วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2561

ทำบุญเพื่อชาตินี้เถอะน่า


                                              ป้าพุด  ขุนทอง  ป้าทุม สามพี่น้อง มาช่วยงาน
                                                         ในงานศพลุงบัวทอง ศรีประจง

                                                                       ---------------

.............ทำบุญเพื่อชาตินี้ดีกว่ามั้ง .........นับแต่รู่จักบุญว่าเกิดจาก ทานมัย สีลมัย และภาวนามัย ทำให้เข้าใจได้ว่า เมื่อก่อนเราเองก็เคยเชื่อว่าทำบุญเพื่อหวังผลในชาติหน้า และเป็นความหวังที่ไม่เหมาะไม่ควร ก็ใครจะไปรู้ ล่ะครับว่า......ชาติหน้าจะเกิดเป็นอะไร จะมีโอกาสถามหาบุญที่ทำไว้ไหม บุญที่ว่านั้นก็คือ ผลจากการทำบุญ เชื่อไหมว่า ผลการทำบุญต่าง ๆเหมาะสำหรับให้ผลในปัจจุบัน มากกว่า ชาติหน้า  มาพิจารณาดูกันชัด ๆ
............ทานมัย ผลบุญคือชำระโลภให้เบาบางจากใจ ชำระชาตินี้ดีกว่า รอให้ไปถึงชาติหน้า ไม่น่าจะถูกต้อง เหมือนเราทำบุญตักบาตร ผลก็คือทำให้ความโลภเบาบางจากใจเรา ทำเสร็จก็รับผลทันทีเลย ไม่ต้องรอชาติหน้าหรอก ทำบุญบ้าน ทำบุญกฐิน ขุดบ่อ ก่อศาลา ทำสิ่งที่เป็นสาธารณประโยชน์ ทานเหล่านั้นให้ผลปัจจุบันนี่แหละ โลภตัวใหญ่ ถูกขัดล้างออกไปเรื่อย จิตใจก็ผ่องใส กลายเป็น จิตเต อสังกิลิฏเฐ สุคติปาฏิกังขา นั่นไง จิตที่ไม่เศร้าหมอง ย่อมไปสู่สุคติ .......อะไรคือสุคติ ท่านบอกมี 4 ภพภูมินะ มนุสส สวรรค์ รูปพรหม และอรูปพรหม นี่แหละสุคติ..... อ้าวงั้นเราอยู่มนุสโลกก็เป็นสุคติแล้วสิ แน่นอน อยู่สุคติภพจริง แต่จิตใจจะสุคติด้วยหรือไม่ ต้องถาม..... เป็น จิตเต อสังกิลิฏเฐ ไหม ถ้าใจคุณ อสังกิลิฏเฐ มันก็เป็นสุคติได้ แต่ตรงข้าม ถ้าใจคุณ สังกิลิฏเฐ เพราะถูกกิเลส ครอบงำ มนุสภพของคุณก็ไม่เป็นสุคติ....... เอ๊ะยังไง มนุสสภพ เป็นสุคติบ้าง ไม่เป็นบ้าง แล้วจิต เศร้าหมอง ไม่เศร้าหมองนี่เกิดจากอะไร 
.......พุทธธรรมมีสอน อกุศลมูล และกุศลมูล ให้ศึกษาแล้วจะเข้าใจได้ว่า โลภะ โทสะ และโมหะ กิเสสามตัวนี้เป็น อกุศลมูล ทำให้จิตเศร้าหมอง ต้องพยายามชำระออกไป ให้เกิด อโลภะ อโทสะและ อโมหะ แทนบ้าง... สามตัวนี้เป็นกุศลมูล ทำให้จิตสะอาดเป็น อสังกิลิฏเฐ เมื่อทราบเช่นนี้ เราต้องระวัง อกุศลมูล
