วันพฤหัสบดีที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

เป็นชาวพุทธแบบไหนดี



ชาวพุทธอย่างเรา ........ขุนทอง ผู้เขียน
........กระผม...ได้ชื่อเป็นชาวพุทธตั้งแต่ไปโรงเรียน ครูพาสวดมนต์ไหว้พระ พาแสดงตน เป็นพุทธมามกะ เห็นพระก็ยกมือไหว้ แม่พี่สาวให้ช่วยถือของไปวัดก็ไปด้วย แม้ จะไปเพราะอยากวิ่งเล่นกับเพื่อน ๆก็ตาม ลานวัดกว้าง สะอาด พระเณรท่านปัด กวาดทุกวัน วิ่งเล่นสบายใจดี ถามว่ารู้จักหรือยังว่าเป็นชาวพุทธ ยังไม่รู้หรอก แต่ ใครถามนับถือศาสนาอะไร ตอบได้ศาสนาพุทธ นับถืออย่างไร ตอบไม่ถูก เคย ตอบตอนบวชใหม่ ๆว่า ชาวพุทธต้องนับถือพระรัตนตรัย ถือศีลปฏิบัติธรรม ทำบุญ ตักบาตร เข้าวัดจำศีล ฟังเทศน์ คงตอบได้แค่นี้จริง ๆ ลงลึกกว่านั้นยังตอบไม่ได้
.......จนวัยกลางคนอายุเกิน 50 ปีแล้ว สิ่งที่ยังหาคำตอบไม่ได้ก็พอจะเข้าใจและ แน่ใจว่าเป็นเรื่องที่ถูกที่ควร จนอยากนำมาเล่าให้ลูกหลานฟัง จะได้ไม่เสียเวลา หลายสิบปี แบบเรา .....ก่อนนั้นเข้าใจว่าการกราบไหว้ สวดมนต์ไหว้พระประจำเช้าเย็น.....เป็นการนับถือพุทธศาสนาแล้ว ที่จริงเป็นเพียงการแสดงความเคารพพระรัตนตรัย หรือแบบมีพระเครื่องพวงใหญ่ ๆ หรือมีห้องพระที่บ้าน มีพระ วางจนล้นโต๊ะหมู่ ก็แสดงถึงความเลื่อมใสศรัทธาอย่างมากเท่านั้น ถามว่าแล้ว เป็นการนับถือพระรัตนตรัยเป็นสรณะหรือยัง คือนับถือเป็นที่พึ่งหรือยัง...... ..ยังหรอก ที่พึ่งที่เป็นสรณะ ไม่ใช่ง่ายดายอย่างนั้น
....... ความจริงยังไม่พอหรอก แค่เริ่มต้นนับถือเท่านั้นเอง เรานับถือพระรัตนตรัย เพื่ออะไร เพราะอยากมีศาสนาคือพุทธะนั่นไง เป็นบทบังคับว่าต้องนับถือพระรัตนตรัย ดังนั้นเราจึงเห็นระเบียบการเปล่งว่าจาว่าจะนับถือ พระพุทธ พระธรรมและพระสงฆ์เป็น ที่พึ่งสำหรับคนที่อยากเป็น พระภิกษุ (ภิกษุณี) สามเณร (สามเณรี) อุบาสกอุบาสิกา ได้แก่บท พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ
ย้ำสามครั้งให้มั่นใจว่ากล่าวปฏิญาณนับถือจริง ๆ เสียดายเริ่มต้นดีแล้ว แต่ขาดการติดตามผลว่า นับถือแล้วได้ สรณะหรือยัง บางคนประสบอุบัติเหตุรถชนกัน รอดมาได้ พยายามมองหาพระเครื่องรุ่นไหน เหรียญหลวงพ่ออะไร ที่รอดได้เพราะรุ่นนั้นรุ่นนี้ เป็นที่พึ่ง ว่าไปโน่น.. ความจริงเพราะรถกู้ภัยไปถึงเร็ว  นำส่งหมอทันก็เลยรอด
......พจนานุกรมอธิบายคำว่า ที่พึ่ง : น. ผู้คุ้มครองช่วยเหลือเช่นพ่อแม่เป็นที่พึ่งของลูก สิ่งที่อาศัยยึดเป็นหลัก เช่น ได้ตําราเป็นที่พึ่ง เครื่องยึดเหนี่ยวทางใจ เช่น ยึดพระ รัตนตรัยเป็นที่พึ่ง" เวลาทุกข์ เจ็บปวด เดือดร้อน หวาดกลัว ก็จะมองหาที่พึ่ง แบบ เด็ก ๆวิ่งหาพ่อแม่ แล้วสิ่งที่ทำให้เดือดร้อนก็ค่อย ๆเบาบางลงจนหายไป จึงเรียกพ่อ แม่ว่าเป็นที่พึ่ง แล้วพระรัตนตรัยล่ะเป็นที่พึ่งแบบไหน แบบพ่อแม่ได้ไหม ไม่มีตัวตน ให้สัมผัสได้ขนาดนั้น คงยากที่จะพึ่งแบบพ่อแม่ พระพุทธก็ไม่มีแล้ว ที่เห็นอยู่มีแต่ พระพุทธรูป พระเครื่อง เหรียญ หรือรูปภาพ พระธรรมก็ไม่ต่างกันไม่รู้จะเรียกอะไรเป็น พระธรรม ชี้ไปตู้พระไตรปิฎก  ก็ลองค้นดูตรงไหนคือพระธรรม พระสงฆ์ก็เช่นกันเห็นนุ่งห่มจีวรอาจไม่ใช่พระสงฆ์ เป็นเพียงพระภิกษุ   ดูบทสวดคุณสมบัติพระสงฆ์ มี 4 ข้อ คือสุปฏิปันโน อุชุปฏิปันโน ญายปฏิปันโน และสามีจิปฏิปันโน หายากไม่ใช่เล่น ถ้าคิดจะพึ่งพระรัตนตรัยแบบพึ่งพ่อแม่ก็ลำบากแน่  หาตัวตนให้สัมผัสไม่ได้
