วันศุกร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2561

คิดถึงแม่




หารูปแม่ไม่ได้ โพสรูปพ่อก่อนแล้วกัน


........แม่บอกว่าผมเกิด วันลับลึน เดือนเจ็ด ปีวอก เปิดปฏิทินดูตรงกับวันอาทิตย์ ที่ 4 ขึ้น 14 คำ เดือน เจ็ด พ.ศ. 2487 แม่ชอบเล่าวีรกรรมการเกิดของผมให้ฟังบ่อย ๆ ปีนั้น โรคห่า(ฝีดาษ ไข้ทรพิษ) กำลังระบาด ไม่มียา รักษาด้วยยากลางบ้าน ล้มตายกันเป็นใบ ไม้ร่วง ครอบครัวเราโดนเข้าสองคน เสียชีวิตหนึ่ง รอดหนึ่ง ขณะที่กำลังวุ่นวายกับการดูแล คนเจ็บป่วยอยู่นั่นแหละ แกก็เกิดมา ทั้งที่แม่ท้องเพียง 7 เดือน ทำให้สภาพร่างกายยัง ไม่สมบูรณ์นัก หนังท้องบางจนมองเห็นลำใส้เป็นขด ๆ กระดูกอกยังไม่เชื่อมติดดี ทุกคนตกใจ
และห่วง ว่าอาจไม่รอด ถ้าเจอไข้ทรพิษเข้าก็คงไม่พ้น แต่เดชะบุญรอดมาได้บรรยากาศโรคห่าก็ค่อย ๆสงบลง บ้านเรามีคนรอดจากเป็นไข้ 1 คน มีรอยแผลเป็นเต็มหน้าและแขนขา 
.......พ่อเขียนชื่อเด็กชายสิงห์ทอง ศรีประจง พร้อมวันเกิด ไปฝากลุงผู้ใหญ่บ้าน ชื่อ นายสมบูรณ์ โพนเงิน ลุงเป็นผู้ใหญ่บ้านบ้านแก เวลาไปประชุมที่ อำเภอกมลาไสย จังหวัด กาฬสินธุ์ จะได้แจ้งเกิดให้หลาน ก็เรียบร้อย แต่ได้ชื่อในใบเกิดมา ด.ช.ขุนทอง ศรีประจง เพราะปี้ ที่ฝากหาย ลุงก็เลยเดา ๆให้ จึงได้ชื่อขุนทอง แต่นั้นมา เรื่องนี้พ่อเป็นคนเล่าให้ฟัง 
......ผมเป็นลูกคนสุดท้องของพ่อแม่ ห่างจากพี่ชาย 5 ปี เขาเกิดปีมะโรง เราปีวอก เลย เป็นจุดอ่อนให้พี่เขาล้อว่า เขาเกิดปี มะโรง ปีมะ เทพมาเกิด แกปีลิง ก็ลิงคัก ๆ ก็ขำ ๆ นะ เพราะไม่รู้เรื่อง มารู้ภายหลังว่าพวกพี่เขาอ่านตำราพรหมชาติ ที่บ้านมีอยู่เล่มหนึ่ง เลยรู้ เรื่องนามวัน เดือน ปี เราอ่านไม่ออกได้แต่ดูรูปเล่น เพราะเป็นคนเล็ก จากจำนวน 6 คน  เลยสบาย ไม่ค่อยมีใครอยากใช้งาน พี่สาว 4 พี่ชาย 1 แรงงานเหลือเฟือ เลยถูกปล่อยให้มี อิสระ เล่นแต่เช้ายันเย็น บางวันทุ่มสองทุ่มไม่กลับ พี่สาวไปตามหา เล่นกับเพื่อนอยู่ลานวัด จนทุก คนชิน ผลดีก็มีนะ คือมีเพื่อนเล่นทั้งหมู่บ้าน แถมยังรู้จักการละเล่นของเด็กมากมาย สมัยเรียนปริญญาตรี วิชาวรรณกรรมท้องถิ่นได้เกรดเอบวก เพราะทำรายงานการละเล่น พื้นบ้านได้ละเอียดมาก 
