วันอาทิตย์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ไปหากะท้อน


........ราวปี 2530 เพลงสาวรำวงงานวัดทุกงานต้องได้ยิน เวทีรำวงคนแน่นทุกรอบ หนุ่มสาว บอกเล่าว่าคนร้องคือนักร้องนำวงกะท้อน ชื่อวันทนีย์ เอียดเอื้อ (อ้อย) พยายามหาโอกาสไป ดูเพราะชอบเสียงเพลงที่เธอร้อง แต่ก็เป็นพัก ๆ ได้ยินเพลงก็อยากไปดู เพลงจบก็จบไม่คิดไป จนวันที่นั่งเขียนนี่ยังไม่เคยเห็นเลย ได้ดูแต่ข่าวหนังสือพิมพ์ ข่าวทีวี เธอก็เป้นคนสวยนะ ร้อง เพลงก็เพราะดี เกี่ยวอะไรไหมกับวันนี้ ก็ไม่เชิงนะ พอดียายสั่งการว่าวันนี้ ให้พาไปซื้อกะท้อน ก็เลยนึกถึงกะท้อนคนสวยเมื่อปี 2530 เท่านั้นเอง 


........ลูกสาวขับมิวเซเว่นพาไป มีกำปั้นลูกแม่บ้านไปด้วย เด็กทาโร่ คุ้กกี้ สองตัวนี่หมา มัน อาบน้ำปะแป้งรอแต่เช้าแล้ว ยายชื่อธนัญธร ชื่อดีนะแปลว่าทรงไว้ซึ่งธนะ แต่เท่าที่ดูทรงมิค่อยจะอยู่หรอก รั่วดีมากกว่า เป็นคนใจดีแต่ดุ พวกเด็ก ๆบอก เออคนอื่นพูดคงใกล้เคียง เราอยู่กับ ยายมาสิบกว่าปีแล้ว ก็เคยเห็นทั้งแบบใจดี แบบดุ นั่นแหละ แต่เทียบกันไม่ได้หรอก เราดุกว่า แบบ มหาดุ ไง อ้าวเป็นไงถึงเรียกยังงั้น ต่างจากคนอื่นดุมากนักหรือ ....เปล่าหรอกก็ดุแบบ ธรรมดานี่แหละ แต่บางคนแอบนินทาว่า "มหาดุ" เวลาด่าก็บอก "มหาด่า" อะไร ๆ ก็พิเศษไป หมด มหาโกรธ มหาสอน มหาสั่ง แรก ๆก็ตงิด ๆ เหมือนกัน แต่ตอนนี้ชินแล้ว เฉย ๆ เพราะว่า เมื่อก่อนเขาชอบเรียกคำแทนชื่อเรา บักเขียว บักขุน บักนาย บักอ้าย บ้านเราคำว่า บักเป็นคำ สรรพนามนำหน้าเด็กผู้ชาย เหมือนคำ อี นำหน้าเด็กหญิง แต่ภาษามันวิบัติกลายเป็นคำหยาบ ไปแล้ว หลังจากไปบวช 7 ปี สึกออกมา ความจริงควรเรียกเราว่า อ้ายทิด อ้ายจารย์ เพราะบวช
พระ ผ่านการหดสรงมา 1 ครั้งด้วยเป็น ยาซา เชียวแหละ สึกต้องเรียกจารย์ซา แต่ปรากฏว่า เขาเรียก "มหา"แทน เพราะสอบได้เปรียญสี่ประโยค...นอกเรื่องไปไกลเชียวเดี๋ยวลืมกะท้อน 

