วันพฤหัสบดีที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

บุญ สั้น ๆ


                                             ไปเที่ยวเมืองจันทบุรี หาดอะไรไม่รู้สวยงามมาก

........นับแต่เกิดมา รู้ความก็ได้ยินคำว่าบุญแล้ว แม้จะไม่รู้จักว่าบุญคืออะไร แล้วรู้ได้ อย่างไร รู้สิครับวัดที่บ้านเขามีบุญบ่อย ๆ เราเด็ก ๆ ก็ได้ไปวัดกับพ่อแม่ ได้เจอเพื่อน ชวน กันเล่นที่ลานวัดใต้ร่มโพธิ์ร่มไทร หมากหนอน หมากลี้(ซ่อน) ตากะโหลก หมากเก็บ แล้ว แต่อารมณ์เพื่อนจะพาไปเล่น พ่อแม่มาทำบุญก็อยู่บนศาลาโน่น เด็ก ๆก็สนุกกันส่งเสียงดัง เจี้ยวจ้าว ไม่นานมัคทายกก็ลงมาให้พร ....อ้ายเด็กบ้า พวกมีงอย่าส่งเสียงดังนักซิวะ พระ กำลังเทศน์...ก็เงียบไปพักใหญ่แล้วก็ลืม วันที่ชาวบ้านมีงานบุญที่วัด เด็ก ๆ พวกเราก็สนุก
........เช้า ๆ พระเดินแถวบิณฑบาตไปรอบ ๆหมู่บ้าน แม่ พี่สาว ถือกระติ๊บข้าวเหนียวไป ยืนรอริมถนน พระผ่านมาก็แวะให้โยมใส่บาตรกัน ใส่แต่ข้าวเหนียวล้วน ๆ กับไม่ต้องใส่ เดียวบาตรท่านจะเปื้อน ยังไม่มีถุงพลาสติคใช้ อย่างเก่งก็ใบตองกล้วย ห่อเรียบร้อยแบบ ข้าวต้มมัดก็ใส่ได้ กับข้าวชาวบ้านจะหิ้วปิ่นโต หรือหม้อแกง ตามไปที่วัด เรียกว่าไปจังหัน นี่ก็ว่าเป็นการทำบุญ บุญที่รู้จักตอนนั้นมักเกี่ยวข้องกับวัด กับพระ
........สมัยบวช รู้จักบุญมากแล้ว เห็นคนทำบุญบ้าน เห็นเขาแห่กันฑ์หลอน เห็นเขาให้ ทานคนยากคนจน เห็นเขาบริจาคสิ่งของช่วยคนประสบภัยต่าง ๆ เลยได้รู้ว่าบุญมีขอบเขต กว้างขวาง ยิ่งได้อ่านตำราธรรมะก็ยิ่งเข้าใจได้มากขึ้น บุญกิริยาวัตถุ 3 บุญกิริยาวัตถุ 10 ทำไมมีหลายอย่างเหลือเกิน เลยตั้งใจอ่าน แบบ 3 ข้อคือ ทานมัย สีลมัย และภาวนามัย ส่วนแบบ 10 ข้อค่อยว่ากัน
........ทานมัย บุญได้จากการให้ทานมีสองอย่างคือ ให้สิ่งของเรียกอามิสทาน ให้ความรัก ความเมตตา ให้อภัย เป็นนามธรรมเรียกชื่อธรรมทาน น่าจะรวมถึงการให้สติปัญญาด้วย สีลมัยบุญได้จากการปฏิบัติศีล ปฏิบัติจริง ๆ เช้ามาก็สมาทานศีลห้า แล้วปฏิบัติตลอดวัน อยู่ บ้านก็มีศีล ไปทำงานก็มีศีล ร่วมกิจกรรมชุมชน สังคม ก็ไปแบบคนมีศีล ปฏิบัติศีลแบบนี้ ถึงจะได้บุญมากดี ภาวนามัย บุญได้จากการภาวนา การภาวนามี 2 แบบ แบบชาววัดกับ แบบชาวบ้าน ชาววัดภาวนามีสองแบบคือสมถะและวิปัสสนา บุญจากสมถะคือสมาธิ ณาน ภาวนาแล้วไม่ได้สมาธิ ไม่ได้ฌาน แสดงว่ายังไม่ได้บุญจากสมถะ วิปัสสนาเพื่อเห็นรูปนาม เห็นไตรลักษณ์ วิปัสสนาสามวันเจ็ดวัน ยังไม่รู้เลยว่าเห็นรูปนามคืออะไร เห็นไตรลักษณ์ เห็น อย่างไร แสดงว่ายังไม่ได้บุญจากวิปัสสนา