......เป็นเด็กชอบเล่น และจดจำได้ดี พอโตขึ้น จากเคยเล่นการเล่นทั่ว ๆ ไป เปลี่ยนเป็น เกมยิงนกตกปลา พวกพี่ชายเขาทำได้ก็ขอไปกับเขา หน้าไม้ พุ อยากได้มาก หน้าไม้พ่อ ใช้ตอไม้ไผ่ทำให้ ยิงไม่ค่อยดี เลยไม่ชอบ ส่วนหน้าที่ทำด้วยไม้พยุง ประดู่ แข็งเกินเด็ก จะหน่วงสายยิงได้ ธนูพ่อเหลาคันไม้ไผ่ ทำสายให้ ยิงไม่แม่นก็เลิก มาชอบคือ พุ (ไม้ซาง) ยิงด้วยลูกดอก ยิงได้ไกล แม่นยำ ใช้ได้ ใช้มานานจนสมัยเป็นหนุ่มก็ยังใช้อยู่ ปืนแก๊ป มา ได้ใช้ตอนโตแล้ว...แล้วใช้เครื่องยิงต่าง ๆ ไปทำอะไร 
.......ช่วงเรียนประถม ล่าจิ้งจก ตุ๊กแก หนู ในหมู่บ้าน พวกสองสามคน หน้าไม้ไผ่เหลาเอง เชือกผูกเป็นสาย ลูกยิงเหลากลม ๆ ยาวสักฟุตหนึ่ง จิ้งจกอย่าให้เจอ สามคนดักหน้าหลัง มันวิ่งแอบเสาเรือนตรงรูคานสอดเสานั่นแหละ ยิงเอา ๆ ได้เป็นพวงเลยแหละ ได้เยอะ ๆ ก็เอาไปเผาให้สุกแล้วก็กินกัน ผู้ใหญ่บอกเป็นยาทรางด้วยนะ ถ้าได้ตุ๊กแกยิ่งดี  ส่วนหนูซิงนาน ๆ จะเจอซักตัว ช่วงปอสามปอสี่ ยิงพุ(ไม้ซาง)
เก่ง ก็เข้าป่านอกหมู่บ้าน เพื่อนไปเป็น กลุ่ม ๆ กลุ่มละสี่ห้าคน ล่าตัวใหญ่ขึ้น กะปอม นก ค้างคาว งูสิง กบ ปลา หัวหน้าคือรุ่นพี่ เขาจะพา ไปล่ากะปอมคือด่านแรกที่ต้องฝึก พุ คนละลำ ลูกดอกกำมือหนึ่ง เจอกะปอม ดักคนละทาง ยิงโดนหล่นลงมาก็จับใส่ตะข้อง จากเช้าจนบ่ายก็กลับบ้าน เขาแบ่งให้หกเจ็ดตัวดีใจหลาย เอามาให้แม่ ท่านเอาไปจัดการทำกะปอมแดดเดียวไว้ให้ ไม่มีใครกินหรอก พอไปเรียนเลย มีกะปอมย่างแถมห่อข้าวกับแจ่วบองไปกินตอนเที่ยง อ้อแจ่วบองฝีมือแม่นี่สุดยอดจริง ๆ ตอนเด็กไม่รู้หรอกว่าท่านทำอย่างไร มารู้ตอนเรียนมัธยม เพราะแม่ทำแจ่วบองใส่กระบอก ไม้ไผ่ ให้ไปกินที่หอพักนักเรียนที่โรงเรียนเกษตรกรรมชัยภูมิสมัยนั้นเป็นโรงเรียนกินนอน วันสองวันก็หมดแล้ว เพื่อนเยอะ 
.......เรียนรู้ทักษะวิชาชีพจากแม่ เพราะผมเป็นลูกแหง่ โตแล้วยังชอบวิ่งตามแม่ไปโน่นไป นี่ไม่เลิก ตื่นสายไม่เห็นแม่ก็ถามหาแล้วตามไป แม่จะไปสวนแต่เช้ามืด ที่สวนจะปลูกหม่อน ปลูกผัก พ่อขุดบ่อให้ใช้รดผัก ครุตักน้ำก็สานด้วยได้ไผ่ ยาด้วยชัน(ขี้ซี ผสมน้ำมันยาง) 
ตะขอตักน้ำจากบ่อ...ใช้ไม้ไผ่ลำเล็ก ๆ ยาว เจาะตรงโคน สอดด้วยลิ่มไว้เกี่ยวครุ ครุตักน้ำ จะ ทำ ฮวงไม้ไผ่ (สาย) เพื่อเกี่ยวตักน้ำในบ่อ ใช้สอดไม้คานเวลาหาบ เรามีหน้าที่วิ่งเล่น พี่ สามคนเขารดผัก พอแม่เก็บใบหม่อนก็ไปช่วยเก็บ โดนดุประจำเพราะชอบเก็บใบสีเหลือง ๆ 