........หิวข้าวมาแต่เช้าเกินรึเปล่ายาย...เดี๋ยว ๆ เลี้ยวซ้ายตรงวัดทดนะ วัดอะไร ทด หรือ ทะรด ไม่เคยยินชื่อ เลี้ยวไม่เกิน 50 เมตรเจอป้ายวัดพอดี พลอยจอดไปถามทางแม่ค้าไก่ย่าง เราก็ชอบถามทางเหมือนกัน ได้ข้าวเหนียวสองห่อ ไก่ย่าง 4 ไม้ ถามฟรี ๆอายเขาอุดหนุนนิด หน่อย เดินทางต่อเข้าป่าดงต้นมะพร้าว ดงต้นหมาก ดงมะม่วง สวนทั้งนั้น ถนนตัดลัดเลาะไป ตามร่องสวน เคยผ่านมาครั้งหนึ่งนานแล้ว เข็ดหลงวนหาทางออกไม่เจอ ถามมั่วไปทุกสวน กว่า จะหลุดออกถนนใหญ่กลางเมืองแปดริ้วนั่นแหละ นานมากกว่าจะเจอป้ายชวนกินที่ร้านอาหาร ที่ตั้งใจจะไปนั่นแหละ ป้ายห่างร้านซัก 30 เมตร แหมคุณ มีป้ายเดียวนี่ไม่ปักก็ได้ มันมองเห็น ร้านคุณแล้วนี่นา ปักทำไม ทีตอนเราหาทางมาไม่ยักมีป้ายบอก เดาแทบตาย 

.......ร้านตั้งงอย(ริม)ฝั่งแม่น้ำบางปะกง ล้อมด้วยต้นจาก น้ำลงพอดีโคนต้นจากมีแต่โคลนเลน หอยปูไต่กันสนุก ธารน้ำไหลลงมามีปลาไม่ทราบสัญชาติพยายามว่ายทวนน้ำขึ้นไป หลานชาย บอกปลาเล็กคุณตา เออมึงฉลาดมาก ตัวเท่านิ้วมือก็เล็กซิวะ ชื่อปลาอะไรต่างหากที่อยากรู้ ผมก็ไม่ทราบครับ...กูว่าแล้ว ให้รางวัลดีไหม สั่งกับข้าวได้คิวที่ 5 นานหน่อยนะพี่ เออนานก็นาน ซิวะ แก่อย่างตายังมีคนเรียกพี่ หาน้ำแข็งถังหนึ่ง น้ำสองขวดวางให้ยายดื่มไปพลางก่อน ขอเดิน ดูธรรมชาติประสาคนชอบธรรมชาติ มีสะพานเทียบเรือที่ท่าน้ำ เขาข้ามฟากมาขึ้นที่ท่าน้ำ คน สมัยนี้เป็นสาวเป็
นนาง ทำไมมันชอบนุ่งสั้นเหลือเกิน ไม่กล้าดูพวกเอ็งก้าวขึ้นโป๊ะหรอก แต่มัน เห็นเอง อย่าโทษคนแก่ไม่สำรวมนะ ดีที่ไม่กดชัตเตอร์เก็บหลักฐาน พวกเขาไปแล้วไปดูร่องรอยหน่อย เปล่านะดูร่องรอยพวกตกปลา มี 2 เฒ่า แก่น้อยกว่าเรา แต่หอบเบ็ดมาเต็มกำมือ เกี่ยวเหยื่อกุ้ง เหวี่ยงไป วางไว้คนละ 5 คัน ดูถุงใส่ปลามีตัวหนึ่ง ไม่เคยเห็น แกบอกปลาม้า เคยได้ยินชื่อบางปลาม้า ยังขำว่าปลาม้าคงเต็มบาง ไม่นึกว่ามีปลาม้าจริง ๆ ยายเรียกกับข้าว เสร็จแล้ว ก็หมดเวลาเถลไถล กลับมาทานข้าว สามโมงเศษอาหารเช้า ไม่รู้เพราะหิวหรืออร่อย เกลี้ยงชามเลยแหละ 


.......เดินทางขึ้นรถชี้ให้ยายดูว่าเขาตัดต้นจากทำไม มันสวยดีออก ยังกะไม้กระถางที่เราปลูก ยายบอกมันเป็นพืชน้ำกร่อย ออกเค็มแบบน้ำทะเล น้ำบางปะกงใกล้ทะเล ไหลออกอ่าวไทยที่ อำเภอบางปะกง ไม่ถึงยี่สิบกิโลเมตร เอเก่งนะยายนี่ รู้ได้ไง ....แปดริ้วบางปะกง 18 กม.ถึง ทางด่วนบางปะกงนั่นไง ยี่สิบกิโลพอดีแล้ว ..โม้ได้อีก ยายว่าต้นจากขึ้นได้งามดีสองฝั่งน้ำ บางปะกง ใบอ่อนเขาตัดไปมวนบุหรี่ แก่หน่อยตัดเอาไปห่อขนม เอาไปทำตับจากมุงหลังคา ทำฝาเรือน ลูกจากอ่อนทำขนมกับน้ำแข็งไส ประโยชน์มันมีมาก เขาคงตัดเอาไปใช้งานแหละ
