรรมระดับสูงสุดชั้นนี้คือดับกิเลสหมดจดแล้ว เป็นพระอรหันต์ ท่านบรรลุสอุปาทิเสสนิพพานแล้วนั่นเอง ต่อมาเมื่อท่านมรณะภาพ เรียกว่าท่านเข้าถึงอนุปา    ทิเสสนิพพาน ดังนั้นการนิพพาน ต้อง นิพพานในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่ตายแล้วค่อยนิพพาน ถ้าตายแล้วค่อยนิพพาน ก็ แสดงว่านิพพานไม่แท้ เพราะยังมีไปต่อหลังจากตาย นิพพานดับตัวสมุทัยคือตัณหา 3 แล้ว ไม่มีเหตุปัจจัยจะทำให้ไปเกิดอีก อนุปาทิเสสนิพพาน ท่านเรียกอาการแตกดับของขันธ์ 5 ของท่านผู้บรรลุสอุปาทิเสสนิพพานมาก่อนแล้ว ไม่ใช่ตายแล้วค่อยไปอนุปาทิเสสนิพพาน แบบ มรณภาพ เรียกการตายของพระ ไม่ใช่พระตายแล้วไปมรณภาพ
.......ทำไมไปนิพพานไม่ได้ เพราะนิพพานไม่มีเหตุปัจจัยที่จะทำให้เกิดอีก กิเลสปัจจัย ตัวสำคัญ 3 อย่างคือกามตัณหา ภวตัณหา และวิภวตัณหา ดับหมดทุกตัวเมื่อปฏิบัติธรรม บรรลุนิโรธอริยสัจ หมดปัจจัยที่จะทำให้เกิด ท่านจึงเรียกว่านิพพาน ชาติปิทุกขา ทุกข์ตัวแรก ในทุกขอริยสัจก็ไม่เกิด ตัวอื่น ๆ  ก็ดับไปโดยปริยาย ดังนั้นการบรรลุนิพพานเป็นการบรรลุ ขณะยังไม่ตายนี่แหละ การตายขณะยังไม่บรรลุนิพพาน ก็เหมือนคนทั่วไป มีสุคติและทุคติ เป็นที่ไป ไม่มีนิพพานให้ไป เพราะนิพพานไม่ใช่ภพภูมิ แต่ถ้าภพหน้าเกิดในมนุสสภพและ มีพระพุทธศาสนา ถือว่าโชคดี มีโอกาสได้ปฏิบัติธรรม ก็อาจบรรลุนิพพานได้ 

........กระผมเขียนถึงนิพพานที่เป็นคุณธรรมสูงสุดของพุทธศาสนา เพราะเห็นพวกพ้อง ชวนกันไปนิพพานแบบไปสวรรค์ คือตายแล้วไปนิพพาน ก็อยากทักว่าแน่ใจว่าใช่หรือ ปกติพระท่านจะแนะนำว่า การทำบุญกุศลให้มากไว้ ขอให้เป็นปัจจัยให้มีโอกาสได้พบ พุทธศาสนาและได้ปฏิบัติธรรมจนบรรลุมรรคผลนิพพาน เคยทราบมาแค่นี้

สัจจะที่พระพุทธเจ้าค้นพบ






.......ช่วงนี้เจอนักปฏิบัติธรรมบ่อย เจอหน้ากันก็อดสนทนาถึงการปฏิบัติมิได้ ผม ไม่ช่างพูดคุย เลยคุยไม่ทันเขา เอาแต่รับฟังแล้วนำมาคิด มีเวลาก็เขียนถึง เพื่อน ๆ ก็รู้หลังจากวางยาแล้วก็ติดตามว่าจะเกิดผลอะไร ตามมาดูเฟซ ดูเวบบลอก แล้วก็ นำไปนินทาเราทีหลังว่า กูนึกแล้วแกต้องเขียนอะไรให้พวกกูอ่านแน่ ครับก็ทราบ นะว่าโดนเพื่อนชอบวางยา เรื่องการปฏิบัติธรรม เรื่องคำสอนต่าง ๆของพุทธศาสนา
สองสามวันที่แล้วก็เจอเพื่อนบอกว่า เขารู้วิธีพบสัจจธรรมของพระพุทธเจ้า ได้ยินก็ รู้สึกทึ่งสิครับเลยถาม มันว่ารู้ได้ไง เขาบอกว่ารู้จากหนังสือคู่มือปฏิบัติธรรม อาจารย์ ก็ยืนยันเป็นวิธีที่จะพบสัจจะได้