.........ภาวนามัยแบบชาวบ้าน ภาวนาแปลว่าอบรม แปลว่าฝึกฝน ผลจากการภาวนาแบบนี้ จะได้ปัญญา ได้ความฉลาด โมหะความโง่เง่าก็ถอยไป พ่อแม่พี่น้อง จะสอนบุตรหลานให้ ฉลาด หายจากความโง่ อะไรทำไม่เป็นก็ทำได้ โตขึ้นก็สอนยากขึ้น เพราะสิ่งต้องฉลาดรู้ ทำได้มีมากขึ้นก็ส่งไปเรียน ก็ไปอบรมนั่นแหละ ได้สติปัญญามามากบ้างน้อยบ้าง แต่ก็พอ จะนำไปใช้ทำมาหากินได้ ภาวนาแบบชาวบ้านผลที่ต้องการคือความฉลาด ความมีสติปัญญา ดังนั้นเราจึงถือว่า ความฉลาดรอบรู้หรือสติปัญญาก็คือบุญกุศลนั่นเอง ตรงกับชื่อด้วย กุสละ แปลว่าความฉลาด อยากได้บุญแบบชาวบ้านต้องภาวนามาก ๆครับ ภาวนาประถม 6 ปี ภาวนาต่อมัธยม 6 ปี ภาวนาอุดมอีกสัก 4 ปี คงได้บุญคือสติปัญญาพอออกมาทำมาหากิน
ได้
.........บุญจากหัวข้อบุญกริยาวัตถุ 10 สำหรับ 3 ข้อแรกตรงกัน เพิ่มมาอีก 6 คือ ข้อที่
4.อปจายนมัย การประพฤติอ่อนน้อมถ่อมตน ก็เป็นบุญ
5.เวยยาวัจจมัย การขวนขวายบำเพ็ญประโยชน์ต่อผู้อื่น
6.ปัตติทานมัย บุการให้ส่วนบุญที่ได้บำเพ็ญมาแล้ว
7.ปัตตานุโมทนามัย การยินดีในกุศลที่ผู้อื่นได้กระทำแล้ว
8.ธัมมัสสวนมัย การฟังพระสัทธรรม
9.ธัมมเทสนามัย การแสดงพระสัทธรรม
10.ทิฏฐุชุกรรม การกระทำความเห็นให้ตรงถูกต้อง
..........บุญที่ได้จากการปฏิบัติตามหลัก บุญกริยาวัตถุ 3 หรือบุญกริยาวัตถุ 10 ล้วนเป็น ความดีงาม ความฉลาด ความถูกต้อง ทุกบุญเกิดขึ้นจากการกระทำในปัจจุบัน รับผลได้เลย ในปัจจุบัน ตัวอย่าง ทำทาน จะให้รอผลชาติหน้า ไม่ดีมั้ง ปฏิบัติศีล รอผลชาติต่อไปดีหรือ นั่งกรรมฐาน วิปัสสนา จะเอาบุญชาติต่อไป ใครจะยอม ยิ่งข้อ 4-10 ชัดเจนต้องการบุญใน ปัจจุบันนี้แหละ ใครฟังเทศน์แล้วจะรอเอาบุญชาติหน้า ชาตินี้แหละ ฟังให้รู้เรื่องไปเลย ระวังนะ หวังจะไปรับชาติหน้าบ่อย ๆ เดี๋ยวก็ได้ไปรับกันจริง ๆ แล้วจะหนาว เหมือนชาวบ้าน หลอกกันว่า ทำบุญสร้างโบสถ์ สร้างศาลา บุญมหาศาล มีวิมานเกิดรอแล้วบนสวรรค์ อีกไม่ นานคงต้องไปรับบุญ ก็กลัวตายสิ ต้องหนีไปจำพรรษาที่อื่นไม่บอกใคร ออกพรรษาแล้ว
ค่อย
กลับมา เทวดาลืมแล้ว ได้ฟังก็ขำ ๆนะ แต่เขาเชื่อกันจริง ๆ 