.......ที่พึ่งที่ดี ยามมีตัวตนสัมผัสได้ การพึ่งพาอาศัยก็สะดวก ทำได้ง่าย เหมือนพ่อแม่ย่อมมีเวลาจากเราไปแบบไม่กลับ การพึ่งพ่อแม่สิ้นสุดหรือยัง ไม่เลยแต่กลับชัดเจนมากยิ่งขึ้น บางคนได้มาเป็นทรัพย์สินมรดก หลายคนได้มาเป็นทรัพย์สินทางสติปัญญา เรียกว่า พึ่งได้จนวันตายเลยทีดียว ดีกว่าคอยพึ่งตัวเป็น ๆ   ซะอีก เพราะท่านอยู่กับเราเพียงช่วง เวลาหนึ่งเท่านั้น แต่ทรัพย์มรดกของท่านเราพึ่งได้ต่อไปแม้ท่านจะจากเราไปแล้ว ก็เพราะเชื่อฟังพ่อแม่ ปฏิบัติตามที่ท่านแนะนำสั่งสอน จึงได้มรดกท่านมา  กระผมก็เช่นกันถึงจะปฏิเสธมรดกไร่นา เพราะท่านมีน้อย แต่ท่านมีลูกถึง 6 คน ส่วนมรดกทางสติปัญญา ที่ท่านส่งเสียให้เล่าเรียนจนได้สติปัญญามามาก ช่วยให้ได้ทำราชการมีความสุขสบายตามควรแก่อัตตภาพ นี่ไงถึงท่านจะจากไปแล้วแต่กระผมก็มีที่พึ่งที่ดีมาก ๆ จากมรดกที่ได้จากพ่อแม่
.......ที่พึ่งคือพระรัตนตรัย ณ เวลานี้ ไม่ต่างจากพ่อแม่ที่จากเราไปแล้ว เราอยากได้ พระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ก็ลองทำเหมือนพ่อแม่เราดูสิ แล้วเราก็จะได้ที่พึ่งที่แท้จริง ที่พึ่ง ที่วิเศษมาก ๆ ด้วย โดย ชื่อฟังและจงปฏิบัติตามที่ท่านสอน และรับเอามรดกที่ท่านมีไว้ให้ ความสำคัญคือ พระรัตนตรัยสอนอะไร มรดกที่พระรัตนตรัยมีไว้ให้พวกเราคืออะไร พระรัตนตรัยคือสัญลักษณ์ของพุทธศาสนา คำสอนพุทธศาสนามีมาก มายก็จริง แต่สรุป รวมได้ 3 หลักใหญ่ ๆ คือ ละทำบาป ทำแต่กุศล และหมั่นชำระใจให้สะอาด ถ้าปฏิบัติได้ก็จะได้ที่พึ่งอันเป็นมรดกที่ล้ำค่ามาก จากพุทธศาสนา
.......สัพพปาปัสส อกรณัง ไม่ทำบาปทั้งปวง สิ่งไหนทำแล้วเป็นบาป ต้องละเว้น ไม่กระทำ แม้ไม่สามารถละได้เด็ดขาด แต่ต้องพยายาม อาจเพราะอาชีพ ความเป็นอยู่ จึงละเว้นได้ยาก แต่ต้องพยายามตั้งใจ  ให้ละเว้นเพราะถ้าทำก็เป็นบาปไม่มีข้อยกเว้น
.......กุสลัสสูปสัมปา ทำแต่สิ่งที่เป็นกุศล คำกุศลไม่ใช่บุญเท่านั้น ใน พจนานุกรมไทยฯ อธิบายว่า กุศล  [-สน] น. สิ่งที่ดีที่ชอบ บุญ. ว. ฉลาด. (ส. ป.กุศล) คือนอกจากหมายถึงบุญ ยังหมายถึงเรื่องดีงาม เรื่องความฉลาดรอบรู้ จัดเป็นกุศลได้ทั้งสิ้น อย่าลืมทำควบคู่ไป กับข้อแรก แบบขยันทำแต่บุญ กุศลไม่ทำเลยยังชอบขูดเปลือกไม้หาหวยอยู่แบบนี้ แสดงว่ายังขาดกุศล ดังนี้เป็นต้น
.......สจิตตปริโยทัปปนัง หมั่นชำระจิตให้สะอาดปราศจากมลทิน โลภะ โทสะและโมหะ คือมลทินของจิต ชำระด้วยบุญเท่านั้น ทานมัย ใช้ชำระโลภ ความอยาก สีลมัยชำระ โทสะ(ความนึกคิดจะประทุษร้าย ทำร้าย ผู้อื่น) ภาวนามัยชำระล้างโมหะ(ความโง่งมงาย) การชำระจิตให้สะอาด พึงรู้จักใช้ให้ถูก อย่าทำทานแล้วปล่อยให้ความโลภใหญ่โตเพิ่มขึ้น ไปแอบถามดูคนทำทานเขาปรารถนาอยากได้อะไร นั่นแหละความโลภตัวใหม่ หลังจากไล่ ความโลภจากใจไปได้มูลค่า 50 บาท.