.........เป็นการอบรมวิปัสสนา ทางวัดเขาจัดเข้าค่ายปฏิบัติสามวันเจ็ดวัน ให้ทำบุญ สวดมนต์ไหว้พระ ถือศีลแปด นั่งกรรมฐาน เดินจงกรม อาจารย์บอกเป็นแนวทางที่จะ ได้พบสัจจะจริง ก็ไม่ซักต่อ เพียงแค่นี้ก็เดาได้แล้วว่าเขาจะพูดถึงอะไร ก็เลยอยาก จะตามหาสัจจะที่เขาว่า มันเป็นอย่างไร สัจจะที่นักปฏิบัติธรรมอยากพบ อยากบรรลุ ถ้าเป็นแนวทางที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ มีตัวเดียวครับชื่อ อริยสัจจ 4 ประการนั่นแหละ ไม่ใช้สัจจอย่างอื่น มีคำขยายที่พระอรรถกถาจารย์ร้อยกรองไว้ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตร จะเห็นแนวทางอริยสัจจว่าคืออะไร
..........ทุกขอริยสัจจ ท่านบรรยายทุกข์ไว้ 11 ข้อ ดังบาลีว่า อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขัง อะริยะสัจจัง ชาติปิ ทุกขา ชะราปิ ทุกขา มะระณัมปิ ทุกขัง โสกะปะริเทวะ ทุกขะ โทมะนัสสุปายา สาปิ ทุกขา อัปปิเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข ปิเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา
..........สมุทัยอริยสัจ ท่านบันทึกไว้ว่า อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจัง ยายัง ตัณหา โปโนพภะวิกา นันทิราคะสะหะคะตา ตัตฺระตัตฺราภินันทินี เสยยะถีทัง กามะตัณหา ภะวะตัณหา วิภะวะตัณหา
..........ทุกขนิโรธอริยสัจจ บาลีว่า อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง โย ตัสสาเยวะ ตัณหายะ อะเสสะวิราคะนิโรโธ จาโค ปะฏินิสสัคโค มุตติ อะนาละโย 

..........มรรคอริยสัจ บาลีว่า อะริโย อัฏฐังคิโก มัคโค เสยยะถีทัง สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว สัมมาวายาโม สัมมาสะติ สัมมาสะมาธิ
...........อันนี้คืออริยสัจจ 4 ที่พระพุทธเจ้าค้นพบและตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใจความอริยสัจนี้เป็นคำสอนที่พระองค์ตรัสแก่ปัญจวัคคีย์ที่ป่าอิสิปัตนมิคทายวัน หลัง ตรัสรู้ไม่นาน สมัยโน้นเพียงฟังพระพุทธองค์เทศนา ก้สามารถบรรลุอริยสัจจ ได้ คน ที่บรรลุอริยสัจจได้จากการฟังเทศนามากมาย อัญญาโกญทัญญะคือคนแรก จากนั้นก็ มีคนฟังเทศนาแล้วบรรลุอริยสัจจสี่มากมาย