มิให้เกิดกับจิตของเรา พยายามให้ กุศลมูลเกิดบ่อย ๆ จิตเราจะได้เป็น "อสังกิลิฏเฐ" มากขึ้น ทางธรรมท่านแสดงไว้ชัดเจนว่า ขำระ โลภด้วย ทานมัย ชำระโทสะด้วยสีลมัย และชำระโมหะด้วยภาวนามัย คือที่เรียกกันบ่อย ว่าทานมัย สีลมัยและภาวนามัยนั่นแหละ... กล่าวคือวิธีการทำบุญที่เรารู้จักกันนั่นเอง การทำบุญมีจุดประสงค์สำคัญคือ ได้บุญ บุญที่ได้คือ ตัวชำระโลภะให้เบาบางลง ไม่ตระหนี่ถี่เหนียว รู้ให้ รู้จักแบ่งปัน อีกตัวคือตัวศีลสำหรับชำระโทสะให้เบาบางลง เป็นคนมีน้ำใจ มีเมตตากรุณา มั่นในศีลธรรมดีงาม ส่วนตัวภาวนาบุญคือความฉลาดรอบรู้ ยื่งมีมากยิ่งดี
......ทานมัย ทำทานแล้วผลทานคือโลภะเบาบางลง นั่นคือบุญที่ได้รับจากการทำทาน แล้วจะได้รับบุญเมื่อไรล่ะ ก็ได้รับทันที่ที่ทำทานนั่นเอง กล่าวคือรับผลทำทานได้ในสมัย ปัจจุบันนี่เอง มิใช่ชาติหน้า 
สีลมัยการปฏิบัติศีล..... ผลคือกายวาจาสงบเรียบร้อยเรียกว่าเป็น บุญที่ได้จากการปฏิบัติศีล ได้รับทันที
ที่ปฏิบัติศีล แล้วจะได้รับเมื่อไรล่ะ ก็ได้รับปัจจุบัน เช่นกันไม่ใช่กายวาจาไปสงบเอาชาติหน้า ภาวนามัย การฝึกอบรม กำจัดโมหะความโง่ เขลาแล้วความฉลาดคือปัญญาก็เกิดบุญคือความฉลาด ปัญญาที่ได้รับ รับในปัจจุบัน ด้วยเช่นกัน ดูการศึกษาเล่าเรียนเป็นตัวอย่าง การศึกษาเล่าเรียนเป็นการภาวนาอบรมอย่าง หนึ่ง เรียนจบสติปัญญาก็เกิด และเกิดในปัจจุบัน ไม่ใช่ไปเกิดความรู้สติปัญญาในชาติหน้า ........ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาแล้ว... พอจะเข้าใจได้แล้วว่า เราทำบุญก็เพื่อชำระโลภะ โทสะและโมหะ ต้องชำระทันทีที่ทำบุญ คือชำระกันในชาตินี้แหละมิใช่รอไปชำระในชาติหน้า .....แบบไหน
.........อ้อทำทานเพื่อขัดเกลาโลภะ นี่สำคัญมาก ถ้าทำทานแล้วไม่ได้ขัดเกลาโลภะ ก็เป็น การทำทานไร้สาระ มีด้วยหรือทำทานแบบไร้สาระ มีสิ ทำทานที่ไม่สามารถทำให้โลภะเบา เบางลง เนื่องจากมีคนอยากให้ทำทานกันมากเลยมีคนหาเรื่องจูงใจว่าทำทานแล้วจะได้ผลดี อย่างนั้นอย่างนี้ เช่นทำทานแล้วเกิดชาติหน้าจะร่ำรวยเงินทอง ทำทานแล้วจะได้เกิดบน สวรรค์มีวิมารแก้ววิมารทองเป็นที่อยู่ มีบริวาร
รับใช้นับร้อยนับพัน ทำทานลงทุนไม่กี่บาท อยากได้อานิสงส์ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น ละโลภค่าสิบบาท  ร้อยบาทเอง โลภตัวใหม่ใหญ่กว่าเดิมก่อนทำทานหลายร้อยเท่า  วิธีการทำทานที่ดีต้องทำด้วยความเข้าใจ พอใจ ละโลภได้จริง ๆ เหมือนเราให้สิ่งของเงิน ทองแก่ลูกหลาน ไม่เคยอยากได้อะไรตอบแทน การทำทานควรจะเป็นเช่นนั้น บุญก็จะได้เต็ม ๆ 
