วันอังคารที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ความรักกับความทุกข์

ข้อเขียนจากเวบไซท์ เดิมเป็นบทสนทนา

เรื่อง ที่ใดมีรักที่นั่นก็มีทุกข์

.........ปุจฉา อาจารย์คะ ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์ พระท่านสอนอย่างนี้ ทำไมล่ะคะคนรักกันดีกว่าชังกัน
มิใช่หรือคะ ?
.........คุณน้องจ๋าเล่นมาถามกันแบบนี้ก็ลำบากใจแย่ซิ ก็รู้ ๆ กันอยู่เดี๋ยวโรคหัวงูกำเริบตอบผิดตอบถูกไม่รู้ด้วยนะเอ้อ สาวไม่น้อยเกินร้อยชั่งมานานแล้วเธอมีปัญหาครอบครัว เพราะความสวยของเธอนั่นแหละ มีลูกสามแล้วยังมีหนุ่ม ๆ ด้อม ๆ มอง ๆ สวามีก็เลยเกิดอาหารหึงครั้งแรกก็หึงหน่อย ๆ นานเข้า ๆ ก็ลุกลามเป็นทะเลาะเบาะแว้ง ในที่สุดบ้านเลยแตก คุณเธอหันหน้าเข้าวัดบ้าง เลยได้ยินหลวงพ่อเทศน์ว่า "ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์" กลับมาเจอกันที่ทำงานเลยมีคำถามที่ไม่อยากจะตอบ แต่พอมองตาคนถามก็รู้ว่าเธอ อยากทราบจริง ๆ เอ้าตอบก็ตอบ
......... ความรักพอจะแยกได้ 2 แบบ คือความรักที่มีกุศลธรรมกำกับ และความรักที่มีอกุศลกำกับ รักที่มีกุศลกำกับเช่น รักจะทำ จะพูด จะคิด ในทางที่ดีงาม นักเรียนรักอยากเรียนหนังสือ คนทำการงานรักอยากทำการงาน ทำหน้าที่ให้ดีให้เรียบร้อยแบบนี้เป็นความรักที่มีกุศลกำกับ ไม่ค่อยมีปัญหามากนัก ที่หลวงพ่อท่านว่าเป็นพวกที่อกุศลกำกับโดยพาะ ความรักที่มีกิเลสคือความโลภ เป็นเจ้านายคอยบงการ มันจะคอยโอกาสเข้าครอบงำเราทันทีที่ตกอยู่ในกระแสแห่งความรัก เช่นรักพ่อ รักแม่ รักพี่ รักน้อง รัก
เพื่อน รักสมบัติพัสถาร มันจะคอยชักใยให้เรายึดมั่นถือมั่นว่า ของกู ๆ ๆ ๆ ๆ ตลอดเวลา ในห้วงที่ความรักกำลังเจริญรุ่งเรืองอยู่ ไม่ค่อยมีวี่แววว่าจะมีความทุกข์แอบแฝงหรอกครับ แต่กลับทำให้คนที่มีความรักรู้สึกสดชื่น แจ่มใส แบบโลกทั้งใบเป็นของเราคนเดียว ทำนองนั้น อย่างเช่น....
...............รักพ่อแม่ ปกติพ่อแม่ก็รักบุตรธิดาอยู่แล้ว ยิ่งเราเป็นคนดีท่านยิ่งรัก เรา ๆ ก็รักและเคารพพ่อแม่ สุขใจจริง ๆ ครับครอบครัวอบอุ่นรักพี่รักน้อง หวังดีต่อกัน ช่วยกันทำกิจต่าง ๆ สบายใจ ไปโรงเรียนด้วยกัน ทำงานบ้านช่วยกัน ไปเที่ยวด้วยกันมีพี่น้องไปด้วยสบายใจ ยามลำบากพี่น้องก็เกื้อกูลกัน สบายใจครับรักเพื่อนพ้อง เพื่อนเรียน เพื่อนทำงาน เพื่อนร่วมสุขร่วมทุกข์ มีเพื่อนดี ๆ รักใคร่กันเป็นความสุขที่หาได้ยากครับ  
...............รักเพื่อนต่างเพศประเภทรักจริงหวังแต่งทำนองนั้น ดูเหมือนโลกทั้งใบจะกลายเป็นสีชมพูไปหมด สุขจริง ๆ ขนาดนั่งคุยกันริมคลองน้ำเน่ายังไม่ได้กลิ่นน้ำเน่าเลย ประมาณนั้น
..............รักสมบัติพัสถาร ยิ่งได้เยอะยิ่งสุข ทั้งบ้านที่ดินม้ารถทศพล สุขใจจริง ๆ ครับ ไม่มีก็ขวนขวายหา
ก็ความรักมันทำให้สุขกายสุขใจปานนั้น 
..............แล้วที่หลวงพ่อว่ามันมีทุกข์ อยู่ตรงไหน คำตอบง่ายนิดเดียว พระท่านว่า การพลัดพรากจากสิ่งที่เรารักใคร่เป็นทุกข์ นั่นแหละครับคือคำตอบวันใดที่พ่อแม่ล้มหายตายจาก เป็นไงครับ ทุกข์สามวันเจ็ดวันยังไม่ลืม พี่น้องผองเพื่อนจากกันไปยังห่วงหาทุกข์ใจครับ ยิ่งพลัดพรากจากคนรักจากสามีภรรยา ขนาดบ้านแตกทุกข์ขนาดไหนล่ะครับ ยิ่งถ้าบุตรธิดาพลัดพรากจากไปอยู่ที่อื่น ใจหายครับ ยิ่งจากแบบไปลับไม่มีวันกลับแทบขาดใจกันเลยมิใช่หรือ แล้วความทุกข์บ้า ๆ บอ ๆ พวกนี้มันมาจากไหนล่ะครับ สืบไปสืบมาเจอ  ต้นตออยู่ที่ความรัก เรารักสิ่งใดเมื่อพลัดพรากจากสิ่งนั้นทุกข์เข้ามาทันทีครับ รักมากทุกข์หนัก รักน้อยทุกข์เบา ๆ ไม่รักไม่หลงก็ไม่ทุกข์ครับ 
...............ตัวอย่างลูก ๆ ทำดินสอหายแท่งหนึ่งร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรเพราะแกรักมากเสียดาย แต่คุณแม่กลับหัวเราะบอกว่าไม่เป็นไรแม่ซื้อให้ใหม่สวยกว่าของเก่า เพราะคุณแม่ไม่ได้รักดินสอแท่งนั้นแบบที่ลูกเขารักก็เลยยิ้มได้น่ะซิขอรับ
..............คำสอนหลวงพ่อก็คงมีความหมายประมาณนี้แหละครับ เจตนาท่านอยากจะบอกว่า ที่เราทุกข์กายทุกข์ใจ ก็เพราะเราไม่รู้จักความรักมัน ถ้ารู้จักก็จะได้เพลา ๆ ใจมันไว้บ้าง เวลาพลัดพรากก็จะได้รู้ทันไม่เจ็บมาก คงพอเข้าใจความหมาย ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์ได้บ้างนะครับ
---------------------------
ขุนทอง ตรวจทาน 1/8/59

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น