ใส่ตะกร้าด้วย ก็มันสวย แม่บอกใบสีเหลือง ม้อน(ตัวไหม)ไม่กินอย่าเก็บใส่ตะกร้า กลับมา บ้าน ก็ไปช่วยแม่เลี้ยงม้อน พี่สาวยกกระด้งมาวาง เราก็หยิบใบหม่อนช่วยวาง และแอบจับ ตัวหนอนที่กำลังไต่กัดกินใบหม่อน ครูหนึ่งวางใบหม่อนทั่ว ก็เอาผ้าขี้ริ้วผ้าถุงเก่า ๆ คลุม
กระด้ง นึกว่าม้อนคงหนาวเลยคลุมให้ มารู้ทีหลังว่ามีพวกแมลงวันชอบเจาะและวางไข่ บางทีม้อน ก็ตาย ได้ยินแม่เรียกม้อนนอน 1 นอน 2 นอน 3 ตอนมันนอน 1 แม่ใช้ถ้วยคว่ำบนแผ่นไข่ ตัว บี้ (ผีเสื้อตัวไหม) เปิดมามีตัวหนอนเล็ก ๆเต็มแผ่นผ้า แม่เลือกใบหม่อนยอด
อ่อน ๆ หั่น ฝอย โปะให้ทั่ว มีสี่ห้าแผ่นต่อกระด้ง 
.......ตัวไหมในกระด้งจะโตไวมาก แม่ไปสวนเก็บใบหม่อนมาให้มันทุกวัน เราก็วิ่งตามไป วิ่งเล่น ปีนต้นฝรั่ง ต้นมะขาม ต้นมะม่วง มีมะไฟต้นใหญ่มากต้นหนึ่งอยู่ทางเข้า มันแผ่ กิ่ง ก้านกระจายรอบต้น แต่ไม่สูง เลยชอบปีนเล่นกับพวกพี่ ๆ หล่นบ่อยแม่ก็ด่าพวกพี่ ๆ ไม่เห็น ด่าเรา ปีนบ่อย ๆ ก็ชำนาญไม่หล่น แต่ชอบอวด ปีนไปปลายกี่ง จนมันหัก ทีนี้แม่ด่า บ้าง แต่ก็ช่วยปัดฝุ่น ใบไม้และช่วยดูมีบาดแผลไหม ถ้ามีถลอก ก็จะเด็ดยอด ต้น"โคกฮ้าง"(สาบเสือ)เคี้ยว ๆ โปะให้ ยังกะยาเหลืองยาแดงของแม่ มัวเล่นอยู่หลายวัน วันหนึ่งมาดู กระด้ง ม้อน เริ่มมีสีเหลือง ๆ แม่บอกมันแก่ จะชักใยแล้ว พ่อสานกระจ่อไว้ให้ห้าหกใบ ช่วยแม่เก็บตัวม้อนสีเหลือง วาง ตรงช่องใส้จ่อ ห่างกันตัวละฝ่ามือเรา เต็มกระจ่อ แม่ก็เอา ไปวางบนชั้นไม้ไผ่ให้มันชักใย จนกลายเป็นฝักหลอกเต็มกระจ่อสีเหลืองงามมาก ตอนแม่ เก็บฝักหลอกก็ไปแย่งช่วยเก็บเพราะมันสวยดี 
........พี่สาวเขาดังไฟ(ก่อไฟ)ต้มน้ำ ที่ลานหน้าบ้าน ใต้ต้นมะขามเทศให้ มีร่มเงาทั้งวัน แม่ชอบ นั่งสาวไหมตรงนี้ พี่สาวเอาหมากพวงสาวมาติดตั้งปากหม้อนึ่ง เอาตั่งไม้งิ้วที่พ่อตัดมาให้ มาวาง อีกคนยกเอากระด้งฝักหลอกมาให้ ตั้งอีกตัววางกระด้ง มีกระบุงสำหรับใส่เส้นใหม พี่สาว สามคนแย่งกันช่วยจัดที่นั่งสาวไหมให้แม่ เขาเก่งมากสาวไหมเป็นทุกคน เราแอบลองโดน เคาะมือประจำ แม่บอกยังเด็กมันยากยังทำไม่ได้ รอกินดักแด้ตอนเย็นแล้วกัน แม่จะเตรียมไว้ให้ เลิกเรียนรีบมา บางทีเห็นแม่เลิกงานพอดี พี่สาวเอากระด้งมาให้แม่เทน้ำร้อนออกจากหม้อ ก้นหม้อดักแด้เต็ม แม่เอาเกลือโรย ตั้งไฟ ใช้ไม้สาวหลอก