..........ปัจจุบันคนที่สามารถเทศนาให้ผู้ฟังบรรลุธรรม หาได้ยาก พระพุทธเจ้าได้ ประทานแนวปฏิบัติให้ เรียกว่า วิปัสสนา จึงมีพระภิกษุสมัยต่อมาสามารถบรรลุธรรม จากการปฏิบัติวิปัสสนามากมายเช่นกัน ถ้าสนใจวิปัสสนาเพื่อบรรลุสัจจธรรม ก็ลอง ปรึกษาพระอาจารย์ฝ่ายวิปัสนาธุระดู จะได้คำแนะนำที่ถูกต้อง ลำพังการอ่านคู่มือ อ่านตำรา อาจมีข้อผิดพลาดได้ พระอาจารย์ที่สามารถแนะนำเรื่องการปฏิบัติวิปัสสนา มีมากมาย ลองติดต่อสอบถามดู
..........การรู้อริสัจจ 4 มี 3 ระดับนะครับ อย่างกระผมรู้มาจากการศึกษาเล่าเรียน จากการอ่านเอกสารตำรา อ่านพระไตรปิฎก เป้นการเรียนรู้ระดับ ปริยัติ ส่วนท่านที่ไปฝึก ปฏิบัติธรรม แนวทางสติปัฏฐาน 4 ท่านกำลังศึกษาด้วยวิธี ปฏิบัติ หลังจากที่ท่าน ปฏิบัติจนเกิดรู้แจ้งแทงตลอดในอริยสัจ เรียกว่าท่านเกิดบรรลุ ปฏิเวธ ถือเป็นพระ อริยะได้แล้วอย่างน้อยก็พระโสดาบันแหละ
..........ก็ขอสรุปสิ่งที่เขียนถึงวันนี้คือ การรู้สัจจะของนักปฏิบัติธรรม หมายถึงอริยสัจ 4 ครับ ไม่ใช่สัจจะแบบชาวบ้านพูดกันทั่วไป ทุกข์ สมุทัย นิโรธและมรรค กระผมนำบาลี จากธัมมจักกัปปะวัตตนสูตรมาแสดงให้ดูแล้ว ปกติคนที่อ่านแล้วทราบความหมายมี ไม่น้อยหรแกครับ บวชเรียนมาบ้างก็เข้าใจได้ เลยไม่ลงคำแปลไว้ อ้อรู้อริยสัจมี 3 ระดับจริง ครับ ตรวจสอบให้ดีว่าบรรลุระดับไหนแล้ว จะได้บอกคนอื่นได้ถูกต้อง เดี๋ยว จะกลายเป็นพูดไม่จริงไป สวัสดีครับ

วันพุธที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2560

เข้าพรรษา

วันเพ็ญเดือนแปด เข้าพรรษา
-------------------
........การนับวันเวลาแบบจันทรคติ คงเคยได้ยินกันมาบ้าง เดือน อ้าย เดือนยี่ และก็เดือนสาม..เดือนสิบสอง แล้วก็วนมาเดือนอ้ายใหม่ มีเกณฑ์การนับ เดือน คี่ 29 วัน เดือนคู่ 30 วัน ดังนั้นเดือนคี่ข้างขึ้น วันเพ็ญ 15 คำ ส่วนข้างแรมวันเดือนดับ 14 คำ ในส่วนเดือนคู่ 15 ค่ำทั้งข้างขึ้นข้างแรม รอบปีหนึ่งจึงมี (6* 29) +(6*30) 354 วัน คลาดเคลื่อนคือต่างจากระบบสุริยคติ 365-354 = 11 วัน 3 ปี ก็จะต่าง กัน 33 วันเลยมีระบบแปดสองหน เพื่อมิให้ต่างกันมากเกินไป ก็เหมือนที่รู้กัน ทั่วไปแหละครับ ไม่งั้นวันเดือนปีกับฤดูกาลต่าง ๆ ก็จะเปลี่ยนไปมาก เหมือน ชาวบ้านเราถึงเดือน หก รอ ฝนแล้ว จะหว่านกล้า เดือนแปด นาข้าวก็ควรจะ เขียวขจีแล้ว ถ้าเกิดฝนไม่มา ก็เข้าใจว่าฝนแล้ง ยิ่งระบบเดือนมันต่างกันปีละ 11วัน ก็ยิ่งทำให้ฤดูกาลต่างจากปีก่อน ๆได้มากขึ้น 