...... ปฏิบัติศีลแล้วก็ดูว่า โทสะ เบาบางลงไหม ถ้ามัน หนักหนากว่าเดิมแสดงว่าใช้ไม่ได้ เคยเห็นเพื่อนเปิดเครื่องขยายเสียงด่าชาวบ้านที่เขาไม่ออกไปวัด เพราะมีกิจกรรมช่วยดายหญ้าลานวัดก่อนงานบุญเดือนสี่ เลยถามเขาว่าก่อนนี้ เคยโกรธด่าว่าคนอื่นแบบนี้ไหม เขาบอกว่าไม่เคย เลยบอกว่านี่แค่พรรษาแรกนะที่เรา บวช ทำไมโทสะนายถึงใหญ่โตมากขนาดนี้ ศีล 227 ข้อ มันไม่ขัดเกลาเลยหรือ เพื่อน มันมากราบขอโทษตอนทำวัตรเช้า สารภาพว่าทำสิ่งไม่ดี  ต่อไปจะไม่จับไมค์ด่าชาวบ้าน อีก อ้อบวชพร้อมกัน 5-6 รูป ผมอายุแก่กว่าคนอื่น 
.....   ข้อสุดท้ายภาวนาเป็นชาวพุทธต้อง ขยันภาวนาทั้งที่บ้าน สถานศึกษา ที่วัด ที่ทำงาน หรือทุกสถานที่ที่จะทำให้เกิดสติปัญญา ภาวนาแปลว่า การฝึกอบรมครับ ไม่ใช่นั่งหลับตา ฝึกอบรมทำไม ฝึกเพื่อให้เกิดสติสัมปชัญญะ มีสติมา ปัญญาจะได้เกิด ฝึกทำงานบ้านก็เก่งฉลาดทำงานบ้าน ฝึกอบรม ศึกษาเล่าเรียนก็ได้ปัญญาเป็นวิชาความรู้ อบรมฝึกทำการงานที่ทำงานก็ได้   ปัญญาเป็น ความเชี่ยวชาญในหน้าที่การงาน ฝึกอบรมที่วัดก็ได้ปัญญาฉลาดในเรื่องหลักธรรมคำสอน และแนวปฏิบัติ ภาวนาคือการฝึกอบรมให้เกิดปัญญา จึงเป็นสิ่งขัดเกลาโมหะความโง่งมงาย ให้จางไปจากใจ  ถ้ายังโง่งมงายอยู่แสดงว่ายังไม่เกิดปัญญา คือภาวนาไม่สำเร็จ แบบพวกเรียน 6 ปี ไม่ได้วุฒิ ม. 6 นั่นแหละ เรียนไม่จบ
........สามหลักที่พุทธศาสนาสอนไว้เพียงพอสำหรับให้ศาสนทายาทปฏิบัติตาม และ จะได้ที่พึ่งอันดีเลิศและประเสริฐ ไม่เดือดร้อนมีทุกข์ก็สามารถผ่านไปได้ด้วยการปฏิบัติตามท่าน สอน ทำให้เราได้ที่พึ่งที่แท้จริงตลอดไป ลองดูนะครับ


โพส 23 กพ.60


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น