.......เราวิ่งรถย้อนออกถนนใหญ่มุ่งหน้าไปโคราช ถนนเส้นนี้ไปบ่อย เพราะเป็นทางไปเมืองเลยบ้านอยู่เลยกลับไปเยี่ยมบ้านก็ไปเส้นนี้ รถบนถนนไม่มาก รถเข้าแปดริ้วมาไหว้พระวันหยุดคง ผ่านไปหมดแล้วเลยว่าง วันหยุดเขามาเที่ยวกันมาก มีที่เที่ยวเยอะ ข้างหน้าแยกบางคล้า แวะ เข้าไปแปด กิโลเมตร เป็นวัดโพธิ์ที่มีค้างคาวยักษ์มาเกาะอาศัยนับร้อยปีแล้วมั้ง เล่าว่ามันมา อาศัยเฉย ๆ แต่เวลาหากินออกไปหากินไกล แน่หละสิพวกมันมีปีก แข็งแรง บินไวยังกะเครื่องบินเจต ไม่ถึงสองร้อยกิโลเมตร ก็ชายแดนไทยแล้ว แถวนั้นสวนผลไม้ทั้งนั้นนี่ กินอิ่มกลับมา นอนที่นี่ เก่งนักนะพวกเอ็ง ผ่านสี่แยกบางคล้าก็มุ่งไปพนัสนิคม ผ่านแยกหนองปลาตะเพียน ซ้ายมือมีเพิงขายไม่ไผ่ ตับหญ้าแฝกหญ้าคา เคยมาซื้อไปใช้ ราคาแพงดี เราซื้อไม่มาก แพง ก็กัดฟันซื้อไป ตลาดนัดใหญ่พนมสารคามวันนี้ว่างเปล่า เคยมาเดินเที่ยวคนเยอะมาก สินค้า มีทุกแบบ แบบคลองถม ตลาดเสื้อผ้า ของกิน ของเด็กเล่น ราคาพอประมาณ ลูกค้าสาวโรงงาน เยอะมากวันหยุดมาซื้อของจะเอาไปฝากพี่น้อง 

.........ผ่านพนมสารคามเรามุ่งหน้าไปทางศรีมโหสถ ไปถึงแยกไม้เค็ดก็เลี้ยวซ้ายไปถนนสาย 319 ผ่านป้ายโมษณาให้ไปชิมซุบหางวัว ลาบอีสาน เคยแวะนะแต่ไม่ค่อยถูกใจ ผ่านมาถึงร้าน อาหารริมธาร เคยมาทานบ่อย บรรยากาศดี เขาสร้างโรงเรือนบนสระน้ำขนาดใหญ่ ชอบต้นว่าน นาคราชมันเลื้อยยาวทุกกระถาง ห้อยลงเกือบเมตร สี่ห้าสาย ถ่ายรูปไว้ด้วยนะแต่หาไม่เจอมัน หลายปีแล้วไม่ได้ไปอีก ผ่านไปผ่านมาเฉย ๆ เลยมาอีกไม่นานก็เป็นตลาดนัดที่ยายชอบลง ไปเดินกะเขาสินค้าเยอะมาก วันนี้ว่างเปล่าไม่มีนัด ทาโร่คุกกี้คงจำได้ดี วันนั้นเราปล่อยมันลง ให้ฉี่ให้อึ ไม่มีสายจูง เพราะไม่ได้ติดมา เยี่ยวเสร็จ มารดามัน วิ่งเข้าตลาดไปเลย ตามต้องกัน พวกแม่ค้าหัวเราะ กว่าจะจับตัวได้เล่นเอาเหงื่อตกเชียว ทีหลังต้องมัดเชือกถึงจะปล่อยได้ 