........บุญที่ต้องใช้ในปัจจุบัน เห็นได้ชัด ๆอย่างศีล สรรพคุณของศีลก็คือ สีเลนสุคติง ยันติ สีเลนโภคสัมปทา สีเลนนิพพุติง ยันติ เพราะศีลนี่แหละทำให้ ไปถึงสุคติ เพราะศีล ทำให้สั่งสมโภคสมบัติได้ง่าย เพราะศีลทำให้ไปถึงนิพพุติ ฟังกันมานาน แต่ไม่ค่อยได้ สนใจนักหรอกว่าหมายความอย่างไร เพราะศีล ทำให้ยันติ คือไปยัง สุคติ นึกเลยไปสวรรค์ พรหมโลกกันโน่น ถามว่ามีใครยินดี สุคตึง ยันติ จริง ๆ บ้างอย่างเก่งก็แค่ สาธุ ๆ ๆ เท่านั้น แหละน่า ความจริงพระพูดถูกแล้ว สุคติมี 4 สถานีนี่นา มนุษย์ สวรรค์ รูปพรหม และอรูป พรหม มนุษย์นี่แหละสุคติสำคัญ เพราะสถานะไม่ได้เป็นแบบอีก 3 สุคตินี่ อันนั้นเขามี
แต่
บริโภคบุญ หมดบุญก็หล่นลงมา แต่มนุษย์นี่ชื่อว่า สุคติกะเขาด้วยก็จริง แต่มันเกิดพลิกผัน กลายเป็นทุคติได้ง่าย ๆ พระท่านจึงสอนว่า สีเลนสุคติง ยันติ มีศีลค้ำไว้ก็ยังพอเป็นสุคติ ได้อยู่ ทุศีลเมื่อใดก็กลายเป็นทุคติได้เมื่อนั้น 
.........ขออีกบุญที่ต้องใช้ในปัจจุบัน บุญจากการภาวนา การอบรม ภาวนาแบบชาววัดบุญ คือ สมาธิ ฌาน และการบรรลุอริยสัจ ต้องการใช้ในชาตินี้แหละ ใครจะเสียเวลาภาวนา เพื่อเอาผลไปใช้ชาติหน้า ยิ่งการบรรลุนิพพานยิ่งต้องการบรรลุชาตินี้แหละ บรรลุแล้วก็จบ ไม่มีนิพพานในชาติหน้าหรอก ที่พูดนิพพานชาติหน้าเขาหมายถึงชาตินี้ยังไม่บรรลุ ขอให้ ได้บรรลุในชาติหน้าเถิด เขาหมายถึงอย่างนี้ บุญจากการเจริญภาวนาแบบชาวบ้าน คือไป อบรมแล้วได้บุญคือสติปัญญา หลักสูตร 3 วัน 7 วัน ได้ความรู้ก็คือบุญ ไปเรียนสามปีหกปี ได้บุญคือความรู้สติปัญญา เอามาใช้ชาตินี้แหละ ไม่มีใครเรียนเพื่อเอาไปใช้ชาติหน้าหรอก ที่มีบางคนตายก่อน นั่นมันเป็นอุบัติเหตุ ไม่ใช่เขาตั้งใจเอาวิชาความรู้ไปใช้ชาติหน้าหรอก
..........ก็คงพอสมควรจะทำความเข้าใจตรงกันได้ ว่าบุญคือความดี หรือที่เรียกว่า กุศล เพราะทำให้เกิดความฉลาด ที่มาแห่งการทำให้เกิดบุญเรียก บุญกิริยาวัตถุ 3 อย่าง หรือ 10 อย่าง ทำได้มาคือความ ดีงาม ความชอบ ความยินดี ความพึงพอใจ รวม ๆ เรียกว่าบุญ จำเป็นต้องเอามาใช้ในปัจจุบันนี่แหละ ผมปฏิบัติศีล ได้บุญ กายวาจาเรียบร้อยดี ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอชาติหน้าถึงจะมีกายวาจาเรียบร้อย ผมอบรมภาวนา ได้ความรู้ความฉลาด อบรม นานหน่อย เรียนอยู่ประถม 4 ปี เรียนที่วัดตั้ง 7 ปี เรียนมัธยมต้น 3 ปี มัธยมปลาย 3 ปี เรียนปริญญาตรี อีก 4 ปี ปริญญาโทอีก 2 ปี บุญที่ได้รับคือ ความฉลาด ความรู้ สติปัญญา ใช้ในปัจจุบันนี่แหละครับ ไม่รอชาติหน้าหรอก อ้าวแล้วไม่กล้วตกนรกหรือ กลัวทำไมครับ ไป นรกต้องใช้บาปนี่ ทำมากๆเขาเชิญไปเองแหละ กลัวก็อย่าทำบาปซิ

                                                                            ....สวัสดีครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น