คน ๆ ดักแด้ล่อนออกจากใยไหม ใส่กระลามะพร้าวที่เด็ก ๆถือกันมายืนรอ แม่ให้คนละกำมือ ลูกหลานบ้านใกล้กันมาขอแม่ก็กำใส่กระลาให้ เอาไปกินกับข้าวเหนียว อุ่น ๆ หมดกะลานั่นก็หมดสิท์ธิ์ กินข้าวแลงไม่ได้ดอก มันอิ่ม แม่สาวไหมอยู่หลายวัน จนหมดฝักหลอก ได้เส้นไหมเต็มกระบุงหลายกระบุง 
........กระบุงเส้นไหมแม่จะนำมา"เหร่ง"เพื่อจัดเส้นใหมให้เป็น ไจ เป็น ปอย สะดวกสำหรับ การนำไปใช้ ย้อมสี ค้นหูก ปั่นหลอด ผมเป็นเด็กไม่มีงานทำ ก็ยืนดูแม่และพวกพี่ ๆ ทำงาน นาน ๆ ทีจะมีเพื่อนแวะมาชวนเข้าป่า ลงทุ่ง ก็ไปกะเขา เพราะสนุกกว่าอยู่บ้าน กลับมาวัน หลัง เห็นแม่ค้นหูกด้วยเส้นไหม จนได้เครือหูกยาว เครือหูกจะมีสามสี สีเขียวเข้ม สีแดง และสีขาว แม่จะทอโสร่งแบบลายพื้นบ้าน จากนั้นก็จะนำไป"สืบหูก" ฟืมทอผ้าไหม" แม่จะ เตรียมเขาทอผ้าโสร่ง สอดเขากับฟืมเรียบร้อย นำมาสืบคือเชื่อมต่อเส้นไหม เรียบร้อยก็ ค่อย ๆดึงเส้นไหมลอดฟันฟืม เสร็จก็พร้อมสำหรับการทอ....อ้อบางท่านคงสงสัยว่าเด็กอะไร จะไปรู้ละเอียดปานนั้น ครับตอนเด็กยังไม่รู้ละเอียดนักหรอก มารู้มากตอนเป็นครูครับ ผมเป็น ผู้ช่วยฝ่ายวิชาการ จะเปิดสอนวิชาการทอผ้าด้วยกี่กระตุก เชิญวิทยากรจากกรมมาอบรม 15 วันให้ภารโรงทำกี่กระตุกให้ 10 เครื่อง เปิดสอนได้ 2 ปี ก็ย้ายไปอยู่ที่อื่น
อุปกรณ์ทราบว่า ทางพัฒนากรขอไปใช้อบรมชาวบ้าน โรงเรียนก็ให้ไป ก็ดีครับใช้ประโยชน์คุ้มค่า ........บ้านเรามีผ้าไหมให้ใส่กัน พ่อและพี่มีโสร่งสวย ๆ ใส่ แม่และพี่สาวมีซิ่นไหมมัดหมี่ ไปทำบุญวัดใส่กันเต็มยศ เด็กอย่างเรา ไม่ค่อยมีอะไรกะเขา ผ้าขะม้าไหมก็ไม่ชอบ เห็นพ่อแม่ พี่ ๆ ใส่ ก็ดีใจแล้ว เด็กเราไปวัดเพื่อเล่นกับเพื่อน ๆ ใส่ชุดกีฬาก็ใช้ได้แล้ว ชุดกีฬา ก็คือ กางเกงขากุด มีหูรูดแทนเข็มเข็ด รัดแน่นดี แม่ย้อมหม้อนิล สีออกครามสวยงามตอน ใหม่ ๆ แทบไม่อยากใส่ กลัวสีตก เสื้อกีฬา ก็เสื้อหนังธรรมชาติ เปลือยน่ะ ทั้งหญิง ชาย ไม่เห็นอายกัน จะอายก็ตอนเข้าโรงเรียน ปอสอง ปอสาม นั่นแหละ แต่เด็กผู้ชายยังชอบโป้ 
อยู่เพราะเย็นตัวดี 