........ถึงศรีมโหสถ ชื่อเพราะดียังกะพระโพธิสัตว์สมัยเป็นมโหสถบัณฑิต ผู้กำแท่งยามาพร้อม กับเกิด แท่งยาสามารถช่วยคนเจ็บป่วยให้หายจากโรคภัยได้ ประกอบกับเป็นผู้ฉลาดหลักแหลม โตขึ้นจึงได้รับราชการในราชสำนักนัก ตำแหน่งใหญ่โต ด้วยความฉลาดได้ช่วยให้บ้านเมืองสงบ ปราศจากสงคราม เพราะอุบายอันชาญฉลาดของบัณฑิต ผู้คนยกย่องสรรเสริญไปทั่วทุกทิศ วันนี้ผ่านอำเภอศรีมโหสถก็อดคิดถึงเรื่องราวของพระโพธิสัตว์มิได้ สาธุ บุญบารมีต้องสั่งสม และใช้เวลานับนาน ถึงจะก่อเกิดเป็นพลังแห่งบุญบารมี วันนี้ถนนหนทางสะดวกรถราไม่มาก เราผ่านไปโดยสวัสดี
.........ช่วงนี้จากศรีมโหสถไปปราจีนยี่สิบกิโลเศษ มีวีรกรรมต้องจำหลายอย่าง สมัยนั่งซิตี้คาร์ เปิดแผนที่วิ่งจากประจันตคามมันไปแปดริ้วได้ แต่ในแผนที่ไม่บอกน้ำเขาใหญ่มาอาจติดน้ำท่วมนะ เจอเข้าอย่างจัง เขาแนะให้หลบไปหลบมา กว่าจะหลุดน้ำป่าไหลหลากออกไปได้ เกือบค่ำมืด อ้อวีรกรรมตามหากล้วยไม้ป่า คนเขาบอกมีคนแอบขึ้นไปเก็บกล้วยไม้จากเขาใหญ่มาขาย ยาย ชอบกล้วยไม้ได้ยินก็หูผึ่งสิ ตามหาบ้านอยู่ประจัตคาม เจอวันเดียวคุยกันพี่ ๆน้อง ๆ เออ ไวจริงนะ คนซื้อกับคนขาย แลกเบอร์กัน มีรุ่นใหม่มาโทรหา เราก็ต้องพามาจนจำเส้นทางได้ บนถนนเส้นนี้แหละถ้าไปต่อทางไปกรุงเทพฯ จะผ่านร้าปลาเผา ใกล้ ๆ แยกศาลพระภูมิสมเด็จพระนเรศวร ปลาเผาอร่อย อาหารถูกใจยาย จนต้องกลับไปดูบ่อย ๆ คงกลัวเขาจะยุบร้านมั้ง ไม่ต้องกลัว หรอกยาย นายทหารเขาจัดทำเอง กรมทหารก็อยู่ติดๆกันนี่เอง วิ่งรถต่อไปจะเป็นวงเวียนทาง แวะขึ้นเขาใหญ่ตรงนั้นแหละ มีถนนตัดไปนครนายก ไปรังสิต ไม่ไกล พวกอีสานแอบลัดเข้า กรุงเทพ ฯ กันมากเส้นนี้ 

.........ผ่านทางเข้าเทศบาลปราจีน ตรงนี้เป็นทางเลี่ยงเมือง เราตรงไปจนถึงแม่น้ำปราจีนบุรี บางคนก็เรียกแม่น้ำบางปะกง เห็นว่ามันไหลไปบรรจบกัน ก่อนขึ้นสะพาน เลี้ยวซ้ายจะไปทาง แปดริ้วได้ ขากลับว่าจะกลับเส้นนี้ ข้ามสพานตรงไปเจอสี่แยกไฟแดง ติดสี่แยกเป็นร้านที่เรา มากินส้มตำกันบ่อย ชื่อร้านครกแตก ต้มไก่บ้านมะขามอ่อน อร่อยมาก ปีกไก่ทอดของโปรดยาย อาหารอีสานอร่อยทุกเมนู มาก่อนเวลาอาหารต้องแวะ วันนี้เลยเวลาแล้วผ่านไปดีกว่า แล้ว ก็มาติดตรงข้างทางรถไฟ ไปไม่ได้ ไม่มีรถไฟมาหรอก แต่ตรงนั้นมันมีแผงลอยขายปลาแดด เดียว ปลาหลด ปลาซิว ปลาหมู ปลาสลิด ปลาช่อน ของชอบทั้งนั้น โดยเฉพาะปลาหมู นาน ๆ มีวางขาย ถามแม่ค้าบอกต้องเหลือหนูกินก่อนถึงจะขาย เพราะหนูก็ชอบ เออแบบนี้ต้องงัดข้อ กันแล้วแม่ค้า วันหลังจะโทรมาจองล่วงหน้า แม่ค้าชอบใจ ดีค่ะหนูจะเก็บไว้ให้....