.........เราถือศีลเพื่ออบรมพฤติกรรมทางกายวาจาให้เรียบร้อย ฝึกควบคุมพฤติกรรมการ ฆ่าสัตว์ ทำร้ายสัตว์ ทรมานสัตว์ ศีลข้อ 1 กำกับอยู่   ฝึกเคารพกรรมสิทธิ์ในสินทรัพย์ของ ผู้อื่น ศีลข้อ 2 กำกับอยู่ ฝึกเคารพสิทธิการครอบครองบุตรภรรยาของผู้อื่น ฝึกการให้ความ เชื่อภือไว้วางใจในการติดต่อสื่อสารกับผู้อื่น ฝึกหลีกเลี่ยงการเสบสุราเมรัยอันอาจทำให้เกิด ความประมาท ผลการปฏิบัติศีลทุกข้อเป็นเรื่องดีงาม ผลก็เกิดทันทีที่ถือปฏิบัติ เกิดทันทีในชาตินี้มิใช่รอไปชาติหน้า ........การ.ภาวนาคือการฝึกอบรม สมถ วิปัสสนา ก็คือการภาวนาด้วยเช่นกัน การภาวนาทุก อย่างมุ่งขจัดโมหะความเขลา และทำให้เกิดความฉลาด รอบรู้คือปัญญา ก็คือบุญนั่นเอง ภาวนาธรรมดาทั่วไป ผลภาวนาคือความรู้ ปัญญา ความฉลาด เช่นกัน...ตัวอย่าง เราส่งลูกไปอบรม ประถม จบประถมควรได้รับผลคืออ่านออกเขียนได้ ก็คือความฉลาด ปัญญาได้จากอบรม นั่นเอง ส่งไปเรียนต่อมัธยม จบแล้วก็ได้รับผลคือความรู้ตามเกณฑ์ระดับชั้นนั้น ๆ ความ รู้ความสามารถที่ระบุคือบุญของการฝึกอบรม หรือภาวนามัยระดับมัธยมนั่นเอง แม้ระดับสูง ขึ้นไป การศึกษาเล่าเรียนก็คือ ภาวนามัย ผลก็คือความรู้ความสามารถตามเกณฑ์มาตรฐาน การศึกษาระดับนั้น ๆ นั่นแหละคือบุญ ผลบุญของการภาวนามัย เกิดได้ในชาตินี้ครับไม่ใช่ รอให้เกิดผลหรือรับปริญญาบัตรในชาติหน้า 
........เล่ามายาวพอสมควรแล้วก็เพื่ออยากจะชวนเชิญนักแสวงบุญทั้งหลาย ลองทบทวน ให้ดีสิครับ ท่านทำบุญยังหวังหวังผลเพื่อชาติหน้าอยู่หรือเปล่า เสียดายนะครับผลที่ควรจะ ได้รับในชาตินี้สำคัญมากนะครับ อย่าทิ้งอย่างขว้างรีบตามหาให้เจอแล้วนำมาใช้ให้เป็น ประโยชน์เถอะ ทำทานบุญก็คือละโลภ ละชาตินี้แหละ ปฏิบัติศีล บุญคือขัดเกลากายวาจา ให้สงบระงับเรียบร้อย นี่ก็ต้องใช้ชาตินี้แหละ ไม่ต้องไปเรียบร้อยในชาติหน้า เสียหายหมด ภาวนามัยบุญคือความฉลาด คือสติปัญญา ตัวอย่างภาวนาด้วยการไปเรียนหนังสือ บุญที่ ได้รับก็คือวิชาความรู้สติปัญญา ก็ต้องฉลาดรอบรู้ในชาตินี้แหละ ใครจะเรียนปริญญาเพื่อเอาไปใช้ ในชาติหน้า อย่างกระผมคนหนึ่งละ ไม่เอา ใช้ชาตินี้ดีกว่า

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น