.......ผมเขียนถึงวันเวลา แถไปซะไกล ความจริงจะเขียนถึงวันเข้าพรรษา เท่านั้นเอง เพราะมีกิจกรรม หนึ่งที่เคยเห็นสมัยเด็ก กำลังจะหายไป แถมไม่รู้จัก กันด้วย คือ การถวายผึ้งถวายน้ำมัน ผึ้งแปรสภาพ มาถวายต้นเทียนกัน พอจะ เข้าใจ แต่ถวายน้ำมันนี่ไม่มีจริง ๆ มีบางท่านบอกผมว่า คงไม่จำเป็นมั้ง เลยเลิกถวายน้ำมัน แต่เที่ยนก็ไม่จำเป็นนะ ยังมีถวายเทียนอยู่ 
.......วัสดุให้แสงสว่างสมัยผมยังเด็ก เห็นใช้กันคือ น้ำมัน ไต้ ตะเกียง และ เทียน น้ำมันที่ใช้เป็นน้ำมัน  พืช น้ำมันจากสัตว์ ส่วนน้ำมันก๊าด มาเห็นตอนเป็นเด็กโตแล้ว เมล็ดพืชหลายชนิด เอามาบีบน้ำมัน ได้ เช่น มะพร้าว ถั่วต่าง ๆ งา เนื้อจากเมล็ดพืช เช่น หมากค้อ ค้อแลน หมากบก ละหุ่ง วิธีการคล้ายกันคือ เอามาผึ่งแดดให้ร้อนจนมีน้ำมันซึม จะได้บีบง่าย แล้ว เอาเข้า เครื่องบีบอัด ก่อนทำเป็นครก สาก เดี๋ยวนี้พัฒนาเป็นกระบอกอัดด้วย เกลียว ทุ่นแรงเยอะ บีบได้น้ำมันดิบสักกระป๋องนี่ก็เก่งมากแล้ว 
.......น้ำมันจากต้นยางนา ต้นสะแบง ต้นพลวง เขาจะขุดที่โคนต้นเป็นหลุมใหญ่ เอาไฟเผา คืนเดียวจะมีน้ำมันไหลซึมออกมา เช้า ๆ ก็ไปตักเอามาใช้เป็นเชื้อเพลิงบ้าง ผสมชันเป็นกาวพิเศษ ยา ตะกร้า กลายเป็นครุตักน้ำบ้าง เป็นกาวยา เรือบรรทุกข้าว เหนียว ติดทน และยังเอาไปทำไต้ จุดไฟได้ด้วย ทำไต้สำหรับ จุดไฟให้ความสว่างเวลา ทานข้าวตอนเย็น ลูกหลานลงข่วงชุมกันเข็นฝ้าย ไปส่องกบเขียด ใช้ไต้แทนโคมไฟ วิธีทำไต้ใช้เนื้อไม้ผุ ๆ บดให้ยุ่ย ผสมน้ำมันยาง ตากให้แห้งแล้วห่อด้วยใบตอง มัดเป็นเปราะ ๆได้แท่งยาวสักคืบสองคืบ เก็บไว้ ใช้ตลอดปี เวลาจุดควันคลุ้งทั้งบ้าน ลำบากแต่ก็ทนกันได้
.......น้ำมันจากสัตว์ หมู วัว ควาย น้ำมันที่แข็งตัว เรียกว่า ไข เวลาจะใช้หากระบอกไม้ไผ่มาใส่น้ำมัน ทำใส้จุ่มลงไป จุดไฟให้แสงสว่างได้  ที่เขาเรียกเทียนไข คง เพราะ ไข พวกนี้กระมัง
........ขี้ผึ้ง ชื่อบอกชัดว่าได้จากผึ้ง รังผึ้งที่มีน้ำหวาน ช่องเก็บน้ำหวานจะทำจาก ไขที่มันได้มาจากตอนออกไปหาน้ำหวานดอกไม้ มาที่รังจะทำช่องที่ใช้เก็บน้ำหวานด้วยไขมัน เวลาถูกความร้อน จะละลายเป็นขี้ผึ้ง ส่วนที่เป็นช่องวางไข่ ไม่มีขี้ผึ้งหรอก  ขี้ผึ้ง สามารถ นำไปย่างไฟให้อุ่นจะอ่อนตัว เหนียว เอาไปพันรอบเส้นด้าย กลึงเป็นแท่งกลม ๆ เรียกเทียน ใช้จุดส่องสว่างได้