คงรู้ว่าคน ชอบปลาหมูทอดเกรียม ๆ เป็นอย่างไร ปลาสดเขาก็มีนะวันนี้เป็นปลากดคังใหญตัว 2-3 กก. แพงไป กก.ละ 250 บาท ตอนเราจับได้ กก.ละ 50 ก็ไม่มีใครซื้อ นอกจากนี้ก็มีปลาเค้า ปลาฉลาด ปลากด ปลาเนื้ออ่อน ฝากไว้ก่อน ขากลับจะมาแวะเอาปลาสลาด กินแล้วจะได้ฉลาดมั่ง
........เลยตลาดนัดปลาริมทางรถไฟก็เป็นทุ่งนา มีโรงงาน โรงเรือนกำลังเกิดขึ้นประปราย ยาว ไปจนถึงแยกหนองไม้เค็ด คนละเค็ดกับตรงออกจากพนม นี่เค็ดติดศูนย์ราชการปราจีนบุรี เห็น ศาลากลางยังกะโบสถ์วัดอยู่ใกล้ ๆนี่เอง ปกติเลี้ยวขวาลัดไปตลาดสดศาลสมเด็จพระนเรศวร ได้ แต่วันนี้ลูกสาวเขาขับ ตัดตรงไป จะไปตลาดกระท้อน ห่างไปสัก 200 เมตร แผงลอยขาย ผลไม้เริ่มจากตรงนี้ไปยาวไปสักห้ากิโลเมตร จนถึงตลาดหนองชะอม เชิญชอปให้สะใจโลดยาย เจ้าแรกได้กระท้อนสามกิโลร้อย ยายว่าถูก เคยซื้อโลละหกสิบ เอาใหญ่เลย ตามสบายนะโยม ของีบก่อน มาตื่นอีกที ตรงแผงขายผลไว้ใกล้วัดเต่า เสียงต่อรองกะท้อน สามกิโลร้อย แต่ลูก ใหญ่กว่าที่ซื้อแล้ว อยากได้หน่อไปไปทำกับข้าวหน่อยยาย ชี้ให้ดูแม่ค้าบอกโลยี่สิบ ยกถุงให้ 100 บาท 5 โล ได้กะท้อนสองร้อยบาท ถามแม้ค้าหนังขายยังไง แม่ค้าบอกหกสิบ ขอห้าสิบ ไม่ยอมลด ยายถามจะเอาหนังไปทำอะไร มีข้าวเหนียวในรถกระติ๊บหนึ่งอุ่น ๆอยู่ กินกับหนัง อร่อย ขอซักโลสิแม่ค้า จะเอาสองโลยายบอกโลเดียวพอ 

.......แกะเปลือกหนังลูกหนึ่งยื่นให้ยาย อะไรใครซื้อน้อยหน่า ไม่มีใครตอบเห็นกินเอา ๆ คงอร่อย เราและเด็กก็กินกัน น้อยหน่าหนังขนาดใหญ่ ห้าลูกต่อกิโลกรัม ยายซัดคนเดียวซะ สองลูก สงสัยทานข้าวเที่ยงไม่ได้แหงเลย เราลูกเดียวก็แทบกินไม่หมด หันมาเห็นเรากินน้อย หน่ากับข้าวเหนียว ยายถามกินเข้าไปได้ไง ก็ยายไม่รู้อะไร คนชนบทเขากินง่าย ๆ มะขามหวาน กับข้าวเหนียว กินอิ่มนับหนึ่งมื้อได้เลยนะนั่น มะม่วงเปรี้ยวจี๊ดลูกเล็ก ๆ เวลาสุกเปรี้ยวอมหวาน มันเกิดเองเวลาสุกเด็ก