.......แม่เป็นนักย้อมผ้าชั้นดี ผมยืนดูบ่อย ได้ยินว่าจะมีการ ฆ่า ฝ้าย ฟอกไหม ก่อนย้อมสี ฝ้ายที่พี่สาวปลดออกจากไน เขาจะเปียด้วยเปียถักเส้นฝ้าย เต็มหลอดไน เขานับ 1 ไน หลาย ไน นับเป็นใจ หลายไจก็เป็นปอย ปริมาณเส้นมาก จะนำไปใช้งาน มันจะเปื่อยยุ่ยเลยรู้ใน เวลาต่อมาว่าที่เขา ฆ่าฝ้าย ด้วยการต้มข้าวเละ จุ่มด้วยเส้นด้ายให้เปียกชื้น แล้วสลัดออก ตากแห้ง เส้นดายจะเหนียวหนึบไม่ขาดง่าย ถึงว่าสิ ฆ่าให้เหนียว เอาไปย้อมสี ต่าง ๆได้ สีย้อมฝ้ายธรรมชาติคือ ครามจากต้นคราม สีดำจากหม้อป๋องแป๋ง หมากกะโหร่ง  สีตลาด ส่วนเส้นไหมจะมีการฟอกให้สะอาดด้วยน้ำดั่ง(ด่าง) ทำเองจากการเผา ไม้ให้เป็น
เถ้าถ่าน เอามาแช่ในน้ำ กรองเอาน้ำสะอาดเรียกน้ำดั่ง ไม้ที่นิยมเอามาทำเช่น ผักหมหนามไม้แก เปลือกบักงิ้วแห้ง กาบกล้วยแห้ง แล้วแต่หาได้ บางทีเห็นเอาขี้เถ้าจากกองไฟไปแช่เอาดั่ง ด้วย สีย้อมไหมจากตลาดมีขาย สีธรรมชาติตือสีจากครั่ง (แดงเข้ม) จากแก่นไม้เข
(สีเหลือง) ตอนย้อมสี ฝ้าย ไหม นี่ไม่สนุกเลย ดู ได้ครู่เดียวก็หนีไปเที่ยวเล่นดีกว่า 
............ใกล้วันแม่ คิดถึงแม่ ก็เลยเล่าเรื่องครั้งที่เป็นเด็กแหง่....อ้อแอบเล่าเรื่องการเลี้ยงหม่อนไหมของแม่ให้ฟังน่ะครบ เพราะผมเป็นเด็กช่างจดจำนะ เลยมีเรื่องเล่าให้ลูกหลานฟังในเวลาต่อมา ประกอบกับเป็นคนชอบศึกษาหาความรู้ สงสัยอะไรถาม กู เสมอ กูเกิล น่ะ นี่ก็ถามไปเยอะ จนได้ข้อมูลมาเล่าสู่กันฟังนี่แหละ ขอบคุณมากนะคุณกู ช่วยให้เข้าใจกิจที่แม่ทำเพื่อลูก ๆ เพื่อครอบครัว ช่วยให้ลูก ๆ ได้รับความสุขกายสุขใจที่มีแม่ ส่วนพ่อเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน เลยออกไปทางดุ เลยไม่ค่อยติดพ่อ แต่ผมชอบพ่อมากนะเพราะ พ่อฉลาด ฝีมือช่างไม้ ช่างจักสานเป็นหนึ่ง แถมเห่อลูกชายคนเล็กจนเพื่อนบ้านหมั่นใส้....... มัน เรียนเก่ง สอบได้ที่หนึ่งตลอด เที่ยวอวดคนอื่นประจำ ยิ่งตอนเมาละก็เป็นลูกเทวดาไปเลย จบ ม. 6 ได้เสื้อสามารถกีฬาจังหวัดชัยภูมิมาตัวหนึ่ง พอเราบวชพ่อแกเลยยึดไปใช้เป็นเสื้อกันหนาว ก็ขำ ๆ พี่สาวถามพ่อว่า พ่อเป็นนักบอลเล่นตำแหน่งอะไร แกก็ด่าเอาบอก....ลูกกูโว้ยมันได้มา ไม่กี่ปีก็พูดใหม่ เสื้อลูกมหา....ได้มาตอนเป็นนักเรียน เล่นกีฬาเก่ง
...จับใจมากวันที่ไปรดน้ำศพพ่อ เขาเอา เสื้อตัวนี้ใส่ให้พ่อนอนในโลงศพ เขาบอกแกสั่งไว้... แน่ะรักพ่อเหมือนกันนะ เขียนถึงแม่มาก เพราะวันแม่น่ะ คราวหลังจะเขียนถึงพ่อบ้างมีเรื่องเล่าเยอะเหมือนกัน จบแหละยาวมากแล้ว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น