........เทียนยุคใหม่ ใช้ไขปลาวาฬ พาราฟิน เรซิ่น ทำให้ได้เทียนที่มีคุณภาพ ดี จุดได้ทนนาน ก็ขอนำมาแทรกไว้ให้รู้ว่าเทียนทำได้จากวัสดุมากหลายชนิด ทีนี้ก็จะขอกลับคืนไปวันเข้าพรรษา กับการถวาย น้ำมัน ถวายเทียนต่อ ก่อนนั้น การทอดเทียน เป็นกิจกรรมสำคัญนิยมทำช่วงเข้าพรรษา โดยรวบรวมเทียน น้ำมัน นำไปถวายที่วัดในหมู่บ้าน หรือวัดบ้านอื่น สนุกตรงที่ไปวัดบ้านอื่นครับ ทำต้นเทียน ห้อยเทียนขาวเทียนเหลือง และสมุด ดินสอ ของใช้ เต็มต้นเทียน เหมือนเขาทำต้นกัณฑ์หลอนนั่นแหละ แต่แขวนเทียนเยอะไปหน่อย เลยเรียกต้นเทียน  ต่อมาก็ทำเป็นต้นเทียนจริง ๆ แท่งใหญ่  แห่ไปถวายวัด
ที่สำคัญจะมีการมีแข่งขันร้องสารภัญญะในงานนี้ด้วย หลวงพ่อ ต้องเตรียมรางวัลไว้ให้ด้วยนะ
........น้ำมันที่ไปถวายวัด ถ้าเป็นน้ำมันพืช เทรวมกันใส่ปีบได้เลย ถ้าเป็นน้ำมัน ก๊าดก็แยกคนละปี๊บ น้ำมันนอกจากเติมตะเกียงแล้ว นิยมเอาไปผสมขี้ผึ้งทำเป็นน้ำยาถูพื้นไม้กุฏิ ศาลา ยังกะลงแชลแลค สวยงามดี ได้น้ำมันมาวัดจะใช้แบบตะเกียง น้ำมันก๊าด หรือเทใส่กระบอกไม้ไผ่ ทำใส่จุ้ม จุด ปักกลางลานวัด แทนตะเกียง ก็ใช้ได้ดี นอกจากนี้น้ำมันก๊าด หวงไว้ใช้กับตะเกียงโป๊ะ ตะเกียงรั้ว และเจ้าพายุ อ้อบางที เขาเอาเตาต้มน้ำแบบใช้น้ำมันก๊าดมาถวายพร้อม ก็ได้ใช้แต่หนวกหูมาก เสียงดัง เดี๋ยวนี้ไฟฟ้ามีใช้กันทั้งบ้านและวัด ความจำเป็นเรื่องน้ำมันเลยลดลง ไม่ค่อยมีแล้วการถวายน้ำมันวันเข้าพรรษา
........ถวายเทียนน่าจะเลิกก่อนถวายน้ำมัน เพราะเทียนทำหน้าที่อย่างเดียวคือ จุดให้แสงสว่าง มีไฟฟ้าแทนได้เต็มร้อย แต่ถวายเทียนยังมีอยู่ เพราะอะไร เพราะเขาเอาไปเป็นเครื่องมือเล่นสนุกกัน เรียกแห่เทียนพรรษานั่นแหละ เทียน ก็ต้องพัฒนาไปถึงระดับห้ามจุดไฟ จะเอาไปพัฒนาต่อในปีถัดไป ขบวนแห่ก็มี ทั้งดนตรีนักฟ้อน ทำให้มีคนรอชมการแห่เทียนมากมาย สนุกกันทั้งคนทำ คนแห่ และคนชม
.......พูดถึงเข้าพรรษา แถไปหาน้ำมันละเทียนจนเกือบลืมไหมล่ะ พรรษา พัสสา วัสส ประสา ได้ยินพูดกันบ่อย ๆ หมายถึง ฤดูฝน ยกเว้นคำ ประสา เป็นภาษาปากของคนเฒ่าคนแก่ พระพุทธเจ้ากำหนดให้พระภิกษุหยุดจาริก อยู่อาศัยเป็นที่เป็นทาง ตลอด 3 เดือน สมัยก่อนการเดินทางไปมาคงไม่สะดวก ถนนหน้า ฝนคงเละดินโคลนน่าดู ชาวบ้านนิยมไปทำบุญเมื่อทราบพระผ่านมา เดินทางไกลกว่าจะถึงที่พระหยุดพัก พระพุทธเจ้าจึงกำหนดให้หยุดท่องเที่ยว จากริกช่วง 3 เดือน มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ชาวบ้านจะทำบุญก็สะดวก ไปวันไหน ก็ง่าย เพราะมีพระอยู่จำพรรษา นี่ก็เข้าพรรษาอีกแล้ว เล่าความหลังสู่กันฟัง เล่น ๆ น่ะครับ ไม่มีอะไร