ๆไปเฝ้าเก็บแต่เช้ามืด ได้มาห้าหกลูกดีใจแทบตาย พ่อเอามาปาดรอบ ขวั้นเปิดเปลือกออก บีบเมล็ดใส่จาน เปลือกก็เป็นกระบอก อัดข้าวเหนียวให้เต็ม บีบให้คลุก กับเนื้อมะม่วง แจกคนละอัน ๆ สองกระบอกอิ่ม ไปโรงเรียนได้ น้อยหน่าลูกโตขนาดนี้ กินกับ ข้าวเหนียวอุ่น ๆ อร่อยมาก ขนาดกำปั้นลูกพม่ายังเอาด้วยกินน้อยหน่ากับข้าวเหนียว อร่อย ๆ ยายถามหนังที่ซื้อมากินกับข้าวเหนียวอยู่ไหน ทำไมไม่เอามากินล่ะ เลยบอกหมดแล้ว อ้าว ไม่เห็นเอามากินหมดได้ไง เลยต้องเฉลย หนังที่ว่าก็คือ น้อยหน่าพันธ์หนัง มิใช่หนังวัวหนัง ควายแบบที่ตาชอบซื้อไปทำแกงขี้เหล็ก เห็นหัวเราะแหะ ๆ คงนึกว่าหนังจริง ๆ 

........ได้ของครบแล้ว ก่อนกลับก็จะไปแมคโครนครนายก จดรายการมาจะไปซื้อแมคโครแปดริ้ว กลัวไปถึงค่ำเลยชวนกันแวะแมคโครนครนายก อ้าวมันจะเหมือนกันไหมล่ะตา อ๋อไม่ต้องห่วง ยายมันคิดเงินเราเหมือนกันแน่นอน สินค้าก็คล้าย ๆกันนั่นแหละ ใช่จริง ๆ ใหญ่โตไม่เบา สินค้า มีมากกว่า คนขายเด็กและสวยกว่า อันนี้ไม่กล้าบอกหรอก ตาดูหูฟัง พอแล้ว ปล่อยแม่ลูกและ หลานไปกัน เราเดินสำรวจไปทั่ว ไม่เคยมานี่นา เดินเหนื่อยมาแวะร้านกาแฟจิบจนหมดแก้วหนึ่ง ยังไม่เสร็จต้องออกไปดู โน่นอยู่เขียงหมู เห็นเขาชั่งนึกว่าของร้านขายอาหาร ที่แท้ของยาย กระดูกอ่อนหมู เนื้อหมู กว่าจะเสร็จเชคบิลสี่พันกว่าบาท ค่อยตัวเบาหน่อย ไม่งั้นคงหนักก้าวขาไม่ออก
........ออกจากแมคโครบอกจะพาไปกินส้มตำ ก็ตามไปเพราะนั่งรถคันเดียวกันนี่นา ร้านริม ทาง ดูสภาพร้านชนบทจริง ๆ น่าจะทำส้มตำอร่อยนะ แต่ผลไม่ผ่านการประเมิน ทั้งไก่ย่าง ทั้งส้มตำ ผ่านข้าวเหนียวนึ่งอย่างเดียว เพราะยังอุ่น ๆอยู่ ก็ไม่ได้บ่นอะไรเพราะอิ่มอยู่ กินคำ สองคำก็เลิก ที่เหลือใส่ถุง ทาโรกับ คุกกี้แก่พร้อมรับเสมอ เสร็จข้าวเที่ยงตอนบ่ายสองก้ควรจะ กลับบ้านได้แล้ว ง่วงเต็มที ขึ้นรถได้ก็ขอหลับละ ตื่นอีกทีได้กลิ่นกองขยะแสดงว่ามาทาง หมูบ้านเบญจเพชร เสร็จธุระก็กลับถึงบ้านค่ำพอดี จบเนาะเดินทางไกลไปหากะท้อน ได้เยอะ นะจ่ายไปห้าร้อยคูณสาม ก็สิบห้ากิโล สะใจซื้อมากินนะเนี่ย บรรลุเป้าหมายแล้วจบเนาะ สวัสดี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น